ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - บทที่1069 เกินขีดจำกัด
หลิวเสี่ยวอิงทนไม่ไหวน้ำตาไหลรินลงมาในที่สุด แต่ยังคงส่ายหน้าพูดว่า “ไม่มีทาง เขาไม่ใช่คนแบบนี้ ไม่มีทาง……”
จางหัวปินกับเฉินห้าวทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรเช่นกัน ได้แต่ถอยออกจากห้องของหลิวเสี่ยวอิงอย่างเงียบๆ
คนทั้งสองมายังดาดฟ้าอย่างเงียบๆ
เฉินห้าวจุดบุหรี่ สูบเข้าไปเฮือกหนึ่งแล้วพ่นออกมา
จางหัวปินเห็นเช่นนี้ก็กล่าวว่า “ขอสักตัวสิ”
“คุณไม่สูบบุหรี่ไม่ใช่เหรอ?” เฉินห้าวมองเขาอย่างประหลาดใจ แต่ยังคงจุดบุหรี่ให้จางหัวปินอย่างเป็นธรรมชาติ
จางหัวปินกล่าวว่า “ฉันกำลังคิดถึงฉีฉี”
“ฉีฉี?” เฉินห้าวมองเขาแวบหนึ่ง จงใจกล่าวว่า “ชอบเจ้าตัวเข้าแล้ว?”
“จะบ้าเรอะ!” จางหัวปินถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง “อย่ามาล้อฉันเล่นแบบนี้ หากพี่สะใภ้แกรู้ ความซวยจะตกมาที่ฉัน”
พูดจบคนทั้งสองก็ยิ้มออกมา
แต่หลังจากยิ้มแล้วก็เงียบไป
หลังสูบบุหรี่ทีหนึ่งแล้ว เฉินห้าวก็ถามว่า “ต้องบอกพี่เสี่ยวอิงไหม?”
จางหัวปินเองก็สูบไปทีหนึ่งเช่นกัน แต่เพราะไม่ได้สูบมานานมาก ถึงกับสำลักออกมา “แค่กๆ ……”
เฉินห้าวรีบตบหลัง “ถ้าไม่อย่างนั้นยังคงอย่างสูบดีกว่า”
จางหัวปินดับหัวบุหรี่ ถอนหายใจออกมาพลางพูดว่า “มีเรื่องอะไรถึงดึงดันจะต้องทำให้คนเขาเสียใจขนาดนี้กัน?”
“เฮ้อ ยังคงอย่าพูดกับเธอดีกว่า ไป๋ยี่เฟยทำเช่นนี้ คงจะมีเรื่องอื่นที่ต้องไปทำ”
เฉินห้าวพยักหน้า
ตอนนั้นไป๋ยี่เฟยทิ้งโน้ตไว้สองแผ่น
อีกแผ่นอยู่ที่เฉินห้าว มีเพียงห้าคำ
“ร่วมมือกับลุงหลิว”
ตอนเห็นโน้ตสองแผ่นนี้ คนทั้งสามก็เข้าใจอะไรบางอย่าง
ไป๋ยี่เฟยเดาออกว่าหลิวโก๋จงจะหลอกใช้กระดาษอีกแผ่นมาเติมเชื้อไฟบอกกับหลิวเสี่ยวอิง เพื่อทำให้หลิวเสี่ยวอิงเชื่อคำพูดเขา
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงให้เฉินห้าวกับจางหัวปินร่วมมือกับหลิวโก๋จง
ซึ่งหลิวโก๋จงก็เห็นแล้วเข้าใจ แต่เขาคิดว่าไป๋ยี่เฟยจงใจ จงใจใช้โอกาสนี้มาสลัดลูกสาวตัวเองทิ้ง
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้คิดมาโดยสิ้นเชิง ทำตามวิธีนี้ของไป๋ยี่เฟยทันที
ซึ่งพวกเขาสามคนไม่รู้เลยว่าเพราะอะไรไป๋ยี่เฟยถึงต้องทำเช่นนี้?
