ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 158 ผมรักษาได้ทั้งโรคภัยและสันดาน
บทที่ 158 ผมรักษาได้ทั้งโรคภัยและสันดาน
“หึ” หลินอิ่งขำอย่างไม่ชอบใจ แล้วมองหน้าเจิ้งหยวนเป่าอย่างน่าสนใจ “แล้วคุณเป็นใครล่ะ?”
“ไอ้คนโง่เง่า เดี๋ยวพ่อจะพูดให้ฟัง ในเมืองเกาหยางแห่งนี้ นอกจากหัวหน้าที่อาวุโสกว่า ใครก็ตามที่เห็นหน้าฉันมีใครบ้างที่จะไม่ทำตัวนอบน้อม? แล้วกะอิแค่ไอ้บ้านนอกที่มาจากเมืองตุงไห่อย่างแกยังกล้ามาวางท่ากับฉันอีกอย่างนั้นเหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าคำรามออกมาอย่างเดือดดาล
“บอดี้การ์ด มานี่!” เจิ้งหยวนเป่ากวักมือเรียกบอดี้การ์ดตัวสูงใหญ่ที่เป็นชาวต่างชาติมาสองคน พวกเขาใส่แว่นดำ สีผิวดำคล้ำ กล้ามแขนเป็นมัดๆ
“ตอนอยู่ที่สนามบินแกเก่งนักใช่มั้ย? เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนแกเอง อยู่ที่มณฑลเกาหยางแห่งนี้ ก็ควรรู้จักกฎเกณฑ์ของมณฑลเกาหยางด้วย พ่อไม่สนหรอกว่าตอนอยู่ที่เมืองตุงไห่แกโกหกจนมีชื่อเสียงขนาดไหน จนทำให้กงซุนชิวอวี่ยังหลงเชื่อแก” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“คุกเข่าลงมาขอโทษฉันเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็สารภาพมาซะว่าแกเป็นแค่นักต้มตุ๋นที่มากประสบการณ์เท่านั้น” เจิ้งหยวนเป่าข่มขู่ด้วยความไม่พอใจ จากนั้นก็หยิบกล้องออกมาตัวหนึ่งเตรียมที่จะถ่ายคลิปตอนที่หลินอิ่งคุกเข่าลงมาขอโทษและสารภาพว่าตัวเองเป็นนักต้มตุ๋น พอถึงตอนนั้นค่อยเอาไปให้กงซุนชิวอวี่ดู
เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าคนอย่างหลินอิ่งจะมีวิธีแพทย์ที่สูงขนาดนั้น แล้วยังจะให้ไปรักษานายท่านกงซุนอีก นี่มันบ้าชัดๆ
“พ่อจะนับหนึ่งถึงสิบ พอถึงสิบเดี๋ยวจะอัดแกให้คุกเข่าเอง!” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
เขาทนรอที่จะเห็นหลินอิ่งคุกเข่าลงไม่ไหวแล้ว กล้ามาทำตัวเด่นต่อหน้าผู้หญิงของเขา โทษตายสถานเดียว! ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกเจ็บใจ เขาตามจีบกงซุนชิวอวี่มาตั้งหลายปี ใช้มาหมดแล้วทุกวิธี ไม่ว่าเขาจะแสดงความรักด้วยวิธีไหนก็ตาม กงซุนชิวอวี่ก็ยังเมินเฉยอยู่ดี
แล้วไอ้ต้มตุ๋นที่ต่ำต้อยคนนี้มีสิทธิ์อะไรทำให้กงซุนชิวอวี่ต้องต้อนรับมันด้วยรอยยิ้มด้วย แถมยังดูเป็นกันเอง ยังนั่งด้วยกันอีกด้วย
หลินอิ่งส่ายหน้า จุดบุหรี่มวนหนึ่ง ช่างเป็นเรื่องที่วุ่นวายจริงๆ เขาเข้าใจเรื่องราวแล้ว เจิ้งหยวนเป่านี้มันเป็นพวกที่ชอบทำตัวเก่งต่อหน้าคนเยอะๆ สินะ
“ไอ้เชี่ยเอ๊ย อยู่ต่อหน้าฉันแล้วยังจะมาแสดงอีก? จุดบุหรี่เหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าถลกแขนเสื้อขึ้น โมโหอย่างสุดขีด การกระทำของหลินอิ่งนี่มันไม่ได้มีเขาอยู่ในสายตาเลยนี่นา
“แกรนหาที่ตายเองนะ กระทบจนกว่ามันจะยอมคุกเข่าลง!” เจิ้งหยวนเป่าพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับดีดนิ้วไปทีหนึ่ง
บอดี้การ์ดตัวใหญ่สองคนก็หักข้อนิ้วตัวเองจนเกิดเสียงดัง พร้อมกับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มที่เยาะเย้ย
ท่าทางอ่อนแอซะขนาดนั้น ตบที่เดียวก็กระเด็นแล้ว
ฟู่!
บอดี้การ์ดทั้งสองมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วมาก ฝ่ามือทั้งสองถูกเหวี่ยงออกไปอย่างรวดเร็ว จนเกิดเสียงแหวกอากาศดังขึ้น
ตุ๊บ!
ทันใดนั้น หลินอิ่งก็ได้ถีบขาออกไป ทำเอาบอดี้การ์ดทั้งสองกระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง เลือดสดๆ ทะลักออกจากปาก แว่นดำแหลกละเอียดอยู่ที่พื้น แววตาเต็มไม่ด้วยความตะลึง
การโจมตีในครั้งนี้ มันเป็นการถีบโดยใช้กำลังภายใน พลังในการทำลายล้างของมันทำให้ร่างกายส่วนล่างถึงกับพิการไปเลย
หลินอิ่งมองมาที่เจิ้งหยวนเป่าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“นี่? นี่แก?” เจิ้งหยวนเป่ายังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วหันไปมองบอดี้การ์ดทั้งสองที่ถูกซัดจนกระเด็นไปแล้ว
ด้วยสรีระของหลินอิ่ง เขาสามารถถีบคนที่หนักสองร้อยปอนด์ให้กระเด็นได้ยังไง?
สองคนนี้เป็นถึงนักชกแชมเปี้ยนที่เขาจ้างมาอย่างแพงจากลาตินอเมริกาเลยนะ
เพรี๊ยะ!
เสียงแสบหูดังขึ้น ฝ่ามือหนักๆ ตบเข้าที่บ้องหู ตบจนเจิ้งหยวนเป่าหมุนวนอยู่กับที่ เห็นดาวระยิบระยับ จากนั่นก็ล้มลงพื้นพร้อมกับใบหน้าที่บวมไปครึ่งหนึ่ง
“อะไรเนี่ย? นี่แกกล้าตบหน้าฉันเหรอ?” เจิ้งหยวนเป่าไม่อยากจะเชื่อ เขารับไปไม่ได้ เขาอยู่มาตั้งยี่สิบกว่าปี ยังไม่เคยถูกใครตบหน้าแบบนี้มาก่อนเลย! นี่มันหน้านะ หน้าของเขาที่เป็นถึงคุณชายให้แห่งมณฑลเกาหยางผู้สูงศักดิ์ยังกล้าแตะต้องเหรอ?
“แกตายแน่ ที่กล้ามาทำร้ายฉันถึงในมณฑลเกาหยางแบบนี้? แกไอ้ปลาเน่า…” เจิ้งหยวนเป่าเริ่มแหกปากออกมาเหมือนกับราวกับเพิ่งถูกทำให้อับอายขายหน้าอย่างถึงที่สุด แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ หลินอิ่งก็ได้กระทืบเท้าลงมาเหยียบอยู่บนใบหน้าของเขา เหยียบจนเขาร้องโหยหวน เหยียบจนเลือดกำเดาเริ่มไหล
“เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ? จะกระทืบผมเหรอ?” หลินอิ่งมองจ้องหน้าเจิ้งหยวนเป่าด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย
“ฉะ ฉัน……” เจิ้งหยวนเป่าอยากจะตะโกนด่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นแววตาที่เยือกเย็นของหลินอิ่งแล้ว ใจก็เต้นรัวด้วยความหวาดกลัว จนต้องก้มหน้าลงอย่างไม่รู้ตัว
“ตั้งแต่ลงเครื่องมาคุณก็เอาแต่พูดไม่หยุด พูดเก่งนักใช่มั้ย ทำไมไม่พูดแล้วล่ะ?” หลินอิ่งกับแววตาที่เย็นชา เขาเองก็ถูกพูดจนทนไม่ไหวแล้ว
ตุ๊บ!
หลินอิ่งเตะเท้าออกไป เตะจนเจิ้งหยวนเป่ากระเด็นออกไปกว่ายี่สิบเมตร แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่เจ็บปวด เอามือกุมเป้ากางเกงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพล่าน
ถึงการโจมตีนี้จะไม่รุนแรงถึงขั้นทำให้เขาเป็นหมัน แต่ในช่วงปีสองปีนี้เขาคงทำตัวให้สมเป็นผู้ชายไม่ได้แล้ว เพราะมันต้องใช้เวลาฟื้นฟู
การลงมือของหลินอิ่งนั้น เขาค่อนข้างมั่นใจในผลลัพธ์อยู่เสมอ
“ฮือออ! อ้า ฉันจะให้คนมาฆ่าแกให้ตาย!” เจิ้งหยวนเป่าตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง เสียงที่เล็กแหลมกังวานไปทั่ววิลล่า
พรึบพรับ
เพียงครู่เดียว ก็ได้มีบอดี้การ์ดที่ใส่สูทสิบกว่าคนวิ่งเข้ามาด้วยความแตกตื่น ชายหญิงวัยกลางคนที่ดูดีอีกหลายคนก็ได้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ซีเรียสเหมือนกัน
“ที่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามขึ้น เหลียวไปมองเจิ้งหยวนเป่าที่กำลังทุกข์ทรมานอยู่ทีหนึ่งจากนั้นก็หันมาจ้องเขม็งที่หลินอิ่งด้วยแววตาที่มีแต่ไฟแห่งโทสะ
“คุณลุงครับ! พ่อครับ! ไอ้บ้านนอกนี่มันกล้าเข้ามาทำร้ายผมถึงที่นี่เลยครับ แถมยังเตะกล่องดวงใจผมด้วย ผมจะตัดตอนมัน!” พอเจิ้งหยวนเป่าให้คนที่มาช่วยเขาก็แหกปากออกมาอีกครั้ง
“พ่อครับ ลุงครับ รีบสั่งให้คนมาจับตัวมันไว้เร็วครับ ผมจะกระทืบมันให้พิการไปเลย! ตัดตอนมัน!” เจิ้งหยวนเป่าโอดครวญออกมาด้วยความเดือดดาล
ในชั่วขณะหนึ่งทุกคนที่นั่นต่างจ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่โกรธแค้น
“กล้ามาทำร้ายลูกชายของฉันถึงที่นี่เลยเหรอ จับตัวมันเอาไว้! แล้วหักแขนมันซะ!” ชายวัยกลางคนโบกมือให้บอดี้การ์ดสิบกว่าคนพุ่งเข้าใส่โดยที่ยังไม่ทันได้ถามหาข้อเท็จจริงเลยสักนิด
หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ตอนแรกก็คิดจะพอแล้ว แต่คนพวกนี้ก็เข้ามารนหาที่เอง
ตุ๊บตั๊บตุ๊บตั๊บ!
เห็นแต่กำปั้นที่พุ่งออกมาราวกับพายุ กับฝ่าเท้าอีกสามสี่ห้าหกที ครั้งละคนละคน จนบอดี้การ์ดสิบกว่าคนลงไปนอนกองกับพื้น เลือดพุ่งออกจากปาก กลุ่มวัยกลางคนพวกนั้นตกใจจนหน้าซีดไปหมดแล้ว
ภายใต้แววตาของทุกคนที่กำลังตะลึงอยู่นั้น หลินอิ่งก็ได้เดินเข้าไปยื่นมือไปดึงคอเสื้อของเจิ้งหยวนเป่าขึ้น
“กะ แกคิดจะทำอะไร?” เจิ้งหยวนเป่าถามออกมาอย่างหวาดวิตก หลินอิ่วคนนี้ฝีมือร้ายกากเกินไปแล้ว
“ทำอะไรเหรอ? ปากดีนักไม่ใช่เหรอคุณน่ะ?” หลินอิ่งขำออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วมองไปที่พ่อของเจิ้งหยวนเป่า “ผมจะตีลูกของคุณต่อหน้าพวกคุณนี่แหละ”
พูดจบ เพรี๊ยะๆๆ เขาตบหน้าเจิ้งหยวนเป่ารัวๆ สามที ทำเอาถึงกับกระอักเลือด แก้มบวมอย่างกับซาลาเปาลูกใหญ่
“แกยังกล้าทำร้ายฉันอีกเหรอ? แกได้ตายจริงๆ แน่ ไอ้ปลาเน่าเอ๊ย!” เจิ้งหยวนเป่ายังคงไม่พอใจ เขาพูดออกมาด้วยสายตาที่แสนโกรธแค้น
ซิ่ว หลินอิ่งเอามือบีบลำคอของเจิ้งหยวนเป่าเอาไว้ จากนั้นก็จิ้มสองนิ้วเข้าไปในปาก แล้วก็มีฟันสามซี่กระเด็นออกมาเจ็บจนเขาสะดุ้งไปทั้งตัว ลิ้นเกร็งไปหมด พร้อมกับเสียงโหยหวนที่แสนเจ็บปวด
“แกกล้าทำถึงขนาดนี้! แกเป็นใครกันแน่?” พ่อของเจิ้งหยวนเป่าที่สีหน้าตกตะลึง กำลังเสียขวัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
“หลินอิ่ง” หลินอิ่งตอบไปอย่างเรียบเฉย แล้วเตะเจิ้งหยวนเป่าที่เหมือนหมาหัวเน่าออกไป
“นี่? หลินอิ่ง คุณคือหมอวิเศษที่กงซุนชิวอวี่เชิญมาอย่างนั้นเหรอ?” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งพูดขึ้น “คุณมาช่วยรักษาโรคไม่ใช่เหรอคะ? แล้วทำไมถึงมาทำร้ายคนอื่นอย่างนี้ล่ะคะ?”
หลินอิ่งตอบมาอย่างเรียบเฉยว่า “ผมรักษาทั้งโรคภัยและสันดานครับ”