ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 907
เจิ้งซงแค่นเสียงเบา “ไหนบอกว่าหยาบคายจนเคยชินไมใช่หรือไง? คิดว่าคงไม่มีทางสนใจเรื่องยิบย่อยเหล่านี้หรอก”
หลังพูดจบก็กล่าวกับบอดี้การ์ดเหล่านั้นที่อยู่ด้านข้างว่า “ออกไปเถอะ”
บอดี้การ์ดเหล่านั้นหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน ไป๋ยี่เฟยก็คิดจะตามออกไปพร้อมกัน แต่เจิ้งซงเรียกเขาไว้ “สวีลั่ง นายรอก่อน”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้ว แต่ยังคงรั้งอยู่
เจิ้งหยู่ยานเห็นเช่นนี้ก็รั้งอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ทั้งห้องจึงเหลือเพียงพวกเขาครอบครัว
เจิ้งซงพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สวีลั่ง นายเองก็เห็นแล้ว เรื่องนี้อันตรายมาก มีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาต้องการจะเอาชีวิตของนาย ตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของนายแล้ว”
“หากนายอยากจะถอนตัวออกไป ก็รีบจากไปเสียแต่ตอนนี้เลย”
เมื่อกี้คนพวกนั้นได้บอกแล้ว ที่สำนักหนานเหมิน หากผู้ชายสองคนชอบผู้หญิงคนเดียวกัน จะต้องผ่านการต่อสู้ตัดสินเพื่อแก้ปัญหา
ไป๋ยี่เฟยกลับกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่นี่ไม่ใช่สำนักหนานเหมิน”
ที่นี่เป็นถิ่นของพวกเขาเอง ถือดีอะไรต้องทำตามกฎของพวกเขามาจัดการเรื่องต่างๆ ด้วย?
เจิ้งซงได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจขึ้นมาทันที แต่ก็กลับคืนสู่เรื่องเคร่งเครียดอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าไป๋ยี่เฟย ตบๆ บ่าของเขาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “แต่เรื่องบางเรื่อง จำเป็นต้องมีพลังความสามารถถึงจะทำได้”
อันที่จริงไป๋ยี่เฟยยังหวังอย่างยิ่งด้วยซ้ำว่าจะได้สู้ตัดสินกับพวกเขา หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็บางทียังจะสามารถจับตัวท่านชายของสำนักหนานเหมินคนนั้นได้ ใช้เขามาแลกกับมือสังหารคนนั้น
“ที่จริงหากจะสู้ตัดสินก็ไม่เป็นไร ตอนเด็กผมเคยฝึกการต่อสู้มาบ้าง” ไป๋ยี่เฟยพูดยิ้มๆ
นายหญิงเจิ้งได้ยินเช่นนี้ ก็เยาะหยันว่า “อาศัยวรยุทธแมวสามขาอย่างนาย แม้แต่ฉันก็ยังสู้ไม่ได้ พูดออกมาไม่อายบ้างเหรอ?”
พี่สะใภ้ของเจิ้งหยู่ยานก็ถากถางขึ้นหนึ่งประโยคเช่นกัน “แล้วไม่ใช่หรือไง คนบางคนยังคิดจริงๆ หรือว่าตัวเองจะพลิกตัวมาร้องเพลงได้? คุณพ่อคุณแม่ พวกคุณอธิบายให้เขาฟังหน่อยสิคะ ว่ายอดฝีมือกับฝีมือยอดแตกต่างกันยังไง?”
