ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 659
บทที่ 659
บนโลกใบนี้ ความสัมพันธ์เดียวที่ไม่หวังผลตอบแทนก็คือครอบครัว
สวีลั่งเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่อายุสิบขวบ และพลัดพรากกับน้องสาว หลายปีมานี้ เขาไม่เคยหยุดหาน้องสาวเลย กลายเป็นจุดมุ่งหมายของเขาไปแล้ว
หามานานหลายปี เขานึกว่าน้องสาวของเขา…….แต่ตอนนี้ น้องสาวหาเจอแล้ว ยังอยู่ตรงหน้า เขาจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง?
เขาไม่รออีกแล้ว เขาอยากไปอยู่ตรงหน้าน้องสาวทันที ไปดูเธอดีๆ บอกว่าเขาเป็นพี่ชายเธอ
หยางเฉียงตะลึง
เธอเคยได้ยินสวีลั่งพูดถึงเรื่องของน้องสาวเขา ตอนนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของเขาได้ เพราะว่าเธอก็มีน้องชายคนหนึ่งเหมือนกัน
หยางเฉียงตะโกน “หลินจื่อ หยางหลิน รีบเข้ามา”
หยางหลินเพิ่งตักข้าวกลับมาจากห้องอาหาร ยังไม่ได้เข้าห้องก็ได้ยินหยางเฉียวตะโกน นึกว่าเกิดเรื่องแล้ว จึงรีบผลักประตูเข้าไป
เข้าห้องแล้วก็ตะลึง
หยางเฉียวกอดร่างสวีลั่งอยู่ เห็นเขาเข้ามาก็พูดกับเขาว่า “รีบไปเอารถเข็นมา”
หยางหลินตั้งสติ รีบวิ่งออกจากห้องผู้ป่วย จากนั้นไปหาพยาบาล ขอรถเข็นมา
หยางเฉียวกับหยางหลินช่วยกันพยุงสวีลั่งนั่งบนรถเข็น จากนั้นหยางเฉียวก็เข็นสวีลั่งไป
เจอกับเฝิงจั๋วบนทางเดิน สวีลั่งถามว่าตอนนี้ไป๋ยี่เฟยอยู่ไหน จากนั้นก็ให้หยางเฉียวเข็นเขาออกไป
เฝิงจั๋วเห็นแล้วก็อยากขวางไว้ แต่ซาเฟยหยางปรากฏตัว พูดว่า “ให้เขาไปเถอะ”
……
อาคารซางเม่าชั้น23
ในห้องประชุมหรูและกว้างแห่งหนึ่ง คนนั่งเต็ม
มีเพียงโต๊ะประชุมกลมโต๊ะเดียว มีคนนั่งเพียงไม่กี่คน
คนที่นั่งในตำแหน่งประธานคือสวีชาง ตอนนี้เป็นประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองเป่ยไห่
ส่วนด้านซ้ายขวาของเขา คือไป๋ยี่เฟยและเย่ฮวน
ส่วนด้านข้างเย่ฮวน คือเฝิงเซียนเซียน เฝิงเซียนเซียนจ้องหน้าไป๋ยี่เฟยด้วยความโมโห
ด้านข้างไป๋ยี่เฟยคือจางหัวปิน ส่วนพวกไป๋หู่ ยืนอยู่ข้างหลังไป๋ยี่เฟย
กลางโต๊ะประชุม มีแจกันดอกไม้อันหนึ่ง ดอกไม้กำลังบาน ทำให้บรรยากาศอันเคร่งเครียดในห้องประชุมดูสดใสขึ้นบ้าง
สวีชางมองดูทุกคน ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทุกคนมาถึงกันแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเลย”
“พูดตามตรง ที่ดินที่อยู่ฝั่งทางรถไฟหัวซ่าง พื้นที่ค่อนข้างใหญ่ ทางสหพันธ์ได้คำนวณเบื้องต้น มูลค่าประมาณหมื่นล้าน ถ้าทำการพัฒนา มูลค่าก็เพิ่มขึ้นแน่นอน”
“ด้านบนหวังว่าจะเป็นบริษัทที่มีความสามารถมารับ แน่นอน ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเพียงบริษัทเดียว สองบริษัทร่วมมือกันก็ได้”
“จนถึงตอนนี้ ในเมืองเป่ยไห่บริษัทที่มีความสามารถที่สุดทั้งสองก็คือเฟยเสว่กรุ๊ปกับเย่ซื่อกรุ๊ป ดังนั้น ผมเป็นตัวแทนของสหพันธ์มาถามความเห็นของทั้งสอง ไม่ทราบว่าทั้งสองคิดยังไง?”
