ซุปเปอร์มหาเศรษฐีหน้าใหม่ - บทที่1070 อย่าตามฉันมา
“เป็นคนอื่นคงไร้หนทางแล้วจริงๆ แต่ดันโชคร้ายที่ฉันทนไม่ไหวพบนายเข้า”
“ฉันมีวิธีช่วยนาย”
ไป๋ยี่เฟยไม่เข้าใจที่พูดมา ในเมื่อเขามีวิธีช่วยตน อย่างนั้นก็ควรบอกว่าโชคดีมากสิ ทำไมถึงบอกว่าโชคร้ายกันล่ะ?
จู่ๆ ไป๋ยี่เฟยก็คิดถึงคสามเป็นไปได้อย่างหนึ่ง “ต้องจ่ายด้วยราคาแพงใช่ไหม?”
เยว่ชะงักไปเล็กน้อย กลับเกิดความคาดหมายอยู่บ้างที่ไป๋ยี่เฟยคิดถึงจุดนี้ได้
หยู่โม่นั่งพิงอยู่ข้างกายเยว่ ยิ้มกล่าวว่า “เหลนช่างฉลาดจริง!
ไป๋ยี่เฟย “……”
ที่ตกลงกันไว้ให้เรียกเธอว่าพี่ล่ะ ทำไมถึงกลายเป็นเหลนได้?
พอเธอเรียกแบบนี้ รู้สึกราวกับกำลังด่าตนเอง
หยู่โม่เหมือนกับมองความคิดในใจของไป๋ยี่เฟยออก ดังนั้นจึงยิ้มกล่าวว่า “นายเรียกฉันว่าพี่ได้ งั้นฉันต้องเรียกนายยังไง แน่นอนว่าฉันอยากเรียกยังไงก็จะเรียกอย่างนั้น”
“……ได้” ไป๋ยี่เฟยเองก็ไม่โต้เถียงเรื่องพวกนี้แล้วเช่นกัน
หยู่โม่กล่าวต่อว่า “ช่วยนายแน่นอนว่าช่วยได้ แต่นี่คือการสิ้นเปลืองพลังครึ่งหนึ่งของบรรพบุรุษนาย”
ไป๋ยี่เฟยเข้าใจขึ้นมาทันที “ดังนั้นที่โชคร้ายคือคุณใช่ไหม?”
เยว่ต้องสิ้นเปลืองพลังครึ่งหนึ่งมาช่วยเขา ดังนั้นจึงเป็นความโชคร้ายของเขา
ทว่าเยว่กลับส่ายหน้าพูดว่า “ยังมีโชคร้ายของนายด้วย”
“ผม? เพราะอะไร?” ไป๋ยี่เฟยงงงันอีกแล้ว
หากเยว่ช่วยตน อย่างนั้นตนก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ สามารถไปเผชิญหน้ากับเมียและลูกตัวเองใหม่อีกครั้งได้ รับผิดชอบต่อผู้หญิงของตัวเอง ทั้งยังสามารถนำพาพวกพี่น้องของตนเองทำธุรกิจต่อไปได้ จะโชคร้ายได้ยังไงกัน?
เยว่ส่ายหน้าถอนหายใจกล่าวว่า “นายคือหนึ่งในคนที่ถูกเลือกของพวกเขา”
ไป๋ยี่เฟยตกตะลึง “พวกเขา? เป็นใคร? อะไรคือคนที่ถูกเลือก?”
“ก่อนหน้านี้ได้ยินพวกเขาเคยบอกว่าผมคือผู้สมัครคัดเลือกของคลังเก็บทอง ใช่ความหมายนี้ไหม?”
