ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - ตอนที่ 941
และตระกูลหงของหลันเต่า ก็เป็นลูกหลานของเยว่ใช่หรือไม่?
อีกอย่าง หากเป็นเช่นนั้นแล้ว พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของบ้านคุณลุงก็……….
ในเวลานี้ เมิ่งหลินก็กล่าวต่อว่า “อีกสิ่งหนึ่ง ว่ากันว่าสายเลือดนี้จะถูกส่งต่อไปยังผู้ชายเท่านั้น”
“เอ่อ…….”
เมิ่งหลินเหลือบมองไปที่ไป๋ยี่เฟยที่ตกตะลึง และขมวดคิ้วขึ้นมาทันที “พวกเขาน่าจะให้ความสำคัญกับตัวตนและพรสวรรค์ของคุณ แต่ว่า……ความแข็งแกร่งในปัจจุบันและสายเลือดของคุณดูเหมือนจะไม่ค่อยตรงกันสักเท่าไหร่…….”
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึง “หือ?”
เมิ่งหลินโบกมือ และพูดว่า “หมายความว่า ตอนนี้คุณอ่อนแอเกินไป”
“หือ?” ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงอีกครั้ง และรู้สึกถูกดูหมิ่นเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่สามารถโต้กลับได้ ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงเปลี่ยนเรื่องในการคุยและพูดว่า “ปลาย่างที่ผมทำอร่อยมากเลย”
เมิ่งหลินกลับถามโดยตรงว่า “คุณเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนไหน?”
“น่าจะเริ่มตอนอายุประมาณยี่สิบห้าปี และจนถึงตอนนี้ก็น่าจะประมาณสองสามปีเท่านั้น” ไป๋ยี่เฟยตอบอย่างจางๆ ว่า
เมื่อคำพูดจบลง เมิ่งหลินก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ไป๋ยี่เฟยอย่างประหลาดใจ
ไป๋ยี่เฟยมองเขาอย่างงงๆ “คุณ……..เป็นอะไรไปเหรอ?”
เมิ่งหลินกลับมารู้สึกตัว ส่ายหัว และพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า “สายเลือดของเขานั้นค่อนข้างมีพลังมากจริงๆ ถ้ามองด้วยวิธีนี้ พรสวรรค์ของคุณก็เพียงพอที่จะเปรียบกับเขาได้แล้ว”
ไป๋ยี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อย “แล้วเขาอายุเท่าไหร่?”
เขาแค่อยากจะรู้ว่า บรรพบุรุษหญิงคนไหนของตระกูลไป๋ที่เก่งกล้าเช่นนี้ กล้าที่จะไปยั่วยุคนอย่างเยว่
เมิ่งหลินส่ายหัวเล็กน้อยและพูดว่า “อืม ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ น่าจะมีอายุเกินร้อยปีแล้วล่ะ?”
“อายุเกินร้อยปี?” ไป๋ยี่เฟยตกตะลึงไปในทันที
เมิ่งหลินกินปลาที่เหลือไปสองสามคำ แล้วพูดกับไป๋ยี่เฟยอีกครั้งว่า “เฮ้ ผมเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยสะดุ้งเล็กน้อย
เมิ่งหลินถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ในชีวิตนี้ของผม ผมไม่เคยเอาชนะจื่ออีมาก่อน ดูเหมือนว่า จะต้องรอจนกว่าชาติหน้าถึงจะต่อสู้ได้อีกครั้ง”
ไป๋ยี่เฟยยังคงรู้สึกแปลกใจอยู่มาก ในขณะนั้นหลังจากที่เขาและจื่ออีหยุดลง เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่น่าสังเวชของจื่ออี เขายังคิดว่าเป็นจื่ออีที่แพ้ แต่ใครจะรู้ว่าเป็นเมิ่งหลินที่แพ้
เมิ่งหลินมองดูท่าทางที่ประหลาดใจของไป๋ยี่เฟย และถอนหายใจอีกครั้ง และพูดว่า “ผม อยากกินปลาย่างของคุณอีกครั้ง ดังนั้นผมจึงเก็บลมหายใจสุดท้ายของผมไว้…….”
“เฮ้…….. ในชีวิตนี้ของผม ผมได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มาเป็นเวลานานกว่าแปดสิบปีแล้ว และใช้ความพยายามทั้งหมดอยู่กับเรื่องนี้ จนทำให้ผมผิดพลาดในเรื่องมามากมาย และก็ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกหลานไว้ได้ ยังผิดต่อญาติที่ใกล้ชิดที่สุดของตัวเองอีกด้วย………”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้น ผมก็ไม่เคยรับลูกศิษย์เลยแม้แต่คนเดียว”
“โชคดีที่วันนี้ได้เจอกับคุณ ไม่อย่างนั้น ความสามารถที่อยู่ในตัวทั้งหมดนี้ ก็จะไม่มีผู้สืบทอดแล้วจริงๆ ”
“เห็นแก่ที่คุณย่างปลาให้ผมกิน เพื่อเป็นการตอบแทน ผมจะมอบอะไรบางอย่างให้คุณเล็กน้อย”
ไป๋ยี่เฟยผงะไปครู่หนึ่ง “คุณ…….คุณจะมอบอะไรให้ผม”
เมื่อเห็นเขาเป็นเช่นนี้ เมิ่งหลินก็กระพริบตาและพูดว่า “ทำไม? ดูจากรูปร่างหน้าตาของคุณแล้ว คุณไม่อยากได้งั้นเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยส่ายหัวทันทีเมื่อเห็นเช่นนี้ “ไม่ใช่ ผมแค่รู้สึกว่า……..มันแปลกๆ นิดหน่อย? ”
มันก็เหมือนกับบทบาทในละครทีวี มีผู้ยอดฝีมือที่อยู่ห่างไกลจากโลกที่กำลังจะจากไปและส่งต่อกังฟูของเขาให้กับบุคคลที่ถูกชะตากัน
เมิ่งหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อได้ยินคำพูดนี้ จากนั้นก็หยิบกระเป๋าสะพายหลังของเขา ดึงUSB แฟลชไดรฟ์สีดำออกมา แล้วยื่นให้ไป๋ยี่เฟย
“ประสบการณ์ของผมที่ผ่านมานานเป็นหลายสิบปีอยู่ในนี้ทั้งหมด ผมมอบสิ่งนี้ให้กับคุณในวันนี้ คุณจะสาสามารถเข้าใจได้มากแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้าใจของคุณเองแล้วล่ะ”
ไป๋ยี่เฟย “…….”
แค่นี้เองเหรอ?
เขายังคงคิดว่าจะสอนทักษะเขาแบบนั้นจริงๆ ? แต่ผลคือเป็นแฟลชไดรฟ์USBตัวหนึ่งงั้นเหรอ?
“แค่นี้ก็จบแล้วเหรอ?” ไป๋ยี่เฟยถามด้วยความงุนงง
เมิ่งหลินเหลือบมองเขา “ทำไมเหรอ? ยังไม่พอเหรอ? ในนี้มีหลายสิ่งมากมายเลยนะ เจ้าหนู อย่าโลภเกินไป”
“ไม่ไม่” ไป๋ยี่เฟยรีบส่ายหัว “ผมแค่คิดว่าคุณจะสัมผัสกับร่างกาย แล้วก็ส่งต่อกังฟูให้ผมอย่างนั้น………”
“ฮ่าฮ่า…….” เมิ่งหลินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “สิ่งที่คุณพูดนั้นคือบทบาทในละครทีวีไหม? นี่คือโลกแห่งความจริงนะ มันจะมหัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไร?”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ไป๋ยี่เฟยก็ฟื้นจากการคาดเดาส่วนตัวของเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย และหัวเราะอย่างเขินอาย
เพียงแต่เขาพึ่งหัวเราะ และเมิ่งหลินที่อยู่ข้างหน้าเขาก็ทรุดตัวลงบนชายหาด
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึง จากนั้นเขาก็เอามือวางไว้ใต้จมูก โดยไม่มีลมหายใจใดๆ เลย
ดังนั้น นี่คือ…….ตายไปแล้วเหรอ?