คำพูดค่อนข้างอ้อมค้อม แต่ทุกคนเข้าใจ ความหมายของเขาคือ ที่ดินผืนนี้ถ้าไม่มีสองบริษัทนี้ประมูล แบบนี้สุดท้ายแล้วราคาประมูลก็จะต่ำมาก ทางสหพันธ์ก็จะได้รับผลกำไรน้อย
ความจริงสวีชางไม่ได้อยากให้ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนได้ที่ดินผืนนี้ไป แต่กลัวว่าถ้าไม่มีสองบริษัทนี้มาประมูล ผลกำไรของสหพันธ์ก็จะต่ำมาก
คนในงานต่างก็เข้าใจ เย่ฮวนกับไป๋ยี่เฟยสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไร
คนที่อดไม่ได้เปิดปากพูดก่อนคือเฝิงเซียนเซียน เธอผู้อย่างไม่พอใจ “ประธานสวี นี่มันก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ? มูลค่าทรัพย์สินและมูลค่าในตลาดหุ้นของเย่ซื่อกรุ๊ปสูงกว่าเฟยเสว่กรุ๊ป ที่ดินผืนนี้ก็ต้องเป็นของเย่ซื่อกรุ๊ปอยู่แล้ว”
“เหอะ ตอนที่เลือกตั้งประธานสหพันธ์ ให้ไป๋ยี่เฟยได้ผลประโยชน์ไป แต่ครั้งนี้ นายสู้ตระกูลเย่ของเราไม่ได้หรอก ตระกูลเย่ไม่ยอมแน่ ฉันเตือนนายเจียมตัวหน่อย จะได้ไม่ต้องขายหน้าทีหลัง”
เย่ฮวนฟังคำพูดของเฝิงเซียนเซียน ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฝั่งตรงข้าม จางหัวปินเปิดปากพูด “พวกเรายอมรับว่าตระกูลเย่มีความสามารถ แต่เฟยเสว่กรุ๊ปของเราก็ไม่ได้อ่อน พวกเราสามารถชนะพวกคุณตอนเลือกตั้งประธานสหพันธ์ได้ ครั้งนี้ก็เหมือนกัน”
เฝิงเซียนเซียนได้ยินก็หัวเราะ “ใครก็โม้เป็น ไม่กลัวโม้จนหนังปากลอกหรือไง ดูกำพืดพวกคุณแต่ละคน มีใครสู้พวกเราได้?”
“คำพูดของคุณนายเย่เหมือนตัวเองเกิดมาสูงส่งนะครับ ก่อนจะมาเป็นคุณนายเย่ ก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าพวกเราเลย” จางหัวปินตอบกลับเสียงเรียบ
ทั้งสองไม่มีใครยอมใคร
สวีชางไม่ได้อยากเห็นสภาพแบบนี้ ดังนั้น เขาจึงรีบตัดการโต้แย้งของทั้งสอง ยิ้มพูด “ทั้งสองฟังผมพูดก่อนนะครับ”
“การประมูลย่อมเป็นฝั่งราคาสูงได้ เถียงกันตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่ผมอยากรู้ตอนนี้คือ ทางคุณทั้งสองฝั่งยังคงขัดแย้งกันไม่หยุด จะกระทบต่อการประมูลครั้งนี้?”
“เพราะทางสหพันธ์หวังว่าเป็นการแข่งขันอย่างเป็นมิตร หากเรื่องแย่ลงจะไม่ดีกับใครเลย ใช่ไหมครับ?”
“ผมคิดว่าทุกคนรู้ดี ที่ดินผืนนี้ต้องเป็นคนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระหว่างพวกคุณอยู่แล้ว แน่นอน พวกคุณจับมือกันร่วมกันพัฒนา นี่ก็เป็นเรื่องชนะทั้งสองฝ่าย”
สวีชางพูดจบแล้ว มองไปที่ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวน
แต่ว่าทั้งสองคนไม่ได้เปิดปากพูดเลย ก็มีเสียงคนหนึ่งดังขึ้น
“ประธานสวีพูดเกินจริงไปไหม? พวกเขาทั้งสองบริษัทสูญเสียสิทธิ์การประมูลไปแล้ว แบบนี้ที่ดินผืนนี้เป็นของใครยังไม่แน่นอน”
ทุกคนมองไปตามเสียง ไป๋เจียวกับหลี่จู้เดินออกจากฝูงผู้คน นั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะประชุมอย่างไม่เกรงใจ
ไป๋เจียวนั่งลง หลี่จู้ไม่ได้นั่ง ดูแล้วเหมือนประจบประเจง
สายตาทุกคนมองไปที่ไป๋เจียวกับหลี่จู้
ไป๋ยี่เฟยหันไปมอง เขาเพิ่งเห็นหลี่จู้เป็นครั้งแรก หลี่จู้หน้าตาธรรมดา ร่างอวบเล็กน้อย ดูท่าทางสีหน้า บอกได้ว่าเป็นผู้ชายอ่อนแอ
