ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 7
บทที่ 7
ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน บ้านงั้นหรือ คำๆ นี้มันช่างทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นจริงๆ
“ให้ผมขับนะ!” ไป๋ยี่เฟยรีบเข้าไปนั่งที่นั่งคนขับทันที
หลี่เสว่เองก็ไม่ได้ว่าอะไร เธอเข้าไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ แต่ในขณะที่กำลังเปิดประตูนั้นเอง หลิ่วจาวเฟิงก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เธอลองไปคิดดูให้ดีๆ ล่ะ ว่าระหว่างแต่งงานกับฉัน แล้วคนที่คอยหนุนเธอก็คือตระกูลหลิ่วอยากได้อะไรก็ได้หมด แต่หากเธออยู่กับเจ้าขยะนั่น เธอก็จะได้เพียงสายตาดูถูกจากคนอื่นเท่านั้น ดูจากเหตุการณ์วันนี้ก็น่าจะรู้แล้วนี่ ลองเอาสองคนมาเทียบกับดูสิ แล้วเธอก็จะรู้ว่าใครดีกว่า!”
หลิ่วจาวเฟิงหันไปมองไป๋ยี่เฟยที่นั่งอยู่ในรถก่อนจะพูดขึ้น “เธอจะเลือกมันหรือว่าเลือกฉันกันล่ะ?”
แต่หลี่เสว่กลับไม่ได้มองมาที่หลิ่วจาวเฟิงเลย เธอปัดมือของเขาทิ้ง ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถทันที
หลิ่วจาวเฟิงเองก็มองมือของตัวเองด้วยอาการที่นิ่งอึ้งไป
ไป๋ยี่เฟยเห็นแบบนั้นก็หัวเราะ เขาดีใจมากที่หลี่เสว่เลือกเขา
ทันทีที่หลิ่วจาวเฟิงได้สติกลับมา เขาก็ตะโกนใส่หน้าต่างรถ : “เสว่เอ๋อทำไมเธอต้องเลือกมันด้วย? เขาให้ความสุขกับเธอไม่ได้หรอกนะ!”
หลี่เสว่ค่อยๆ เลื่อนกระจกรถขึ้น พร้อมกับตอบกลับไปด้วย : “เพราะว่าเขาเป็นสามีของฉันอย่างไรล่ะ”
พูดจบ หน้าต่างก็ถูกเลื่อนขึ้นจนปิดสนิท ทำให้หลิ่วจาวเฟิงมองไม่เห็นคนข้างใน และก็ฟังอะไรไม่ได้ยินด้วย
ทางด้านไป๋ยี่เฟยก็ดีใจจนเนื้อเต้น ที่เธอเรียกเขาว่า “สามี” อีกแล้ว
“เสว่เอ๋อ…”
พอหลี่เสว่เห็นท่าทีของไป๋ยี่เฟย เธอก็รู้สึกเขินอายขึ้นมากะทันหัน “รีบขับรถเถอะ”
ไป๋ยี่เฟยก็ส่งเสียงตอบรับเบาๆ “ได้เลย!”
อย่ารีบร้อนไป ไม่ช้าก็เร็วหลี่เสว่ก็เป็นของเขาแน่นอน!
จากนั้นรถก็ถูกสตาร์ท และขับพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนหลิ่วจาวเฟิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมนั้น เขาไม่อยากจะเชื่อภาพที่เห็นเมื่อกี้นี้เลย หลี่เสว่ยอมรับว่าเจ้าคนไร้ค่าไป๋ยี่เฟยนั่น เป็นสามีของเธอ!
บนถนนตอนนี้ จู่ๆ หลี่เสว่ก็พูดขึ้นมาว่า : “ฉันเช่าบ้านไว้ด้านนอกนะคะ คุณก็มาอยู่ด้วยกันกับฉันนะ!”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็กำพวงมาลัยเสียแน่น เขารู้ดีว่า หลี่เสว่ต้องทะเลาะกับที่บ้านเพราะเรื่องน้องสาวของเขา ตอนนี้ยังต้องออกไปเช่าบ้านเพื่อเขาอีก แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมตัวเขาเอง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
“โอเคครับ” ไป๋ยี่เฟยตอบกลับ
หลี่เสว่ที่เป็นแบบนี้ เขาจะยอมปล่อยมือไปจากเธอได้อย่างไรกันล่ะ?