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึง เพียงแค่นั่งอยู่แบบนั้น แล้วมองดูเมิ่งหลิน
บางทีเวลาอาจผ่านไปนานแล้ว หรือเพียงแค่ครู่หนึ่ง เสียงของจื่ออีก็ดังขึ้นมา “ฝังไปเถอะ หรือว่า โยนลงทะเลก็ได้”
ไป๋ยี่เฟยหันไปมอง และพบว่าจื่ออียืนอยู่ข้างหลังเขา โดยไม่รู้ว่าเขามาตั้งแต่ตอนไหน และเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาก็ถูกเปลี่ยนไปแล้วครั้งหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ เขา…….” ไป๋ยี่เฟยรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่บรรยายไม่ได้ “ตายไปแบบนี้เลยเหรอ?”
จื่ออีกลับตอบว่า “เขาตายไปแล้วมันไม่ดีเหรอ? เขาเป็นคนที่มาจากสำนักหนานเหมิน ตอนนี้คุณก็เป็นฝ่ายตรงข้ามกับสำนักหนานเหมินไม่ใช่หรือ? การต่อสู้ก็กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ไป๋ยี่เฟยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “อย่างไรก็ตาม ผมก็แค่รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย เพราะว่า ดูเหมือนผมจะมีเจตนาการฆ่ากับเขาไม่ได้”
จื่ออีแตะที่คางของเขาและถามว่า “นั่นเป็นเพราะว่าเขาดูไม่เหมือนคนของหนานเหมิน หรือเพราะว่าเขาให้อะไรคุณในตอนท้าย? ”
คำพูดนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยตื่นตัวทันที ลุกขึ้นแล้วยื่นUSB แฟลชไดรฟ์ในมือให้จื่ออี และกล่าวว่า “อาจารย์ มีท่านก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งนี้”
จื่ออีหัวเราะเบาๆ ส่ายหัวเล็กน้อย และไม่ได้รับไว้ และกล่าวว่า “คุณเก็บไว้เองเถอะ นี่มันเป็นของของคุณทั้งหมด ไม่ต้องมอบให้ข้าหรอก”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ไป๋ยี่เฟยก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ดังนั้นเขาจึงเก็บมันไว้
แม้ว่าเมิ่งหลินจะเป็นคนของสำนักหนานเหมิน และเป็นผู้นำการบุกรุกเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ไป๋ยี่เฟยก็ไม่สามารถเป็นศัตรูกับเขาได้เสมอมา
ยิ่งกว่านั้น คนก็ตายไปแล้ว และไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ร่างของเขาถูกทิ้งไว้บนชายหาดเพื่อผึ่งลมให้แห้ง
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยเหลือบมองจื่ออีและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นผมจะฝังเขาได้ไหม?”
