ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 710
สุดท้ายเธอได้แต่พูดออกมาคำหนึ่งว่า “ขอบคุณคุณไป๋มากที่ช่วยชีวิต”
เพราะตอนนี้ถูกผ้าพันแผลปิดไว้ครึ่งใบหน้า ฟางหยันจึงมองเห็นหน้าเขาไม่ชัด ดังนั้นจึงจำไป๋ยี่เฟยไม่ได้ ว่าก็คือคนคนนั้นที่พาเธอเข้าเมืองหลวง
ที่พูดไม่ใช่ไป๋ยี่เฟยแต่เป็นเฉินห้าว “เมื่อวานตอนเย็นเธอเห็นอะไร?”
พอฟางหยันคิดถึงเรื่องของเมื่อวานตอนเย็น ก็อดสั่นเทาด้วยความหนาวเหน็บไม่ได้
ต่อมาฟางหยันก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ไป๋ยี่เฟยฟัง
พอไป๋ยี่เฟยฟังถึงตอนที่ซุนเหาทารุณพ่อลูกหนิววั่ง ทางหนึ่งก็กำหมัดแน่น อีกทางหนึ่งก็กัดกรามตนเองแน่น
หลังฟางหยันพูดจบ ไป๋ยี่เฟยก็โบกมือด้วยท่าทีเรียบเฉย
เฉินห้าวก็พูดว่า “คุณหนูหยัน คุณไปได้แล้ว”
ฟางหยันเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง ตัดใจจากไปไม่ลงอยู่บ้าง อันที่จริงยังมีความรู้สึกผิดหวังอยู่ด้วย เพราะเธอยังไม่ได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของไป๋ยี่เฟย
เรื่องมาถึงตรงนี้ก็ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว
แต่อันที่จริงมีเรื่องบางเรื่องเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
……
ในวิลล่าแห่งหนึ่งของเมืองหลวง
คนของสิบตระกูลใหญ่มารวมตัวกัน เรื่องที่หารือกันทำให้พวกเขาทั้งโกรธทั้งหวาดกลัว
“หนิววั่งตายแล้ว”
“ฉันก็ได้ยินแล้วเหมือนกัน”
“เขาจะตามหาพวกเราจริงๆ เหรอ?”
“ไม่ว่าอย่างไร เตรียมพร้อมไว้ก่อนเถอะ”
“ฉันรู้สึกว่าไม่จำเป็น แค่แสร้งทำเท่านั้น ใครจะเชื่อกัน?”
“กันไว้ดีกว่าแก้ เตรียมไว้สักหน่อยดีกว่า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมพวกเราไม่ชิงลงมือก่อนล่ะ”
“ใช่ คุณชายตระกูลหูเรา เป็นเพราะเขาถึงได้ตาย จะได้แก้แค้นพอดี!”
“ตระกูลจูของเราก็ด้วย!”
……
สิบวันให้หลัง สนามบินแห่งหนึ่งในเมืองหลวง
คนกลุ่มหนึ่งอาการบาดเจ็บยังไม่หายดีทั้งหมด แต่ตอนนี้กลับเตรียมจะขึ้นเครื่องแล้ว
นี่เป็นเครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งที่หลินขวางเตรียมไว้ให้พวกเขา
หลังขึ้นไปนั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วไป๋ยี่เฟยก็มองออกไปนอกหน้าต่าง สองตาเลื่อนลอย ราวกับกำลังใจลอย
ผ้าพันแผลบนศีรษะถอดออกไปเยอะแล้ว เหลือไว้แค่ตรงหน้าผาก
หลังจากที่ทุกคนขึ้นเครื่องกันหมดแล้ว จางหัวปินก็เดินมาหาเขาที่กำลังใจลอยอยู่ จากนั้นก็ตบๆ ที่ไหล่เขา “ไม่มีคนแล้ว ไปเถอะ”
พอได้ยินคำว่าไม่มีคนสามคำนี้ ใจของไป๋ยี่เฟย ก็เจ็บแปลบอย่างรุนแรง
เขามองไปรอบๆ รู้สึกขาดคนไปมากโข
ตอนมาเห็นๆ อยู่ว่ามีคนตั้งมากมาย ตอนนี้กลายเป็นโล่งขึ้นมาเสียแล้ว
“ไปกันเถอะ……” ไป๋ยี่เฟยเอ่ยขึ้นมาเบาๆ คำหนึ่ง
เครื่องบินค่อยๆ ออกตัวอย่างช้าๆ ขึ้นไปบนท้องฟ้า
และเวลานี้เอง ภายในอาคารใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง มีคนกำลังจ้องเครื่องบินลำนี้อยู่ตลอด
คนคนนี้ก็คือหลิ่วจางเฟิงที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานานแล้ว
และยังมีผู้หญิงอีกคนที่ไป๋ยี่เฟยรู้จัก ฉุงลี่หย่า
ฉุงลี่หย่าถามเสียงเรียบ “จะปล่อยให้เขาไปแบบนี้น่ะเหรอ?”