“เดี๋ยวพอถึงเวลาจะถูกคนชกตายในหมัดเดียวเอาได้ ทั้งยังจะขายหน้าตระกูลเจิ้งของเราด้วย”
เจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ ก็ถลึงตาใส่พี่สะใภ้ของเธอแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้โต้เถียงอะไร เพียงแค่พูดกับไป๋ยี่เฟยอย่างกังวลเล็กน้อยว่า “อาลั่ง นี่มันไม่ใช่เกมนะ”
พวกเขาไม่รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของไป๋ยี่เฟย แต่ไป๋ยี่เฟยไม่ได้ยืนกรานจะต้องต่อสู้ตัดสินกับคนอื่น เพียงแต่เพราะเกี่ยวข้องกับคนที่สังหารอู๋เฉียง ดังนั้นถึงได้มุ่งมั่นจะเข้าร่วม
“ผมไม่ใช่คนที่ตกใจง่าย” ไป๋ยี่เฟยพูด
หลังพูดจบเขาก็มองเจิ้งซงอย่างมีนัยยะแอบแฝงแวบหนึ่ง “ยืนหยัดในหลักการและขีดจำกัดของตนเองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่บางครั้ง หากถอยให้ครั้งหนึ่งแล้ว ก็รังแต่จะทำให้อีกฝ่ายได้คืบเอาศอก!”
หลังพูดจบก็ไม่สนใจท่าทีของพวกเขาอีก หมุนตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน
พี่สะใภ้ของเจิ้งหยู่ยานเห็นเช่นนี้ก็แค่นเสียงเย็นออกมา พูดอย่างมีเจตนาแอบแฝงว่า “ดูสิว่านี่เป็นสิ่งของอะไรกัน ถึงคิดจริงๆ ว่าตัวเองเป็นคน?”
“พอถูกชกตายในหมัดเดียวเข้าจริงๆ ก็รู้เองว่าตัวเองอวดเก่งมากแค่ไหน!”
“หึ! เด็กอมมือ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ!” นายหญิงเจิ้งเองก็พูดสำทับขึ้นอีกหนึ่งประโยคเช่นกัน
พี่ใหญ่ของเจิ้งหยู่ยานกลับมีท่าทีตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง “อายุเยอะไปหน่อย แต่นิสัยไม่เลวเลย ก็แค่ถือดีไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
เจิ้งซงเพียงขมวดคิ้วใคร่ครวญอะไรบางอย่าง
เจิ้งหยู่ยานกลับเดินตามไป๋ยี่เฟยออกไปอย่างกังวล
ไป๋ยี่เฟยเพิ่งจะเดินเข้าไปในลิฟต์ เจิ้งหยู่ยานก็รีบเบียดเข้าไปอย่างรวดเร็ว “อาลั่ง รอเดี๋ยว”
ไป๋ยี่เฟยมองแวบหนึ่ง เขาเอ่ยขึ้นอย่างเรียบเฉยว่า “วันนี้ฉันยังมีธุระต้องไปทำก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาหาเธอใหม่”
เจิ้งหยู่ยานกล่าวขึ้นอย่างรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก “อาลั่งฉันขอโทษ ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ อีกอย่างหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ช่างมันไปเถอะ?”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรเจิ้งซงถึงต้องการให้ตนแสดงละครอย่างสมจริง และเจิ้งหยู่ยานก็ไม่โง่ ย่อมมองออกแล้วเช่นกัน
ไป๋ยี่เฟยกล่าวเสียงเรียบ “วางใจ ไม่เป็นไร”
“แต่ว่า……” เจิ้งหยู่ยานคิดจะพูดอะไรอีก แต่ดูเหมือนจะเขินอายเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยมองเธอพลางถามอย่างสงสัยอยู่บ้างว่า “แต่ว่าอะไร?”
เจิ้งหยู่ยานกัดฟัน สุดท้ายก็เอ่ยปากพูดว่า “อาลั่ง อันที่จริงฉันคิดมาตลอดว่าอยากจะแต่งงานกับผู้ชายที่เก่งกาจมากคนหนึ่ง ที่เป็นเหมือนกับฮีโร่แบบนั้น”
ไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ดังนั้น ที่จริงแล้วเธอไม่ได้ถือสาที่จะแต่งให้กับท่านชายหนานเหมิน?”