จื่ออีไม่ได้พยักหน้า และก็ไม่ได้ส่ายหัว แต่กลับหันหลังและเดินจากไป
ไป๋ยี่เฟยกะพริบตาเมื่อเห็นเช่นนี้ จากนั้นก็หันกลับมา และเตรียมขุดหลุมฝังเมิ่งหลินอย่างเงียบๆ
………
สำหรับตอนนี้แล้ว จื่ออีได้กำจัดเมิ่งหลินไปแล้ว และวิกฤตฝั่งจื่ออีก็ได้รับการแก้ไขไปแล้วเช่นกัน
แต่เนื่องจากตอนที่ไป๋ยี่เฟยมาน้ำมันรถบรรทุกของเขาหมดแล้ว ถ้าจะกลับไป ก็ต้องกลับไปด้วยตัวเอง และจะต้องใช้เวลาเป็นหนึ่งวัน บวกกับเวลาที่ใช้ไปในหนึ่งวันของในวันนี้ ห่างจากเวลาสามวันที่หยุนอิงให้มาก็เหลือเพียงวันเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ไป๋ยี่เฟยฝังร่างเมิ่งหลิน เขาก็บอกลาจื่ออีและรีบไปทางเมืองกวงหมิง
อย่างไรก็ตามในวันนี้เอง ก็มีสงครามครั้งใหญ่เกิดขึ้นอยู่นอกเมืองกวงหมิง
มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตนับไม่ถ้วน อยู่ในสนามรบ
และในคืนนั้น บนถนนจากเมืองกวงหมิงไปยังท่าเรือชายทะเล มีรถบรรทุกคันหนึ่งกำลังขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว
ในรถ มีชายวัยกลางคนสองคน
“บ้าเอ๊ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย? ยังมีสงครามเกิดขึ้นอีกงั้นเหรอ และเป็นอะไรก็ไม่รู้? ” ชายวัยกลางคนขับรถไปด้วยพูดพล่ามไปด้วย
ชายอีกคนหนึ่งก็บ่นตามว่า “ใช่ มันแม่งไร้สาระมากเลย ใครแม่งอยากจะตายอยู่ที่นี่ว่ะ?”
ชายคนที่ขับรถเหลือบมองชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างๆ เขา แล้วถามว่า “ใช่แล้ว คุณจับตัวเธอมาทำอะไรเหรอ? ”
“นี่คุณยังไม่รู้เรื่องใช่ไหม? ผมได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับไป๋ยี่เฟยอยู่บ้าง ถ้าหากถูกพวกเราค้นพบ เราก็จะสามารถใช้เธอเป็นตัวประกันได้!” ชายคนอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
ชายคนที่ขับรถเป็นกังวลเล็กน้อยและกล่าวว่า “หากไม่ได้ถูกค้นพบ แล้วจะจัดการกับผู้หญิงคนนี้ยังไง?”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องง่ายมากเลยเหรอ?” ชายคนที่อ้วนพูดเยาะเย้ย และทำท่าทีเชือดคอ
ชายคนที่ขับรถขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนี้ “เหล่าซุน คุณก็บอกแล้วว่าไป๋ยี่เฟยมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง ถ้าฆ่านางไป ถ้าไป๋ยี่เฟยรู้เรื่องเข้าไป ถึงเวลานั้น เราก็จะไม่มีจุดจบที่ดีอย่างแน่นอน!”
เมื่อเหล่าซุนเห็นเช่นนี้เขาก็คำรามขึ้นมาทันทีว่า “แล้วคุณว่าควรจะทำอย่างไรล่ะ? คนก็ได้จับตัวมาแล้ว หรือว่าจะปล่อยตัวกลับไปในเวลานี้งั้นเหรอ? ”
หลังจากคำพูดจบ และเงียบไปครู่หนึ่ง ชายคนที่ขับรถก็ถอนหายใจเบาๆ และพูดว่า “ไม่มีทางอื่นแล้ว ในเวลานี้ จะเสี่ยงไม่ได้ ถ้าถูกจับได้ก่อนล่วงหน้า ก็จะไม่มีจุดจบด้วยดีเช่นกัน”
ไม่นาน พวกเขาก็ขับรถไปถึงที่ชายหาด และลงจากรถ
ทั้งสองยืนอยู่บนชายหาด และยิ้มเมื่อเห็นทะเล “ในที่สุดก็ปลอดภัยแล้ว”
เหล่าซุนก็ยิ้มตามด้วย จากนั้นก็นำตัวผู้หญิงคนนั้นออกจากรถ และคนคนนี้ ก็คือลู่เหมียวเหมียวนั่นเอง
ลู่เหมียวเหมียวถูกมัดด้วยเชือก โดยมีเศษผ้าชิ้นใหญ่ยัดอยู่ในปากของเธออีกด้วย