เยวยิ้ม กล่าวกับไป๋ยี่เฟยว่า “นายไม่ใช่เริ่มสงสัยแล้วหรอกเหรอ?”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งไปเล็กน้อย
แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้เริ่มสงสัยผู้สมัครคัดเลือกคลังเก็บทองอะไรนั่นเลย
ตั้งแต่เขาเริ่มรับช่วงบริษัทโหวจวี๋เป็นต้นมา จนถึงตอนนี้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดคือผลของการที่เขาถูกเลือก
ความหมายก็คือที่เขาเดินมาถึงวันนี้ได้ เพราะมีคนที่อยู่เบื้องหลังผลักให้เขาเดิน ในระหว่างนั้นไม่ว่าขาดขั้นตอนไหนไป เขาคงไม่สามารถเดินมาถึงสถานการณ์อย่างในวันนี้ได้
ตระกูลหวังปรากฏตัวขึ้นมากะทันหันเกินไป นี่บอกเป็นนัยให้ไป๋ยี่เฟยบางส่วน
ดังนั้นไป๋ยี่เฟยจึงเริ่มสงสัย และด้วยเหตุนี้จึงไปหาไป๋เซี่ยวที่เมืองหลวง
ตอนนี้เขาเองก็แน่ใจความสงสัยและการคาดเดาของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
หลังซินชิวรู้ว่าตนเองกำลังจะตายก็จากไป หากเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ ตอนนี้ซินชิวไปเมืองหลวงแล้ว
เยว่เห็นท่าทางเขาครุ่นคิด ก็กล่าวเรียบๆ ว่า “ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นสิ่งที่คนเบื้องหลังวางแผนไว้อย่างดี”
“เพราะนายคือสายเลือดของฉัน”
“ที่พวกเขาวางแผนการเหล่านี้เพียงเพื่อทำให้นายเกินขีดจำกัดของชีวิตตัวเองอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันพวกเขาก็รู้ว่าฉันสามารถช่วยนายได้ ซึ่งฉันช่วยนายก็ต้องสิ้นเปลืองพลังของตัวเองไปครึ่งหนึ่ง”
“นี่ก็คือเป้าหมายของพวกเขา ซึ่งนายแค่เป็นหมากที่ถูกพวกเขาหลอกใช้เท่านั้น”
“ก็เท่ากับว่านายโชคร้ายมากที่กลายเป็นทายาทรุ่นหลังของฉัน มีสายเลือดของฉัน ถูกคนเหล่านี้หลอกใช้มาจัดการฉัน”
หลังไป๋ยี่เฟยฟังคำพูดนี้จบตัวคนก็ทึ่มทื่อไปแล้ว
คำพูดเหล่านี้โจมตีเขาหนักหน่วงเกินไป ทำให้เขายากที่จะเชื่อ
ถึงขนาดที่ว่าเขาไม่อาจรับคำว่า’ พวกเขา’ ที่ออกมาจากปากเขาได้
เวลานี้ เยว่พูดอีกว่า “ที่โชคร้ายยิ่งกว่าคือ ฉันไม่มีทางทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมายแน่ ดังนั้น ฉันจะไมทช่วยนาย”
ไป๋ยี่เฟยนิ่งไปอีก พร้อมกับก้มหน้าลง
หลังผ่านไปชั่วขณะ จู่ๆ เขาก็พูดขี้นว่า “คุณพูดเรื่องเหล่านี้กับผม คือการทำให้ผมตายตาหลับใช่ไหม?”
เยว่พยักหน้า “พูดเช่นนี้ก็ได้ แต่ฉันหวังว่านายจะเข้าใจฉัน”
“หลานฉันมีมากมาย มีพรสวรรค์เหมือนกับนายก็มีมากมายเช่นกัน สำหรับฉันแล้วเป็นการสูญเสียหนึ่งคนในนั้น ดังนั้นฉันจึงไม่มีทางเสี่ยงอันตรายเพื่อนาย และไม่มีทางทำให้พวกเขาบรรลุเป้าหมาย”
“ผมรู้แล้ว” ไป๋ยี่เฟยพยักหน้าแล้วลุกขึ้นต้องการจะจากไป
เขาสามารถเข้าใจสิ่งที่เยว่พูดได้ ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่ต้องการให้คนเหล่านั้นทำแผนชั่วสำเร็จจริงๆ แต่ความเข้าใจเป็นเรื่องหนึ่ง ความรู้สึกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ด้านความรู้สึกเขาไม่อาจรับได้ที่เยว่ปฏิบัติต่อลูกหลานของตัวเองอย่างเย็นชาขนาดนี้ ทำให้เขาไม่รู้สึกถึงความใกล้ชิดทางสายเลือดโดยสิ้นเชิง
ไป๋ยี่เฟยเดินไปถึงหน้าประตูบ้านแล้ว หยู่โม่ถึงกับตามเขามา “ไป๋ยี่เฟย”
“เขามีความลำบากใจของเขา อีกทั้งความลำบากใจของเขาใหญ่หลวงเกินกว่าที่นายจะจิตนาการได้ หากไม่ใช่เพราะการดำรงอยู่ของเขา พวกผู้เฝ้าคลังเก็บทองเหล่านั้นคงเปลี่ยนปีศาจชั่วร้ายที่เข้ายึดครองคลังเก็บทองไปแล้ว
“ดังนั้น เขาไม่อาจตายได้”
ไป๋ยี่เฟยหยุดเดิน
สำหรับคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้เกินความคาดหมายที่เขาคิดไว้ เพราะเขาเดาได้คร่าวๆ นานแล้ว
ซึ่งเขาเองก็เข้าใจได้จริงๆ แต่เขาไม่ให้อภัยเด็ดขาด
“ผมเข้าใจความลำบากใจของเขาได้ ส่วนด้านคุณธรรมพูดได้ว่าเขาคุ้มค่าที่ทำให้คนเลื่อมใส
“แต่ ผมเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ผมมีครอบครัวของตัวเอง เพื่อนของตัวเอง ผมอยากมีชิวิตอยู่ ใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขาไปตลอดชีวิต”
“ดังนั้นขอโทษด้วย ผมไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ผมทำไม่ได้ที่ต้องชดใช้ชีวิตด้วยความยินยอมพร้อมใจ แล้วก็ถึงขอให้ยกโทษให้ผมก็ไม่อาจยกโทษให้ได้”
สิ้นคำ หยู่โม่ราวกับอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายยังคงไม่พูดออกมา
ก่อนที่ไป๋ยี่เฟยจะเดินออกไปจู่ๆ ก็ถามขึ้นมาหนึ่งประโยคว่า “พวกเขา……ใช่ทุกคนไหม?”