เจิ้งหยู่ยานพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วลึกขึ้นกว่าเดิม
เขาไม่แน่ใจนักว่าเจิ้งหยู่ยานคิดจะแต่งให้ท่านชายแห่งหนานเหมินจริงๆ หรือว่าเพื่อไม่ให้คนอื่นต่อสู้ตัดสินกับเขากันแน่ ถึงขนาดเกี่ยวพันกับตระกูลเจิ้งทั้งตระกูลจึงจงใจพูดเช่นนี้
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่าทีของไป๋ยี่เฟยก็หนักแน่นอย่างยิ่ง “ไม่ได้!”
“หา?” เจิ้งหยู่ยานเงยหน้า สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ไป๋ยี่เฟยพูดอย่างเคร่งเครียดเป็นอย่างมากว่า “พ่อเธอไม่มีทางยกเธอให้แต่งกับคนของหนานเหมินอย่างแน่นอน”
เจิ้งอยู่ยานลังเลเล็กน้อย “แต่ว่า……”
ไปยี่เฟยส่ายหน้าเล็กน้อย พูดอย่างจริงจังมากว่า “หากก่อนหน้านี้สองฝ่ายไม่ได้เป็นศัตรูกันก็คงจะไม่อะไร แต่ตอนนี้สองฝ่ายมีท่าทีเป็นศัตรูกัน และพ่อเธอก็ไม่คิดจะเข้าร่วมกับศัตรู นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง”
“แต่หากเธอแต่งเข้าไป ต่อให้พ่อเธอไม่ได้เข้าร่วมกับศัตรู เกรงว่าก็คงพูดได้ไม่เต็มปาก”
เจิ้งหยู่ยานไม่ยินยอม จึงเถียงเสียงดัง “นี่มันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วย?”
ไป๋ยี่เฟยทำหน้าขรึมแล้วกล่าวว่า “ไม่เกี่ยวได้ยังไง นี่มันเกี่ยวพันถึงทุกคน เกี่ยวพันถึงทั้งประเทศของเรา!”
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็เคร่งเครียดและตำหนิขึ้นมากะทันหัน ทำให้เจิ้งอยู่ยานตกตะลึงไปเล็กน้อย
ไป๋ยี่เฟยตระหนักได้ว่าตนเองดุไปหน่อย จึงถอนหายใจพลางกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเราจะอยู่ที่หลันเต่า ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็อยู่ในแผ่นดินใหญ่ภาคเหนืออยู่ดี ไม่ว่าเธอจะเข้าใจหรือไม่ นับแต่โบราณมา เรื่องที่เป็นกบฎต่อชาติบ้านเมืองล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจทำได้”
หลังเจิ้งหยู่ยานได้ยินเช่นนี้ก็ชะงักไป จากนั้นก็ถามอย่างแปลกใจเล็กน้อยว่า “อาลั่ง รู้สึกว่าคุณจะรู้มากจัง?”
พอไป๋ยี่เฟยได้ยินเช่นนี้ก็เข้าใจขึ้นมา เจิ้งหยู่ยานไม่รู้เรื่องการต่อสู้ระหว่างหนานเหมินและเป่ยเหมินโดยสิ้นเชิง
เจิ้งหยู่ยานกลับเข้าใจอะไรบางอย่าง ถามขึ้นโดยไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป “อาลั่ง ฐานะของคุณไม่ธรรมดาสินะ?”