แล้วดูไป๋เจียว หน้าตาสวยงาม หุ่นดี ท่าทางยโส บวกกับฐานะคุณหนูตระกูลไป๋ คนอย่างหลี่จู้ไม่คู่ควรกับเธอเลย
ไป๋เจียวมองหน้าทุกคน ยิ้มแล้วพูด “ฉันจำได้ว่าสหพันธ์มีกฎว่า เวลาประมูล หากบริษัททั้งสองมีความแค้นส่วนตัว และใช้วิธีการประมูลที่ไม่ยุติธรรม หากเรื่องยังไม่ยุติ ไม่มีหลักฐาน การประนีประนอมของทั้งสองบริษัท ก็จะสูญเสียสิทธิ์การประมูล”
ไป๋เจียวพูดจบแล้ว ทุกคนต่างก็คิดอย่างสงสัย
เย่ฮวนกับไป๋ยี่เฟยสีหน้าเปลี่ยน รวมถึงสวีชางก็หน้าเปลี่ยน
ไปเจียวทำเป็นไม่เห็น พูดต่อ “ถ้าเป็นแบบนี้แล้ว การประมูลที่ดินผืนนี้ เย่ซื่อกรุ๊ปกับเฟยเสว่กรุ๊ป ไม่มีสิทธิ์ในการประมูลแล้ว”
สวีชางสีหน้าไม่ดี ทุกคนต่างเข้าใจ ว่าทางสหพันธ์มีกฎนี้จริง
ช่วงนี้เย่ซื่อกรุ๊ปกับเฟยเสว่กรุ๊ปแข่งขันกันทั้งที่แจ้งที่ลับ แข่งขันเรื่องราคา แย่งชิงกันทุกอย่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นความแค้นส่วนตัว และการแข่งขันด้วยวิธีไม่ยุติธรรม ตามกฎแล้วต้องสูญเสียสิทธิ์
ถ้าเป็นตามนี้ ราคาที่ดินผืนนี้ก็จะไม่ได้ราคาสูงตามที่คาดการไว้ ทางสหพันธ์ก็ต้องเสียหาย สวีชางไม่อยากให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นแน่นอน
สวีชางพยายามควบคุมอาการสีหน้า ฝืนยิ้มพูดว่า “เรื่องนี้ทางสหพันธ์จะทำการตรวจสอบให้ชัดเจน ก่อนตรวจสอบชัดเจน ยังคงสรุปไม่ได้”
ไป๋เจียวยังคงไม่รีบร้อน ยิ้มอย่างสบายใจ “คุณพูดถูก”
จากนั้นก็หัวเราะ “แต่ฉันได้ข่าวว่า น้องสาวของเย่ฮวน เย่อ้าย ถูกไป๋ยี่เฟยฆ่าแล้ว เพราะเหตุผลนี้ เย่ซื่อกรุ๊ปถึงกัดไป๋ยี่เฟยไม่ปล่อย หรือว่านี่ยังไม่ใช่ความแค้นส่วนตัว?”
คำพูดนี้ออกไป ทุกคนก็วิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา
“โอ้โห ข่าวร้ายแรงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ไม่ใช่ ไป๋ยี่เฟยฆ่าน้องสาวของเย่ฮวนเลยเหรอ?”
“มันเกินไปหรือเปล่า?”
“ถ้าแบบนี้แล้ว ก็หมายความว่าเป็นความแค้นส่วนตัว”
“เย่ซื่อกรุ๊ปกับเฟยเสว่กรุ๊ป จำเป็นต้องถูกลงโทษ เสียสิทธิ์การประมูล”
ไป๋เจียวเห็นสีหน้าตกใจของทุกคน และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่แว่วมา ก็ทำมีหน้าได้ใจ ยิ้มอย่างเยาะเย้ย
เพียงแค่สาเหตุนี้ ก็ทำให้ไป๋ยี่เฟยกับเย่ฮวนสู้กันเอาเป็นเอาตาย และสูญเสียสิทธิ์การประมูล และยังทำให้กิจการได้รับความเสียหาย ไม่ว่ายังไง เธอก็เป็นผู้ชนะ
เวลาเดียวกัน ไป๋ยี่เฟยที่ไม่ได้เปิดปากพูดเลยก็หัวเราะ
ไป๋เจียวเห็นแล้ว ก็ขมวดคิ้วทันที “หัวเราะอะไร?”
เธอไม่เข้าใจ ถึงขั้นนี้แล้ว เขายังมีอะไรน่าหัวเราะอีก? ไม่สมควรร้องไห้ หรือโมโห?
เป้าหมายครั้งนี้ของไป๋เจียวคือพิสูจน์ตัวเองให้วงศ์ตระกูลเห็น เวลาเดียวกันก็ทำให้พวกคนแก่ตระกูลไป๋เข้าใจ ผู้ชายตระกูลไป๋สู้เธอไม่ได้ แต่ไป๋ยี่เฟยยังคงสีหน้ายิ้มและเรียบเฉย ทำให้เธอรับไม่ได้เลย
ไป๋ยี่เฟยยิ้มแล้วหันไปถามเย่ฮวน “พวกเรามีความแค้นส่วนตัวไหม?”
“ไป๋ยี่เฟย แก……” เย่ฮวนยังไม่ทันได้พูด เฝิงเซียนเซียนก็อดไม่ได้ที่จะด่า แต่โดนเย่ฮวนตะโกนใส่
“หุบปาก”