เขาขับตามทางที่หลี่เสว่บอกมาจนถึงหน้าตึกเก่าๆ หลังหนึ่ง
หลี่เสว่พาไป๋ยี่เฟยเดินขึ้นไปยังชั้นสาม ซึ่งเป็นห้องที่มีสองห้องนอน ขนาดเพียงหกสิบตารางเมตรเท่านั้น
“คุณอยู่ที่ห้องนั้นไปเลยนะ!” หลี่เสว่ชี้ไปที่ห้องนอนที่อยู่ใกล้ที่สุด
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้ารับ ส่วนหลี่เสว่ก็แยกย้ายไปที่ห้องนอนของเธอเอง
เฮ้อ! เขาคิดว่าเธอจะหมายความว่าอยู่ด้วยกันจริงๆ เสียอีก แต่สุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ดีสินะ
แต่พอไป๋ยี่เฟยลองกวาดตามองดุรอบๆ ถึงแม้ว่าห้องจะดูสะอาดตาก็ตาม แต่มันก็ยังคงแตกต่างกับที่อยู่ก่อนหน้านี้ของพวกเขาอย่างมาก
เขาไม่อยากจะให้หลี่เสว่ต้องมาลำบาก เธอสมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้!
ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้เขาคงต้องไปที่ตึกสำนักงานขาย ตรงใจกลางเมืองดูแล้วสินะ
ขณะที่เขากำลังหันหลังเพื่อที่จะกลับไปห้องของตัวเอง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากห้องด้านหลังของเขา “ที่รักคะ…”
ไป๋ยี่เฟยเบิกตาโพลง เขารู้สึกตื่นเต้น เสียจนไม่กล้าจะหันกลับไปดูเลย
จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงที่ดังขึ้นอีกครั้ง “ที่รัก งานชุมนุมของตระกูลวันนี้เป็นอย่างไรบ้างล่ะ?”
ซึ่งเสียงที่ได้ยินเป็นเสียงของโจวฉวี่เอ๋อนั่นเอง ซึ่งพวกเธอนั้นกำลังเปิดกล้องคุยกันอยู่
พลันไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกเหมือนกับโดนน้ำเย็นราดเข้าที่หน้า นี่เขาคิดมากเกินไปหรือนี่!
อย่ารีบร้อนสิ อย่ารีบ มันต้องมีสักวันล่ะน่า
ไป๋ยี่เฟยเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง ซึ่งโจวฉวี่เอ๋อไม่ได้พูดถึงเรื่องไปซื้อรถวันนี้เลย ทำให้เขาวางใจได้เปลาะหนึ่ง
หลังจากนั้นเขาก็กลับไปที่ห้องของตัวเอง แล้วก็อาบน้ำล้างหน้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนบนเตียง
ตอนนี้เขามาลองคิดดู เขาก็รู้สึกอิจฉาโจวฉวี่เอ๋ออยู่หน่อยๆ ล่ะนะ ถ้าหากว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่เสว่ดีขนาดนี้ก็คงจะดี แต่จะฝันอย่างไรก็ต้องตื่นอยู่ดีล่ะนะ
วันรุ่งขึ้น ไป๋ยี่เฟยก็พบว่าหลี่เสว่ไปทำงานก่อนตั้งแต่เช้าแล้ว
บนโต๊ะก็มีอาหารที่หลี่เสว่ทำเอาไว้ให้ แถมยังมีกระดาษแปะเอาไว้ด้วยว่า “อย่าลืมทานข้าวนะคะ”
แค่มองเห็นประโยคง่ายๆ แบบนี้ ไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมา นี่มันหมายความว่า ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลี่เสว่นั้น เริ่มใกล้ชิดกันอีกขั้นแล้ว ถึงขนาดที่หลี่เสว่เอาใจใส่เรื่องหาอาหารเช้าให้เขากินด้วย
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ไป๋ยี่เฟยก็ตรงดิ่งไปยังโรงแรมเทียนเป่ยทันที
วันนี้ พ่อของเขาที่ชื่อว่าไป๋หยุนเผิงนัดเขาเอาไว้
ที่ชั้นบนสุดของโรงแรมเทียนเป่ย ไป๋ยี่เฟยเคาะที่ประตูห้องเพรสซิเดนสูท
ทันทีที่ประตูถูกเปิดออก ไป๋ยี่เฟยก็เห็นไป๋หยุนเผิงที่สวมชุดนอนอยู่ และมองมาที่ไป๋ยี่เฟยอย่างตื่นเต้นดีใจ “มาแล้วหรือยี่เฟย! รีบเข้ามาสิ”
ไป๋ยี่เฟยเดินเข้ามาสำรวจดูทุกมุมของห้อง “ที่อยู่ดูหรูหรามากเลยนะครับ”
ไป๋หยุนเผิงเองก็รู้สึกประหม่าหน่อยๆ “นี่ลูกยังคาดโทษพ่ออยู่อีกหรือยี่เฟย?”
“ถ้าหากบอกว่าไม่แล้วคุณจะเชื่อไหมล่ะครับ?” ไป๋ยี่เฟยนั่งลงบนโซฟาอย่างสบาย
พลันไป๋หยุนเผิงก็ยิ่งรู้สึกประหม่าเข้าไปอีก “ยี่เฟย…”
ไป๋ยี่เฟยก็พูดอย่างไม่ได้ใส่ใจนัก “ผมรู้ครับ ว่าพวกคุณลำบากใจ แต่จะลำบากใจแบบไหนผมไม่อยากจะรู้หรอกนะครับ เพราะผมเข้าใจไม่ได้จริงๆ แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่ครับ อย่างไรพวกเราก็มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่แล้ว”
ไป๋หยุนเผิงได้ยินแบบนั้น เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบแบบนั้นอยู่นาน ก่อนที่ไป๋ยี่เฟยจะพูดขึ้น : “ผมมีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งครับ”
“พูดมาเลย จะสองหรือสามข้อก็ได้ทั้งนั้น!” ไป๋หยุนเผิงดีใจขึ้นมาเล็กน้อย การที่มีเงื่อนไขก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีล่ะนะ
ไป๋ยี่เฟยกลอกตามองไป๋หยุนเผิงก่อนจะพูดว่า : “ผมจะยอมรับก็ได้นะครับ แต่ผมอยู่ที่นี่จนชินแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากจะจากไปจากเทียนเป่ยนี้น่ะครับ”
“ไม่เลยงั้นหรือ?” ไป๋หยุนเผิงประหลาดใจเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า “ถ้าหากว่าคุณเห็นว่าไม่โอเค หลังจากนี้พวกเราก็อย่าได้ไปมาหาสู่กันเลยครับ คุณก็ทำเสียว่าไม่มีผมคนนี้เป็นลูกแล้วกัน”
แต่ไป๋หยุนเผิงรีบยิ้มพูดขึ้นทันที : “ไม่มีปัญหาเลย ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว!”
แค่เงื่อนไขง่ายๆ แบบนี้ จะไม่ตอบรับได้อย่างไรล่ะ?