ไป๋ยี่เฟยไม่ได้เอ่ยปากพูด เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบเธออย่างไร
ลิฟต์หยุดพอดี ไป๋ยี่เฟยสาวเท้าเดินออกไปพลางพูดขึ้นว่า “เธอกลับไปก่อนเถอะ วางใจ มีฉันอยู่จะไม่มีใครบังคับเธอได้”
เจิ้งหยู่ยานมองเขาแล้วพยักหน้า จากนั้นก็จ้องมองเงาหลังเขาอยู่ตลอด จวบจนเงาหลังของไป๋ยี่เฟยหายลับไป
……
หลังไป๋ยี่เฟยจากมา ก็รีบเดินมาหยุดที่อุโมงค์เปลี่ยวร้างแห่งหนึ่งทันที จากนั้นก็กระโดดระหว่างตึกหนึ่งไปอีกตึกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ความเร็วของยอดฝีมือระดับที่หนึ่งเร็วจนคนธรรมดามองเห็นไม่ชัดโดยสิ้นเชิง
ไป๋ยี่เฟยเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว คิดจะกลับไปให้เร็วที่สุด
ตอนที่กำลังคุมเชิงกับนายหญิงเจิ้ง เขาก็พบว่าหลิวเสี่ยวอิงมีอันตราย ต่อมาก็มาเสียเวลาไปอีก ไม่รู้ว่าหลิวเสี่ยวอิงตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ตอนที่เขากลับมาถึงสถานีเก็บเศษเหล็ก ก็พบว่าหลิวเสี่ยวอิงหายตัวไปแล้ว แม้แต่ร่างของอู๋เฉียงก็หายไปด้วย
ส่วนเถ้าแก่ของสถานีเก็บเศษเหล็กก็ตายอยู่อีกห้องหนึ่ง
ไป๋ยี่เฟยกำหมัดแน่น หลังสูดหายใจเข้าลึกสองครั้งก็หมุนตัวกลับมายังที่ห้อง มองหาว่าจะเจอเงื่อนงำบางอย่างบ้างหรือไม่
ไป๋ยี่เฟยเดินมาหยุดตรงข้างเตียง พลิกผ่าห่มออกแต่ไม่พบอะไร จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ตรงข้างโต๊ะ ค้นดูอย่างละเอียดถึงพบรูเล็กๆ สามรู เป็นรูที่สามารถมองข้ามได้
หลังไป๋ยี่เฟยเห็นรูนี้ ก็คิดถึงภาพเมื่อคืนที่ถูกเมิ่งเจียยิงเข็มเงินขึ้นมาทันที
ไป๋ยี่เฟยชกหมัดลงบนโต๊ะ เกิดเสียงดังเปรี๊ยะจากนั้นโต๊ะก็พังทลายลง
“บัดซบ!”
ไป๋ยี่เฟยรีบออกจากสถานีเก็บเศษเหล็กทันที
……
ไป๋ยี่เฟยค้นหาพวกเขาไปทั่วอย่างไร้จุดหมาย จนมายังตระกูลเจิ้งอีกครั้ง
“อาลั่ง! คุณกลับมาทำไมอีก?” เจิ้งหยู่ยานยังอยู่ที่หน้าประตูบ้านใหญ่ตระกูลเจิ้ง หลังมองเห็นไป๋ยี่เฟย ก็ทั้งดีใจและ
แต่ตอนนี้สีหน้าไป๋ยี่เฟยมืดครึ้มอย่างยิ่ง ดวงตาเย็นเยียบ กลิ่นอายทั่วร่างต่างจากก่อนหน้านี้อยู่บ้าง หลังเจิ้งหยู่ยานเห็นก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “อาลั่ง เกิดอะไรขึ้น?”
ไป๋ยี่เฟยกลับถามเสียงเย็นว่า “เมิ่งเจียอยู่ไหน? เธอกลับมาหรือยัง?”
“หา?” เจิ้งหยู่ยานชะงักเล็กน้อย จากนั้นยังคงถามอย่างสงสัยว่า “เมิ่งเจียเป็นใคร?”
ไป๋ยี่เฟยสูดหายใจเข้าลึก พลางหลับตา “บอดี้การ์ดข้างกายเธอมีคนที่ชื่อเมิ่งเจียไหม?”
“ไม่มีนะ” เจิ้งหยู่ยานส่ายศีรษะ