……
ไป๋ยี่เฟยนั่งอยู่ในร้านอาหารเช้าแห่งหนึ่ง กินอาหารเช้าไปพลางมองดูผู้คนบนท้องถนนที่กำลังเร่งรีบเดินไปทำงานไปพลาง
มองคนเหล่านี้ เขาค่อยรู้สึกว่าภายในใจสงบลงมาบ้าง
กินอาหารเช้าเสร็จก็จ่ายเงินแล้วลุกขึ้นเดินออกไป
เขาเดินทางมายังสุสาน มาหยุดตรงหน้าหลุมศพน้องสาว
เขานั่งลง ลูบภาพน้องสาวที่อยู่บนป้ายสุสาน เล่าถึงเรื่องราวที่ประสบมาในระยะนี้
ซึ่งเขาในตอนนี้ สามารถรับรู้ได้อย่างสมบูรณ์ว่าร่างกายตนกำลังแก่ชราลงอย่างช้าๆ ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะแก่ตายเมื่อไหร่
“น้องสาว อยู่ข้างล่างคิดถึงพี่ชายไหม? อีกไม่นานพี่ก็จะลงไปอยู่เป็นเพื่อนเธอแล้ว”
เพิ่งจะสิ้นเสียงลง ก็มีกลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งโชยมาจากด้านหลัง ยังมีเสียงฝีเท้าอ่อนเบาอีกด้วย
ไป๋ยี่เฟยหันหลังไป หลังเห็นคนที่มาก็ตกใจอยู่บ้าง
คนที่มาเป็นผู้หญิง เธอยืนอยู่ข้างกายไป๋ยี่เฟย แล้วกล่าวว่า “ตอนนี้คุณกำลังรอความตายอยู่ใช่ไหม?”
ไป๋ยี่เฟยแปลกใจมาก “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
ผู้หญิงคนนี้เขานับว่าไม่สนิทกันอย่างมาก เพียงแค่รู้จักกันเท่านั้น แต่เห็นเธอยังคงทำให้เขาประหลาดใจมากเหมือนเดิม
หญิงสาวเพียงยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้คุณคงจะไม่มีที่ไปสินะ?”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า
หญิงสาวจึงกล่าวว่า “งั้นไปกับฉันเถอะ ฉันจะพาคุณไปสถานที่หนึ่ง”
ไป๋ยี่เฟยตามหญิงสาวไป
ไม่เพียงเป็นเพราะเขาไม่มีที่ไปจริงๆ ยังเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ด้วย
เธอคือสาวเจ้าของที่คนนั้นที่ชานเมืองเทียนเป่ย เขาประหลาดใจกับเธอมาก
เขาจำได้ว่าในความฝัน ชายวัยกลางคนบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเมียเขา ซึ่งชายวัยกลางคนคนนั้นคือเยว่
ไป๋ยี่เฟยตามหญิงสาวมายังบ้านหลังเล็กหลังนั้นอีกครั้ง โดยในครั้งนี้สาวเจ้าของที่เหมือนไม่คิดจะปิดบังอีก
เพราะในลานบ้าน ชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนม้านั่งเล็กๆ ตัวหนึ่ง เขาถือมีดแกะสลักไว้ แกะสลักกระบี่ไม้อย่างใจจดใจจ่อ
ก็คือชายวัยกลางคนคนนั้นที่เขาเห็นในฝัน
ไป๋ยี่เฟยพลันตะลึงงัน
สาวเจ้าของที่พาเขาเดินเข้าไปในลานบ้าน ชี้ไปที่ม้านั่งตัวเล็กที่อยู่ด้านข้างชายวัยกลางคน ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “นั่งสิ”
หลังกล่าวจบ หญิงสาวก็หยิบม้านั่งตัวเล็กอีกตัวนั่งลงข้างกายชายวัยกลางคน แล้วแนะนำตัวว่า “ฉันชื่อหยู่โม่”
ไป๋ยี่เฟยพยักหน้า กำลังคิดจะเอ่ยปากเรียกคน ชายวัยกลางคนก็ชิงเอ่ยปากก่อนว่า “ตามลำดับอาวุโส นายควรเรียกเธอว่าย่าทวด”
“เอ่อ……” ไป๋ยี่เฟยใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน
ดูเหมือนจะแก่กว่ากันกับตัวเองไม่มาก ถึงขนาดที่ว่าหญิงสาวยังจะอ่อนกว่าตัวเองด้วยซ้ำ แล้วต้องเรียกเธอว่าย่าทวด?
ชายวัยกลางคนหยุดงานที่อยู่ในมือชั่วคราว เงยหน้ามองไป๋ยี่เฟยพูดว่า “ฉันคือเยว่ เป็นปู่ของปู่นาย ดังนั้น นายควรเรียกเธอว่าย่าทวด”
หยู่โม่กลับเอ่ยขึ้นอย่างไม่ดีใจว่า “อย่าไปฟังเขา เรียกฉันว่าพี่ ปีนี้ฉันเพิ่งจะอายุยี่สิบห้าเองนะ!”
ไป๋ยี่เฟยทำสีหน้าบื้อใบ้
ยังอ่อนกว่าเขาอย่างคิดไว้จริงๆ ปีนี้เขาอายุยี่สิบเก้าแล้ว
หากนับตามอายุล่ะก็ ไป๋ยี่เฟยสามารถเรียกหยู่โม่ว่าน้องสาวได้ นับตามลำดับอาวุโส ไป๋ยี่เฟยเรียกเธอว่าพี่ เหมือนตนจะเอาเปรียบไป
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกสับสนเล็กน้อย จึงไม่ไปคิดถึงมันเสียเลย กล่าวกับเยว่แทนว่า “ผมจะตายแล้ว”
แม้เขาจะไม่รู้ว่าฝันของตนเองใช่ฝันหรือไม่กันแน่ แต่เขาเชื่อว่าอีกฝ่ายคือคนที่ถูกคนยกย่องให้เป็นตำนานที่ชื่อว่า เยว่
หลังเยว่ฟังจบก็เพียงแค่พยักหน้า “ดังนั้นจึงให้นายมารอความตายอยู่ที่นี่”
ไป๋ยี่เฟย “……”
ไป๋ยี่เฟยยิ้มอย่างเศร้าใจสุดแสน “ผมนึกว่าที่ให้ผมมาที่นี่ เพราะสามารถช่วยผมได้เสียอีก”
“มีวิธีช่วยนายจริงๆ” เยว่พูด “แต่ ช่วยชีวิตนายแล้ว ฉันก็จะตาย”
ไป๋ยี่เฟยถามอย่างไม่เข้าใจ “เป็นไปได้อย่างไร?”
เยว่กล่าวนิ่งๆ ว่า “ตอนนี้นายควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่าตอนนี้นายเป็นอะไร?”
ไป๋ยี่เฟยจึงถามว่า “งั้นผมเป็นอะไรกันแน่?”
ไป๋ยี่เฟยรู้ว่าตนเองเหมือนกับคนวัยชราคนหนึ่ง ร่างกายกำลังแก่ลงอย่างช้าๆ แต่ไม่รู้เลยว่านี่เกิดจากอะไรกันแน่?
“เกินขีดจำกัด”
“สมรรถภาพทางร่างกายของคนคนหนึ่งมีขีดจำกัด ตอนที่นายใช้พลังเกินขีดจำกัด ฉันจะรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก”
“หลายครั้งแล้ว ร่างกายรับไม่ไหว ย่อมจะพังทลาย”
“มีคนมากมายอิจฉาสายเลือดของพวกเรา รู้สึกว่านี่คือพรสวรรค์อันร้ายกาจมากชนิดหนึ่ง แต่ฉันไม่เห็นด้วย”
“มันคือยาพิษที่ทำให้คนเสพติดชนิดหนึ่ง”
“พวกเราสามารถกระตุ้นศักยภาพร่างกายโดยผ่านสายเลือดชนิดนี้ ทำให้ร่างกายเกิดขีดจำกัดของตัวเอง จากนั้นก็จะตระหนักได้ว่าศักยภาพที่เพิ่มขึ้นนำพารสชาติอันหวานหอมมาให้ จึงหลงใหลมันด้วยประการฉะนี้”
“แต่คนคนหนึ่งแข็งแกร่งกว่าผู้อื่น ย่อมจะมีความได้เปรียบ อย่างนั้นเขาก็ต้องแบกรับอันตรายมากกว่าผู้อื่นถึงจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้”
“ไม่มีใครกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้โดยที่ไม่จ่ายอะไรเลย”
“ซึ่งราคาที่พวกเราต้องจ่ายก็คือชีวิต”
คำพูดหนนี้ทำให้ไป๋ยี่เฟยนิ่งไป
เป็นเช่นนี้จริงๆ ทุกครั้งที่ไป๋ยี่เฟยแปรสภาพจะสามารถเอาชนะผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาได้จริงๆ แต่ทุกครั้งเขาจะรู้สึกว่าร่างกายไม่สบาย
แสดงว่า ที่ตอนนี้เขาเห็นเพียงกลางวัน ก็เพราะร่างกายกำลังเตือนเขา
เขาทำให้ร่างกายเกินขีดจำกัดจึงกระทบถึงการทำงานปกติของสมอง
หลังไป๋ยี่เฟยคิดจนเข้าใจแล้วก็หัวเราะเสียงขื่น “ดังนั้นผมจึงต้องจ่ายด้วยชีวิตล่วงหน้าของผม ตอนนี้ไร้หนทางที่จะดึงกลับมาแล้วใช่ไหม?
เยว่ส่ายหน้า