ต่อจากนั้นไป๋หยุนเผิงก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ให้ไป๋ยี่เฟยฟังจนหมด
ซึ่งไป๋ยี่เฟยเองก็เพิ่งจะได้รู้ว่า แม่ของตัวเขาเองนั้นชื่อว่าอู๋กุ้ยเซียง เป็นผู้หญิงจากตระกูลสูงส่งของเมืองหลวง และเป็นบุคคลสำคัญที่โดดเด่นของโลกธุรกิจด้วย
ไป๋หยุนเผิงยันกายลุกขึ้น ก่อนจะหยิบเอกสารในกระเป๋าตัวเองขึ้นมากองหนึ่ง แล้วยื่นมันให้กับไป๋ยี่เฟย “พอดีเลย นี่เป็นธุรกิจอสังหาฯของพวกพ่อที่เทียนเป่ยนี้ ตอนนี้มันถูกโอนไปอยู่ในมือของลูกหมดแล้วนะ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็อึ้งไปทันที
เขาก้มหน้าลงมองเอกสารในมือ เขาคิดว่าพ่อกับแม่ของเขาคงจะมีแค่ตังเหลือกินเหลือใช้เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะยังมีธุรกิจอสังหาฯพวกนี้อยู่ด้วย
ไป๋ยี่เฟยก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที เขารู้สึกเหมือนกับปลาที่ได้บ่อทอง จู่ๆ ก็ได้เปลี่ยนเป็นคุณชายเสียอย่างนั้น
ไป๋หยุนเผิงหันมาเหลือบมองไป๋ยี่เฟยแล้วพูดขึ้น “โหวจวี๋กรุ๊ปเป็นชื่อบริษัทของตระกูลพวกพ่อนะ”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินก็ใจเต้นตุบตับ เป็นอีกครั้งที่เขาต้องประหลาดใจ เพราะโหวจวี๋กรุ๊ปเป็นบริษัทหนึ่งในสองยักษ์ใหญ่ของเมืองเทียนเป่ยเลยนะ แถมภายใต้บริษัทเหล่านั้น ก็ยังมีบริษัทที่ถูกแบ่งย่อยสาขาออกมามากมาย แถมยังมีบริษัทที่ร่วมลงทุนด้วยกันอีกตั้งเยอะแยะ
พอคิดได้แบบนี้ ไป๋ยี่เฟยก็เข้าใจได้ทันที มิน่าเมื่อวานเถ้าแก่ที่ร้าน 4S ถึงได้มอบรถให้เขาฟรีๆ แบบนั้น เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีและสร้างความร่วมมือนั่นเอง ที่แท้มันก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางการร่วมมือเท่านั้น
ไป๋หยุนเผิงอธิบายเกี่ยวกับโหวจวี๋กรุ๊ปให้ฟังพอสังเขป หลังจากนั้นเขาก็ได้จัดให้คนไปซื้อชุดสูท ก่อนที่จะพาไปที่บริษัทเพื่อไปทำการประชุม ขั้นตอนทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ไป๋หยุนเผิงก็ขอตัวลาก่อน เพราะเขามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการ
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยได้สติกลับมา ตัวเขาก็ได้ยืนอยู่ในห้องทำงานของประธานบริษัทเรียบร้อยแล้ว
ไป๋ยี่เฟยหันไปมองสภาพรอบๆ พร้อมกับเดินไปที่หน้าต่าง เขามองเห็นสายรถที่วิ่งกันขวักไขว่ไปมาจากที่ไกลๆ ตรงนั้น ทำให้เขารู้สึกใจลอยหน่อยๆ
สองปีมานี้ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้พยายามเลยเสียหน่อย แต่ฟ้ากลับเหมือนแกล้งเขาอย่างไรอย่างนั้น โอกาสทั้งหมดไม่มาหาเขาเลย ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถเอื้อมถึงได้!
เฮ้อ!
แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกันแล้ว เขาเป็นถึงประธานของโหวจวี๋กรุ๊ป ความคิดทั้งหมดของเขา และความปรารถนาทั้งหมดของเขา ตอนนี้มันได้กลายเป็นจริงแล้ว!
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกดีใจเสียจนกำมือแน่น ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เขาจะดูแลชีวิตคนที่เขารัก ให้ดีที่สุดเลย
เขาคงไม่ให้เธอต้องไปขับรถที่ใกล้จะพังนั้นอีกต่อไป และก็จะไม่ให้อยู่ที่ห้องแคบๆ ขนาดหกสิบตารางเมตรนั้นอีกด้วย และก็จะไม่ให้ไม่กล้าป่วย เพราะไม่มีเงินอีกแล้ว!
ขณะนั้นเอง ผู้ช่วยสาวสวยคนหนึ่งที่ชื่อหลงหลิงหลิงก็เคาะประตูขึ้น เพื่อให้ไป๋ยี่เฟยได้สติกลับมา
ไป๋ยี่เฟยพลันมองไปทางประตูแล้วก็พูดว่า : “เข้ามาได้ครับ”
หลงหลิงหลิงสวมชุดทำงานเดินเข้ามา ด้วยรูปร่างที่ดีพอๆ กับโจวฉวี่เอ๋อเลย เพียงแต่สีหน้าของเธอตอนนี้ดูไร้อารมณ์ใดๆ รู้สึกเหมือนกับสาวงามแห่งภูเขาน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น “ท่านประธานคะ ตอนนี้ต้องการจะทำอะไรไหมคะ?”