ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 677
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่677รีบไปรายงานก่อน
การที่เขาพูดแบบนั้น แสดงว่าสิบว่าปีก่อนเขาเคยมาที่สหพันธ์ธุรกิจเมืองหลวงแล้วเหรอ?
ถ้าเป็นแบบนั้น เมื่อก่อนเขาเป็นอะไรกับสหพันธ์กันแน่? ที่สำคัญ สิบกว่าปีที่ผ่านมา สหพันธ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยรึไง?
พวกเขานั่งลิฟต์ขึ้นไปจนถึงชั้นสิบห้า หญิงสาวคนนั้นพาพวกเขามาถึงที่โซนพักผ่อน แล้วบอกกับพวกเขาว่า “กรุณารอสักครู่ ฉันขอไปรายงานก่อนนะคะ”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “อย่าบอกว่าผมมานะครับ บอกแค่ว่ามีคนมาหาก็พอ”
หญิงสาวพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ได้ค่ะ”
พูดจบ หญิงสาวก็เดินเข้าห้องทำงานไป
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอหลี่เสว่แล้ว จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ไง
พวกเขาแยกจากกันมาสักพักแล้ว คิดถึงจะแย่อยู่แล้ว
พอซาเฟยหยางเห็นไป๋ยี่เฟยที่ทำท่าตื่นเต้น ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณดูไม่ปกติเลยนะครับ”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป แล้วมองซาเฟยหยางด้วยสายตาที่สงสัย
“ผมไม่เคยเห็นคุณตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน” ซาเฟยหยางพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “ผมตื่นเต้นไปหน่อย น่าขายหน้าจัง”
ทันใดนั้น หญิงสาวที่เพิ่งเข้าไปในห้องทำงานก็ได้ออกมา เธอเดินมาหาทั้งคู่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “รองประธานกำลังประชุมอยู่ค่ะ ช่วยรอก่อนนะคะ”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “ครับ ขอบคุณ”
……
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ประตูห้องทำงานของหลี่เสว่ก็เปิดออกอีกครั้ง
โจวฉวี่เอ๋อเดินออกมาจากข้างใน เธอรับสายพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่รำคาญว่า “คุณเลิกโทรหาฉันสักทีได้มั้ย? ฉันบอกไปแล้วว่าไม่ชอบคุณก็คือไม่ชอบไง?”
“ฉันยุ่งมาก ฉันไม่ไป แค่นี้ อย่าโทรมาอีกนะ”
พูดจบเธอก็วางสาย แล้วบ่นเบาๆ ว่า “น่ารำคาญเป็นบ้า ทำไมถึงมาคนที่น่ารำคาญได้ขนาดนี้นะ?”
พูดไปก็เตรียมจะเข้าไปในห้องอีกรอบ
แต่ตอนที่จะเปิดประตูเข้าไป ขาของเธอก็ต้องหยุดชะงักลง แล้วค่อยๆ หันหน้ามา จากนั้นก็เห็นไป๋ยี่เฟยกับผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้จักกำลังเดินเข้ามา
โจวฉวี่เอ๋อทำตาโตทันที เธอตกใจมาก “ไป๋ยี่เฟย! คุณมาได้ยังไงเนี่ย?”
โจวฉวี่เอ๋อในตอนนี้ดูดีมีราศีมากกว่าแต่ก่อนเยอะเลย อาจจะเป็นเพราะอยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นก็ได้ ออร่าที่ส่งออกมาจึงเปลี่ยนตามไปด้วย
ไป๋ยี่เฟยพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่พบกันนานเลยนะครับ”
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างลำบากใจว่า “เธอใกล้ประชุมเสร็จรึยังครับ?”
โจวฉวี่เอ๋อตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่มีอะไรค่ะ เสว่เอ๋อแค่แจกแจงงานอยู่เท่านั้น ไม่ใช่การประชุมที่สำคัญอะไร ถ้ารู้ว่าคุณมาหาเธอต้องดีใจมากแน่ๆ”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดไปว่า “ไม่เป็นไรครับ รอเธอประชุมเสร็จก่อนก็ได้”
โจวฉวี่เอ๋อชะงักไป จากนั้นก็พยักหน้า “ก็ได้ค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยมาเมืองหลวงครั้งนี้ตั้งใจจะมาคุยกับหลี่เสว่อย่างจริงจังสักหน่อย เขาอยากให้หลี่เสว่ล้มเลิกความตั้งใจที่จะอยู่ทำงานที่เมืองหลวงต่อ ส่วนเขาก็ตั้งใจจะปล่อยเฟยเสว่กรุ๊ปไป แล้วพาน้องสาวของเขาไปอยู่ในสถานที่ที่แยกออกไป เพื่อใช้ชีวิตที่สงบสุขของตัวเอง
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขารู้สึกว่า ในเมื่อตอนนี้ยังไม่ได้ไป เรื่องที่ควรทำก็ควรต้องทำอยู่ดี
ที่เขาพูดว่าถ้าไม่ใช่งานของตัวเองก็ไม่มีทางเข้าใจงานนั้นอยู่แล้ว มันเป็นแบบนี้แหละแล้วโจวฉวี่เอ๋อก็นั่งลงพูดคุยไป๋ยี่เฟยต่อ ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ในที่สุดการประชุมก็เลิกสักที
มีคนมากมายเดินออกมาจากห้อง หลี่เสว่เป็นคนสุดท้ายที่ออกมา
แต่ข้างหลังของหลี่เสว่ยังมีชายที่ใส่สูทดำอีกคนเดินตามออกมาด้วย ชายคนนั้นหน้าตาก็ถือว่าไม่เลว
ระหว่างที่เดินออกมาเขายังพูดกับหลี่เสว่ว่า “เสว่เอ๋อ มีร้านอาหารเปิดใหม่ร้านหนึ่ง ที่นั่นมีอาหารที่ขึ้นชื่อหลายอย่างเลย เราไปชิมกันครับ”
หลี่เสว่ขมวดคิ้ว แล้วตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ว่าง”
ชายใส่สูทยังไม่ยอมล่าถอย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปทานอาหารแค่แปบเดียวเอง ต่อให้ยุ่งแค่ไหนก็ไม่ควรอดข้าวหรอกใช่มั้ยครับ?”
หลี่เสว่ตั้งใจจะปฏิเสธต่อ แต่พอหันมาก็พบกับไป๋ยี่เฟยเข้า จากนั้นเธอก็ยื่นอึ้งอยู่กับที่
ชายใส่สูทเห็นว่าหลี่เสว่ไม่พูดอะไร จึงพูดต่อว่า “คุณไม่ปฏิเสธ ผมจะถือว่าคุณตกลงนะครับ!”
ทันทีที่ชายใส่สูทพูดจบ เขาก็ได้ยินหลี่เสว่พูดออกมาเบาๆ ว่า “ที่รัก?”
ชายใส่สูทตกใจจนสะดุ้ง เขารู้สึกดีใจมาก ยิ้มออกมาจนแก้มแทบปริ เพราะเขาคิดว่าคนที่หลี่เสว่หมายถึงก็คือตัวเอง
แต่พอผ่านไปสักพัก ชายใส่สูทถึงรู้ตัวว่า หลี่เสว่ไม่ได้มองมาที่เขาเลย แต่กลับมองไปยังโซนพักผ่อนที่อยู่ไม่ไกล
พอไป๋ยี่เฟยเห็นหน้าหลี่เสว่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก เขารีบเดินเข้ามาทันที พร้อมกับแววตาอันอ่อนโยนที่มองมาที่หลี่เสว่
เมื่อกี้เขาเห็นชายใส่สูทคนนี้แล้ว แต่เขาเชื่อใจหลี่เสว่ ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจผู้ชายคนนี้ ที่สำคัญ เขานี่แหละคือสามีของหลี่เสว่
พอหลี่เสว่เรียกสติกลับคืนมาได้ เธอก็ยิ้มให้ไป๋ยี่เฟย จากนั้นก็หันมามองชายใส่สูทด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจ “ขอแนะนำให้รู้จัก นี่คือสามีของฉัน ไป๋ยี่เฟยค่ะ”
ชายใส่สูทแข็งทื่อไปทั้งตัว จากนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างเขินๆ “อ๋อ ที่แท้ก็สามีของคุณนี่เอง เหมือนเคยมาคนพูดถึงอยู่ฮาฮา……”
“ผม อ๋อ ผมจะทำตามแบบแผนที่เสว่เอ๋อวางไว้ครับ ถ้าอย่างนั้น ผมไม่รบกวนแล้วนะครับ”
ชายใส่สูทพูดด้วยความเขิน จากนั้นก็จะเดินจากไป แต่กลับถูกไป๋ยี่เฟยห้ามไว้ก่อน
“เดี๋ยวครับ”
ขาของชายใส่สูทหยุดชะงัก แล้วหันมามองไป๋ยี่เฟย
ไป๋ยี่เฟยทำหน้าเย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่ชอบใจว่า “ทางสหพันธ์ของพวกคุณมีกฎระเบียบอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”
ชายใส่สูทฟังออกว่าไป๋ยี่เฟยกำลังไม่พอใจ เขาจึงขมวดคิ้วแล้วถามไปว่า “หมายความว่ายังไงครับ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้หันไปมองชายใส่สูทคนนั้น แต่เขากลับกุมมือของหลี่เสว่ไว้ แล้วมองเธอด้วยสายตาที่แสนอบอุ่น “คำว่าเสว่เอ๋อ คือสรรพนามที่ผมใช้เรียกภรรยาของผม การที่คนระดับล่างอย่างคุณมีเรียกคนที่ระดับสูงกว่าแบบนี้มันถูกต้องแล้วเหรอ?”
ชายใส่สูททำหน้าไม่พอใจทันที เขาจ้องเขม็งมาที่ไป๋ยี่เฟย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ทำเสียงฮึดฮัดแล้วเดินจากไป
พอชายหนุ่มจากไป หลี่เสว่ก็หันมาทำตาดุใส่ไป๋ยี่เฟย “คุณจะมาทำไมถึงไม่บอกฉันก่อนล่ะคะ? ฉัน……”
ไป๋ยี่เฟยดึงหลี่เสว่เข้ามากอด หลี่เสว่เคลื่อนเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของไป๋ยี่เฟย คำพูดที่ยังไม่ทันได้เปล่งออกมาก็ต้องกลืนมันลงไป
จากนั่นมุมปากของหลี่เสว่ก็แย้มขึ้น มือทั้งสองข้างก็ยกขึ้นมากอดไป๋ยี่เฟยไว้เหมือนกัน เธอเอาหัวซบลงบนอกของไป๋ยี่เฟย เพื่อให้รู้สึกถึงลมหายใจและเสียงหัวเต้นที่กำลังเต้นของเขา ความอบอุ่นอัดแน่อยู่ในใจ
ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่ต่างกัน สูดดมกลิ่นหอมที่ส่งออกมาจากตัวของหลี่เสว่ ความพึงพอใจควบแน่นอยู่เต็มอก
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ๆ ก็มีเสียงไอดังขึ้น จนทั้งสองได้สติกลับมาอีกครั้ง เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าในนี้ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย ทั้งสองจึงรีบแยกออกจากกัน
โจวฉวี่เอ๋อพูดด้วยความหมั่นไส้ว่า “แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว ทำตัวอย่างกับคนเพิ่งแต่งงานกันเลย!”
พอได้ยินอย่างนั้น ไป๋ยี่เฟยก็ค่อยๆ ยิ้มออกมา “ฉวี่เอ๋อ ขอบคุณที่ช่วงนี้ช่วยดูแลเสว่เอ๋อให้นะครับ”
โจวฉวี่เอ๋อโบกมืออย่างไม่ได้ใส่ใจอะไร “เราต่างก็ดูแลซึ่งกันและกันไม่ต้องขอบคุณหรอก ฉันควรจะขอบคุณคุณกับเสว่เอ๋อถึงจะถูก เพราะถ้าไม่มีพวกคุณ ฉันคงไม่มีโอกาสได้มาทำงานในที่แบบนี้หรอก”
พูดจบ โจวฉวี่เอ๋อก็หันไปมองซาเฟยหยางด้วยความสนใจ แล้วถามไปว่า “คุณคือ……”
สายตาของหลี่เสว่ก็มองตามไปเหมือนกัน ไป๋ยี่เฟยจึงรีบแนะนำไปว่า “จริงด้วย เขาคือซาเฟยหยาง หรือผู้อาวุโสซา ผู้อาวุโสซาครับ นี่คือภรรยาของผม”
สิ้นเสียง หลี่เสว่ก็พยักหน้าอัตโนมัติ “ซา……”
จากนั้นก็ชะงักไป แล้วรีบหันไปมองไป๋ยี่เฟย และกระซิบถามไปว่า “ซาเฟยหยางเหรอคะ?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินอย่างนั้น เขาก็เข้าใจทันทีว่าเธอกำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่ เขาจึงหันไปพูดกับโจวฉวี่เอ๋อว่า “ฉวี่เอ๋อคุณช่วยพาผู้อาวุโสซาไปหาที่พักผ่อนหน่อยนะครับ ผมมีเรื่องอยากคุยกับเสว่เอ๋อ”
โจวฉวี่เอ๋อพยักหน้า แล้วพาซาเฟยหยางไปที่ห้องพัก
ส่วนหลี่เสว่กลับพาไป๋ยี่เฟยเข้ามาในห้องทำงาน
ห้องทำงานของเสว่เอ๋อนั้นใหญ่มาก ตกแต่งได้อย่างเลิศหรู แถมยังแบ่งโซนทำงานกับโซนพักผ่อนไว้อย่างชัดเจน
ไป๋ยี่เฟยเพิ่งเคยเห็นห้องทำงานที่ใหญ่ขนาดนี้เป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “สหพันธ์ธุรกิจนี่ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ!”
แต่หลี่เสว่ตอนนี้กลับกำลังกังวลอยู่ เธอขมวดคิ้วแล้วถามไปว่า “สรุปมันเรื่องอะไรกันคะ? ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าซาเฟยหยางได้ตายไปแล้ว? ฉันเห็นศพของเขามากับตาว่านั่นคือศพของซาเฟยหยางจริงๆ”
“ตอนนี้คนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันแน่? เขาคิดไม่ซื่อกับคุณรึเปล่าก็ไม่รู้?”
เมื่อไป๋ยี่เฟยได้เห็นหลี่เสว่ที่กำลังทำท่าเป็นห่วงแบบนี้ เขาก็รู้สึกดีใจมาก ว่าแล้วก็ดึงหลี่เสว่เข้ามากอด แล้วตอบไปว่า “ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร แต่มีเรื่องหนึ่งที่เป็นความจริงก็คือ ผมช่วยเขาเอาไว้”
แต่หลี่เสว่กลับไม่ได้คิดอย่างนั้น เธอถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟย แล้วผลักเขาออก “ด้วยเหตุนี้ คุณจึงเลือกที่จะเชื่อเขา? แต่ไม่เชื่อฉันเนี่ยนะ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ยอมให้หลี่เสว่หลุดออกจากอ้อมอก เขาพูดเบาๆ ว่า “ที่รักครับ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดหรอกครับ ผมจะบอกว่า ไม่ว่าเขาเป็นใครก็ตาม แต่ผมช่วยเขาไว้ แบบนี้แล้วเขายังจะทำร้ายผมอีกอย่างนั้นเหรอครับ?”
หลี่เสว่ยังคงไม่เห็นด้วย “นี่คุณไม่เคยได้ยินนิทานเรื่องชาวนากับงูเห่าเหรอคะ?”