พอหลิ่วจาวเฟิงได้ยินก็เผยรอยยิ้มประหลาดออกมา “ต้องการทำให้คนคนหนึ่งตาย จะลงมือเองไปทำไม ไม่ใช่หรือ?”
“สิบตระกูลใหญ่” ฉุงลี่หย่าเอียงศีรษะเล็กน้อย
หลิ่วจาวเฟิงกลับส่ายหน้าพลางพูดว่า “สิบตระกูลใหญ่กับสี่ตระกูลใหญ่แตกต่างกันมากเกินไป แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่อย่างพวกเธอยังจัดการเขาไม่ได้ สิบตระกูลใหญ่จะมีประโยชน์อะไร?”
พอฉุงลี่หย่าได้ยินถึงคำนี้ก็ไม่เข้าใจแล้ว
หลิ่วจาวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หัวใจ”
“ผ่านเรื่องนี้ไป เขาจะต้องคิดว่าอยู่เมืองหลวงไม่มีใครทำอะไรเขาได้อีกแล้ว ดังนั้นต่อไปเขาทำอะไรก็จะลำพองตนคิดว่าตนเองแน่ บุ่มบ่ามมุทะลุมากกว่าเดิม นี่ก็คือจุดอ่อนของเขา”
“สิ่งที่พวกเราต้องทำคือ ทำให้เขาหลงระเริงมากกว่านี้ จากนั้น……”
ฉุงลี่หย่าเข้าใจขึ้นมา เอ่ยเสียงเรียบว่า “เขาจะทำให้คนเหล่านั้นไม่พอใจ”
หลิ่วจาวเฟิงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร
เมื่อก่อนตอนอยู่ที่เมืองเทียนเป่ย หลิ่วจาวเฟิงปะมือกับไป๋ยี่เฟยล้วนแต่พ่ายแพ้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาจะไม่มีทางทำผิดพลาดแบบนั้นอีก ดังนั้นเขาแค่ต้องอยู่เบื้องหลังวางกับดักที่ไป๋ยี่เฟยสามารถกระโดดเข้าไปได้ จากนั้นค่อยเอาของที่เคยสูญเสียไปกลับคืนมา
……
ในมุมอับอีกด้านหนึ่งของสนามบิน ก็มีคนกำลังมองเครื่องบินที่ค่อยๆ เล็กลงเรื่อยๆ อยู่เช่นเดียวกัน
ไป๋หยุนเผิงเอ่ยกับฉินซานที่อยู่ด้านข้างด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เขาสงสัยมาตลอดว่านายคือพี่นาย”
พอได้ยินเช่นนี้ ฉินซานก็เยาะเย้ยออกมา “เกี่ยวบ้าอะไรกับผม แต่วิธีเลี้ยงดูแบบนี้ของคุณดูไปแล้วก็ใช้ได้อยู่นะ”
ไป๋หยินเผิงหันหน้ามาเล็กน้อย มองฉินซานแวบหนึ่ง แท้จริงแล้วฉินซานคือยอดฝีมือคนหนึ่ง แต่ว่า การแต่งกายเช่นนี้ของฉินซานดูไม่เข้ากับการเป็นยอดฝีมือเลยจริงๆ
จากนั้นไป๋หยุนเผิงก็ถามขึ้นมาคำหนึ่งว่า “งั้นนายแท้จริงแล้วเป็นพี่ชายนาย หรือว่าเป็นนายกันแน่?”
ฉินซานหันหน้ามามองไป๋หยุนเผิงแวบหนึ่ง ในดวงตามองทะลุไปเห็นแววตาอันโง่เขลาได้อย่างชัดเจน “คุณโง่ไปแล้วเหรอ?”
ไป๋หยุนเผิงกลับไม่ถือสา เพียงกล่าวเสียงเรียบว่า “ถ้าอย่างนั้นนายตามจีบพี่สะใภ้นายทำไม?”
ฉินซานชะงักไปเล็กน้อยถึงได้สติขึ้นมา “คุณหมายถึงโจวฉวี่เอ๋อน่ะเหรอ หน้าตาถูกใจผมจริงๆ แต่คุณบอกว่าพี่สะใภ้เรื่องนี้พูดเกินจริงไปหน่อย”
“ผมให้คนไปสืบมาแล้ว ในวันพิธีแต่งงานก็เข้าโรงพยาบาลเลย ทั้งสองคนยังไม่ได้เข้าหอกันอย่างแน่นอน! ยังไม่นับว่าเป็นพี่สะใภ้ผม”
ไป๋หยุนเผิงอยากจะพูดอย่างมาก ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ อย่างไรพวกเขาก็เข้าพิธีแต่งงานกันแล้ว อีกทั้งฉินหัวยังอยู่ในโรงพยาบาลอยู่เลย แต่เขาไม่ได้พูดเช่นนี้ เพียงถอนหายใจกล่าวว่า “อย่างนั้นถ้านายเป็นห่วงเธอ ทำไมไม่ไปคุ้มครองเธอ ตำแหน่งนั้นรออยู่ที่เมืองเทียนเป่ยนานแล้ว รอคอยไป๋ยี่เฟยกลับไป”
ฉินซานส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็น เมืองเทียนเป่ยมีคนเก่งหนึ่งคน หากกระทั่งเขายังไม่ไหว ผมไปก็เปล่าประโยชน์”
“แต่คุณต่างหาก ไป๋ยี่เฟยเป็นลูกชายแท้ๆ ของคุณ ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีอันตราย คุณยังมายืนคุยกับผมอยู่ที่นี่อีก?”
ไป๋หยุนเผิงมองฉินซานอย่างจริงจัง อยากจะมองเห็นความผิดปกติจากสีหน้าท่าทางของเขาบ้าง แต่กลับมองไม่เห็นอะไร “หากนายเป็นเขาจริง อย่างนั้นฉันก็นับถือฝีมือในการแสดงของนายมาก”
หลังพูดจบเขาก็ไม่สนใจฉินซานอีกแล้วเดินจากไป
ฉินซานมองเงาหลังของไป๋หยุนเผิง ใช้มือลูบศีรษะของตัวเอง แค่นเสียงออกมาสองคำ “เฮอะ!”
……
พวกไป๋ยี่เฟยกลับถึงเมืองเทียนเป่ยอย่างราบรื่น
ณ สวนด้านหลังของโรงพยาบาลโว่หลง
หยางเฉียวกำลังประคองสวีลั่งทำกายภาพบำบัดขั้นพื้นฐาน แม้พวกเขาจะเหนื่อยมาก แต่มุมปากก็ผุดรอยยิ้มที่ทำให้คนอบอุ่นขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ไป๋ยี่เฟยพูดว่า สวีลั่งครึ่งวันก็ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ หยางเฉียวก็มีนิสัยปากหนัก แปลกมากที่พวกเขายังคบหากันได้ วันหนึ่งพูดคุยกันแค่ไม่กี่ประโยค
เวลานั้นสวีลั่งไม่ได้ตอบไป๋ยี่เฟย
ตอนนี้เขากลับเข้าใจอย่างชัดเจน พวกเขาสองคนพูดกันน้อยมากจริงๆ แต่ขอเพียงส่งสายตาหนึ่งครั้ง ก็สามารถเข้าใจความคิดที่อยู่ในใจของอีกฝ่ายได้ และนี่ก็คือสัญญาลับระหว่างพวกเขา
ผ่านไปนาน จู่ๆ สวีลั่งก็เอ่ยว่า “เหนื่อยแล้ว พักสักหน่อยเถอะ”
หยางเฉียวพยักหน้า หยิบกระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งออกมาเช็ดเหงื่อให้สวีลั่ง
สวีลั่งจับมือเขาไว้แล้วพูดยิ้มๆ ว่า “ฉันเอง”
แม้รอยยิ้มนี้จะไม่แจ่มชัด แต่รอยยิ้มของเขาจริงใจอย่างมาก ในดวงตายังเต็มไปด้วยความอบอุ่นที่มีให้หยางเฉียว
ฉีฉีซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่คอยแอบดูมาตลอด หลังเธอลงจากเครื่องบิน ก็มาที่โรงพยาบาลทันที
ต้องการรีบมาพบหน้าพี่ชายของตัวเอง เธอทั้งตื่นเต้นมาก เคร่งเครียดมาก กังวลมาก
ตอนอยู่บนเครื่องบิน เธอรู้สึกว่ามีคำพูดมากมายอยากจะพูดกับพี่ชาย แถมยังคิดอีกนับไม่ถ้วนว่าจะพูดอะไรบ้าง
แต่ตอนนี้หลังจากที่ได้เห็นก็ลังเลเสียแล้ว
เธอเห็นสวีลั่งกับหยางเฉียวอยู่ร่วมกันอย่างอบอุ่น ก็ไม่อยากไปรบกวนพวกเขา