“ใช่!” เยว่ตอบ
ไป๋ยี่เฟยยังเดินไปข้างหน้าไม่หยุด “ผมรู้แล้ว”
ชั่วขณะนี้ ไป๋ยี่เฟยรู้สึกอ่อนล้าทั้งกายใจ ความเศร้าเสียใจอันมากล้นทำให้เขาทนไม่ไหวอยากจะร้องไห้โฮออกมา
พวกเขาถึงกับรวมถึงทุกคน
ทุกคน!
เขาเคยคิดว่าจื่ออีที่เป็นผู้อาวุโสของตัวเอง สอนสิ่งต่างๆ ให้เขามากมาย จื่ออีที่นำพาความอบอุ่นมาให้ราวกับญาติของเขา ถึงกับรวมอยู่ในนั้นด้วย
ไป๋ยี่เฟยรู้สึกเศร้ารันทดเหลือเกิน
คนที่เขาคิดว่าเป็นญาติ กลับเป็นศัตรูที่ใจร้ายที่สุดกับเขา
พวกเขาทุกคนล้วนกำลังหลอกใช้ตน
พวกเขาเพียงต้องการบรรลุเป้าหมาย ไม่เคยวางมันไว้ในใจจริงๆ
เขาเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง
เป็นหมากที่ถูกทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้
“พี่ไป๋”
หลิวเสียขับรถสภาพยับเยินอยู่บ้างคันหนึ่งมาจอดอยู่ริมทาง หลังเธอเรียกก็รีบลงมาจากรถ ยังถามอย่างดีใจมากว่า “พี่ไป๋ ทำไมพี่มาอยู่ที่นี่ได้?”
ทว่าตอนนี้ไป๋ยี่เฟยกำลังแบกรับความเศร้าเสียใจอันมากล้น สำหรับหลิวเสียที่มีความดีใจเต็มใบหน้าจึงไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง
เขาเพียงเดินอ้อมเธอไปราวกับมองไม่เห็น เดินหน้าต่อไป
หลิวเสียสังเกตเห็นความผิดปกติ จึงรีบตามไป “พี่ไป๋ พี่ไม่มีความสุขใช่ไหม? แขนของพี่เป็นอะไร?”
แขนของไป๋ยี่เฟยระหว่างสู้กับหวังสือชุ่นได้หักละเอียดไปแล้ว
ทว่าไป๋ยี่เฟยยังคงไม่สนใจเธอ เดินไปข้างหน้าต่อราวกับมองไม่เห็น
หลิวเสียเห็นเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “พี่ไป๋ ตอนนี้ฉันขับรถเก่งขึ้นแล้วนะ พี่อยากไปไหนฉันไปส่งพี่ได้หมดเลย”
ไป๋ยี่เฟยหยุดเดินในที่สุด พูดเสียงเรียบว่า “ไป อย่าตามฉันมา”
หลิวเสียใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ
ไป๋ยี่เฟยเดินไปข้างหน้าต่อ
……
ไป๋ยี่เฟยยากจะเชื่อเรื่องเหล่านี้มาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่เต็มใจอย่างมาก เขาอยากจะไปยืนยันต่อหน้า
ดังนั้นเขาจึงมาหนุดที่ท่าเรือหนึ่ง หลังเช่าเรือมาลำหนึ่งแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังหลันเต่า
บนดาดฟ้าเรือ ไป๋ยี่เฟยพิงอยู่ข้างราวกั้น รับลมทะเล หวนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีมานี้