ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 903
และพอชายหนุ่มคนนั้นได้ยินเช่นนี้ ก็จับคอเสื้อของไป๋ยี่เฟยเอาไว้ทันที พร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “ไอ้แก่ ไหนแกลองพูดอีกครั้งสิ?”
“พี่!” เจิ้งหยู่ยานรีบพุ่งเข้ามาทันที กอดแขนชายหนุ่มไว้
ชายหนุ่มโกรธจนแทบทนไม่ไหว “หยู่ยาน เธอถึงกับปกป้องไอ้แก่นี่เชียวเหรอ!”
หลังพูดเสร็จก็ชี้ไป๋ยี่เฟยพลางด่าทอเสียงดัง “ไอ้แก่อย่างแก รังแกหยู่ยานของเราไปแล้วใช่ไหม? วันนี้ฉันจะจัดการแกอย่างสาสมเลย หยู่ยานของเราใช่ให้แกมารังแกได้เหรอ?”
เจิ้งหยู่ยานกอดแขนชายหนุ่มไว้ ร้องขึ้นมาอย่างร้อนใจว่า “พี่ พี่ใจเย็นหน่อย ไม่ใช่อย่างนั้น”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว อย่าบอกว่ารังแกหรือไม่รังแกดีกว่า เพราะเราสองคนเข้ากันได้ดี รักกันด้วยใจจริง”
“รักแม่แกสิ!” ชายหนุ่มผลักเจิ้งหยู่ยานออกด้วยความโกรธ คว้ามีดเล่มหนึ่งมาจากในมือบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้าง ทำท่าจะแทงไป๋ยี่เฟย
ในเวลานี้เอง เจิ้งซงก็เปิดประตูเดินออกมา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ! มาทำอะไรกันอยู่ตรงนี้?”
“พ่อบุญธรรม” หลังชายหนุ่มเห็นเจิ้งซง ก็รีบโยนมีดไปให้บอดี้การ์ดที่อยู่ด้านข้างทันที ก่อนจะก้มศีรษะเรียกออกมา ดูท่าทางหวาดกลัวเจิ้งซงอย่างมาก
มารดาเจิ้งหยู่ยานรีบถามเจิ้งซงว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่คะ?”
เจิ้งเซิงเพียงแค่กวาดตามองพวกเขาอย่างเรียบเฉยแวบหนึ่ง “ต่อไปสวีลั่งก็คือลูกเขยของตระกูลเจิ้งเรา ครอบครัวเดียวกันอย่าทำเหมือนเป็นศัตรูกันสิ”
“อะไรนะ?” มารดาเจิ้งหยู่ยานกับชายหนุ่มต่างชะงักไป
เจิ้งซงโบกมือ “เอาล่ะ ไม่มีเรื่องอะไรก็รีบไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเอาได้”
หลังมารดาเจิ้งหยู่ยานได้สติกลับมา ก็ถลึงตาใส่เจิ้งหยู่ยานแวบหนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
ส่วนชายหนุ่มพอเดินผ่านข้างตัวไป๋ยี่เฟย ก็ขู่เสียงต่ำว่า “หากแกกล้าแตะต้องเธอ แกได้เห็นดีแน่!”
หลังพูดจบก็เดินจากไปอย่างเต็มไปด้วยความเดือดดาล
ไป๋ยี่เฟยมองแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถามต่อหน้าเจิ้งซงว่า “เขาเป็นใคร? ดูท่าทางเขาจะชอบคุณมาก?”
“คุณ……” เวลาที่เจิ้งหยู่ยานคิดจะอธิบายก็จะถูกไป๋ยี่เฟยขัดจังหวะไปเสียทุกครั้ง ตอนนี้จึงทั้งโกรธทั้งร้อนใจ แถมเจิ้งซงดันมาอยู่ตรงหน้าอีก เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมา สุดท้ายเธอก็เลยโกรธจนหมุนตัวเดินจากไป
เหลือเพียงเจิ้งซงที่ยังอยู่หน้าประตู เขาเอ่ยกับไป๋ยี่เฟยว่า “เขาเป็นลูกบุญธรรมของฉัน ชื่อว่าเจิ้งหมิง”
“เขาชอบหยู่ยานจริงๆ แต่คุณเองก็อย่าสนใจเกินไปนัก เพราะอย่างไรหลังเรื่องนี้ผ่านไป คุณกับหยู่ยานก็ไม่เกี่ยวข้องกันแล้ว และฉันก็ไม่มีทางยกหยู่ยานให้แต่งงานกับเขาเช่นเดียวกัน”
ไป๋ยี่เฟยยักไหล่อย่างไม่ยี่หร่ะพลางพูดว่า “อันที่จริงผมก็แค่อยากจะรู้ว่าเขาเป็นใครเท่านั้นเอง ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องอธิบายกับผมหรอก”
หลังพูดจบเขาก็เดินจากไปเช่นกัน
หลังยี่เฟยลงมาหยุดที่ชั้นหนึ่งก็มองเห็นเจิ้งหยู่ยานรออยู่หน้าประตู
หลังเจิ้งหยู่ยานมองเห็นเขาก็เดินเข้ามาหา พูดอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า “ขอโทษด้วย คุณมาช่วยฉันแท้ๆ แต่ฉันยังจะไปต่อว่าคุณอีก”
“ไม่เป็นไร” ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็เดินออกมาข้างนอก
เจิ้งหยู่ยานเดินตามมาพลางถามว่า “แล้วทำไมคุณต้องขัดจังหวะตอนที่ฉันจะอธิบายให้แม่ฉันฟังด้วยล่ะ?”
ไป๋ยี่เฟยกล่าวขึ้นเรียบๆ ว่า “อยู่ร่วมกับพ่อคุณพักหนึ่ง ก็พบว่าพ่อคุณไม่ธรรมดา ดังนั้นเรื่องแบบนี้อย่าให้คนรู้มากจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะถูกพ่อคุณมองพิรุธออกได้ง่ายๆ”
“หากพ่อคุณรู้เข้า ผมเกรงว่าความตายคงจะอยู่ไม่ไกลนัก”
พอเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ก็พลันเข้าใจขึ้นมา
อย่างไรเจิ้งซงก็เป็นบิดาของตน ต่อให้รู้ว่าเธอโกหก อย่างมากก็แค่สั่งสอนเธอชุดหนึ่ง แต่หากรู้ว่าไป๋ยี่เฟยร่วมมือกับเธอโกหกเขาล่ะก็ เขาจะต้องฆ่าไป๋ยี่เฟยอย่างแน่นอน
เจิ้งหยู่ยานยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม “อาลั่ง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่คิดให้รอบคอบเอง”
ทั้งสองคนพูดไปพลาง เดินออกมาจากบ้านใหญ่ไปพลาง
เพียงแต่เพิ่งจะเดินออกมา สายตาก็ปะทะเข้ากับเจิ้งหมิงที่อยู่หน้าประตู
เจิ้งหมิงยืนอยู่หน้าประตูราวกับกำลังรอคอยพวกเขาอยู่ หลังจากมองเห็นพวกเขา เจิ้งหมิงก็โบกมือ จากนั้นก็มีบอดี้การ์ดหลายคนวิ่งเข้ามา ในมือของแต่ละคนยังกอดถุงใบหนึ่งไว้ด้วย
สุดท้ายพวกเขาก็โยนถุงลงตรงหน้าไป๋ยี่เฟย
เจิ้งหมิงมองไป๋ยี่เฟยแวบหนึ่งอย่างเต็มไปด้วยความเหยียดหยามก่อนจะพูดว่า “เอาเงินพวกนี้ แล้วไปจากหยู่ยาน ไปจากตระกูลเจิ้งซะ!”
ไป๋ยี่เฟยทำหน้าตางุนงงมองเจิ้งหมิง
เจิ้งหยู่ยานก็เปลี่ยนเป็นหน้างอง้ำขึ้นมา “พี่คะ พี่ทำอะไร?”
“หยู่ยาน หรือว่าเธอมองไม่ออกใช่ไหม? เขามาก็เพราะเงินของพวกเรา!” เจิ้งหมิงอธิบายกับเจิ้งหยู่ยานด้วยความร้อนใจ “คนอย่างเขาก็แค่อยากจะหลอกเธอ พอเข้ามาตระกูลเจิ้งแล้วก็จะได้เงินมากขึ้น!”
“หยู่ยาน มันเป็นแค่ไอ้แก่คนหนึ่ง เธอไปถูกใจมันได้ยังไง”
พอได้ยินคนเรียกว่าไอ้แก่อีกครั้งในใจไป๋ยี่เฟยก็รู้สึกแปลกประหลาด
ตัวตนเดิมของเขาอายุยังไม่ถึงสามสิบ หลังแปลงโฉมก็ดูอายุเพิ่งจะสี่สิบเท่านั้น สมควรดูไม่แก่จนถึงกับต้องกลายเป็นไอ้แก่หรอกมั้ง?”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็ยิ้มออกมา แล้วพูดว่า “ดังนั้น คุณก็เลยคิดว่าผมคบกับหยู่ยานเพื่อเงินใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” เจิ้งหมิงแค่นเสียงเย็น
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็มองเจิ้งหยู่ยานแวบหนึ่งแล้วถามเขาว่า “ความหมายของคุณคือหยู่ยานเธอหน้าตาไม่สวยแล้ว?”
“ไม่ใช่แน่นอน!” เจิ้งหมิงรีบตอบทันที “นี่มันเกี่ยวอะไรกับหน้าตาเธอว่าสวยหรือไม่สวย?”
ไป๋ยี่เฟยกลับพูดว่า “เกี่ยวอย่างแน่นอน หากเธอหน้าตาไม่สวย ผมจะตามจีบเธอไหม? ใครบอกกันว่าการคบหากับผู้หญิงสักคนจะต้องทำเพื่อเงิน คบกับเธอเพราะเธอหน้าตาสวยไม่ได้เหรอ?”
“แก……” เจิ้งหมิงถูกพูดจนไร้หนทางตอบโต้ ในดวงตาปรากฎแววเหี้ยมเกรียมสายหนึ่งวาบผ่าน
ไป๋ยี่เฟยย่อมจะมองเห็นแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจอีกฝ่ายเช่นกัน แค่เพิ่งจะระดับสาม ยังห่างชั้นจากเขาอีกไกลนัก
อีกทั้งไป๋ยี่เฟยก็ไม่ใช่พวกตาสีตาสาเช่นกัน สีหน้าแบบนี้ของเจิ้งหมิง มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกชอบสุรานารีเป็นที่สุด
ไป๋ยี่เฟยเห็นเขามีท่าทางพูดไม่ออก ก็ซ้ำอีกหนึ่งมีดว่า “ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ผมที่ตามจีบเธอ แต่เป็นเธอที่ตามจีบผม”
เจิ้งหมิงโกรธจนหน้าตาบิดเบ้ พร้อมกับเบิกตากว้าง “เหลวไหล!”
พอเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ในใจก็รู้สึกแปลกประหลาด เธอคิดว่าชั่วชีวิตนี้ไม่มีทางที่จะไปตามจีบคุณอาวัยกลางคนคนหนึ่งแน่ แต่ตอนนี้ล่ะ ภายนอกเห็นเป็นเช่นนี้จริงๆ
อีกทั้งเธอยังต้องอาศัยความช่วยเหลือจากไป๋ยี่เฟย ดังนั้นเธอจึงยอมรับว่า “เขาพูดถูก ฉันเป็นคนตามจีบเขาเอง”
เจิ้งหมิงโกรธจนหน้าอกกระเพื่อม อ้าปากหอบหายใจ แต่ต่อให้เขาโกรธแค่ไหนก็ไม่มีทางเอาความโกรธไประบายใส่เจิ้งหยู่ยาน ทำเพียงถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยแล้วพูดว่า “ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไง ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันให้เวลาแกหนึ่งวัน รีบไสหัวออกไปจากตระกูลเจิ้ง ไปจากหยู่ยานซะ”
“ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ฉันก็ไม่ถือสาที่จะทำให้แกหายไปจากโลกนี้!”
“พี่!” สีหน้าของเจิ้งหยู่ยานไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
เจิ้งหมิงไม่สนใจเจิ้งหยู่ยาน ทำเพียงถลึงตาใส่ไป๋ยี่เฟยอย่างดุร้ายแวบหนึ่งในดวงตามีแววเข่นฆ่าสายหนึ่งวาบผ่าน จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป
เห็นเจิ้งหมิงจากไปแล้ว เจิ้งหยู่ยานก็เอ่ยขึ้นอย่างกังวลใจอยู่บ้างว่า “แล้วนี่จะทำยังไงดี? พี่ชายฉันเป็นยอดฝีมือระดับที่สาม หากเขาคิดจะทำอะไรขึ้นมาจริงๆ คุณต้องแย่แน่”
“ถ้าไม่อย่างนั้นเอาอย่างนี้ดีไหม วันนี้คุณก็รั้งอยู่ที่บ้านเราเถอะ อยู่ในบ้านเขาไม่กล้าแตะต้องคุณแน่”
ไป๋ยี่เฟยกลับส่ายหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “ไม่เป็นไร สู้ไม่ได้ก็ยังหนีได้ไม่ใช่เหรอ?”
หลังพูดจบก็โบกมือแล้วจากไป
เจิ้งหยู่ยานมองเงาหลังของเขายังคงกังวลใจอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ไป๋ยี่เฟยคิดจะเริ่มลงมือจากตระกูลเจิ้ง เพื่อมองหาคนของสำนักหนานเหมินเหล่านั้น พร้อมกับสืบหาข่าวบางอย่าง แต่เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ยังคงรอพรุ่งนี้ค่อยถามจะดีกว่า
ดังนั้นหลังออกจากตระกูลเจิ้ง ไป๋ยี่เฟยก็โทรหลิวเสี่ยวอิง
……
สถานีเก็บเศษเหล็กนั่นที่หลิวเสี่ยวอิงอยู่ก่อนหน้านี้ ไป๋ยี่เฟยเองก็มาแล้ว พร้อมกับมอบทองคำแท่งหนึ่งให้เถ้าแก่คนนั้น จึงทำให้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ชั่วคราว
หลิวเสี่ยวอิงป้อนยาเม็ดชนิดหนึ่งให้อู๋เฉียง เพื่อช่วยให้ร่างของอู๋เฉียงไม่เน่าเปื่อยเร็วเกินไป
หลิวเสี่ยวอิงพูดว่า “เหลือแค่เจ็ดวัน”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจแล้ว พวกเขามีเวลาอีกแค่เจ็ดวัน ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดกับหลิวเสี่ยวอิงว่า “เธอกินอะไรหรือยัง?”
หลิวเสี่ยวอิงหัวเราะแหะๆ แล้วกล่าวว่า “ฉันยังไม่หิวค่ะ”
ไป๋ยี่เฟยไม่เชื่อคำพูดเธอ “ทั้งวันยังไม่ได้กินอะไร จะไม่หิวได้ยังไง? ฉันจะไปซื้อของกินหน่อยเดี๋ยวกลับมา”
หลังไป๋ยี่เฟยพูดจบก็หมุนตัวเดินจากไป หลิวเสี่ยวอิงกลับกำชับเขาที่ด้านหลังประโยคหนึ่ง “ระวังหน่อย รีบไปรีบกลับ!”
ไป๋ยี่เฟยชะงักไป ทำเช่นนี้รู้สึกเหมือนกับสามีจะออกไปข้างนอก แล้วภรรยากำชับให้ระวังตัวอย่างไรอย่างนั้น
หลิวเสี่ยวอิงทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างเป็นธรรมชาติยิ่ง แต่ไป๋ยี่เฟยรู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก
เขาไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าในใจหลิวเสี่ยวอิงกำลังคิดอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ไปได้?
ไป๋ยี่เฟยอดหมุนตัวกลับมาถามไม่ได้ว่า “เธอ……เป็นยังไงบ้าง? ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลิวเสียวอิงกลับพูดด้วยน้ำเสียงเจือแววกระเง้ากระงอดว่า “ไม่เป็นไร ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว”