ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 242 จับตาดูตระกูลกงซุน
“ท่านอิ่ง ที่ท่านพูดมาเป็นปัญหาเล็กนิดเดียว” หยูจื๋อเฉิงพูดขึ้นมา “ผมช่วยท่านจัดการทรัพย์สินของตระกูลหลินทั้งหมดแล้ว ในทรัพย์สินนี้มีเครือหยกอัญมณีข้ามชาติขนาดใหญ่อยู่หลายเครือ สุ่มเลือกมาจากในนี้สักคน ก็เป็นรุ่นพี่วงการเครื่องประดับของประเทศหลุงได้หมด”
“อืม ไม่เลว” หลินอิ่งพูด
ไม่ต้องสงสัยในความสามารถของหยูจื๋อเฉิงเลย ยังไงเขาก็วางใจเป็นพิเศษ
ในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ของเขาในเมืองตี้จิง ภายใต้การจัดการของหยูจื๋อเฉิง ก็โคจรไปอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
“จริงสิ ท่านอิ่ง พรุ่งนี้ท่านจะมาถึงกี่โมงขอรับ? ผมจะได้เตรียมตัวไปรับ” หยูจื๋อเฉิงถาม
“เรื่องมารับไม่ต้องหรอก พอถึงแล้วฉันจะโทรหานาย ไปหานายเอง” หลินอิ่งบอก
“ขอรับ” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “จริงสิ ท่านอิ่ง ก่อนหน้าผมทำตามที่คุณสั่ง แอบสืบร่องรอยของตระกูลเหวินมาตลอด ช่วงนี้ผมได้ข่าวมาข่าวหนึ่ง เกี่ยวกับตระกูลเหวิน แต่เพราะลูกน้องกำลังดำเนินการสืบอยู่ ยังสถานการณ์ความเป็นจริงยังไม่ได้รับการยืนยัน จึงไม่ได้รายงานท่านแต่แรก”
“อ้อ? นายสืบได้ความแล้วเหรอ?” หลินอิ่งดูมีความสนใจ “เอาอย่างนี้แล้วกัน พรุ่งนี้เจอกันค่อยบอกรายละเอียดกับฉัน”
“ขอรับ”
เสียง “ตึ๊ด” ดังขึ้น หลินอิ่งวางสายลง เอนตัวลงบนเบาะหลัง สายตาค่อยๆ ดูลึกขึ้น
นึกไม่ถึงว่า หยูจื๋อเฉิงจะสืบพบเบาะแส
จากนิสัยที่เข้มงวดของหยูจื๋อเฉิง ถ้าไม่แน่ใจในข่าวว่าจริงหรือปลอม ก็จะไม่เอ่ยขึ้นมาต่อหน้าเขา
บางที การเดินทางไปตี้จิงครั้งนี้อาจจะเก็บเกี่ยวอะไรได้บ้าง……
20 นาทีผ่านไป หลินอิ่งก็กลับถึงสวนดอกไม้ในวิลล่าบนเกาะเทียม
ภายในสวน กงซุนฉางเฟิงนั่งอยู่บนโต๊ะน้ำชาด้วยท่าทางระวังตัว หัวใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
ในบริเวณรอบๆ มีบอดี้การ์ดสิบกว่านายยืนตามจุดต่างๆ เตรียมความพร้อมอย่างเข้มงวด
หลังจากถูกฮาเดสซ้อม กงซุนฉางเฟิงก็ถูกพาตัวมาที่เกาะเทียม นั่งอยู่กับที่ด้วยจิตใจที่หวาดผวาอยู่นานแล้ว รอหลินอิ่งทำธุระเสร็จกลับมา
ในสายตาของกงซุนฉางเฟิง หลินอิ่งมีความลึกลับมากจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะมีฐานลับอยู่เมืองชิงหยูนเช่นนี้ บนเกาะเทียมแห่งนี้ทั้งหมดเป็นคนชุดดำที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดี
อีกทั้งเมื่อก่อนที่ตัวเองตามสืบข้อมูลหลินอิ่ง กลับสืบไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย!
ไม่รู้ว่า สุดท้ายหลินอิ่งจะจัดการกับเขาอย่างไร
กงซุนฉางเฟิงใช้เวลาอยู่นาน ครุ่นคิดที่มาของหลินอิ่งนับไม่ถ้วน แต่ทำอย่างไรก็คิดไม่ออก ว่าคนเทวดานี่โผล่มาจากไหน
จากฝีมือของกงซุน สามารถล้มบอดี้การ์ดชุดดำได้ทุกเมื่อ แล้วก็หลบหนีไป แต่เขากลับไม่กล้าทำเช่นนี้ เพราะถ้าหลินอิ่งโกรธจริงๆ ขึ้นมา เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าแก๊งหยางเหมินที่อยู่เบื้องหลังเขาจะปกป้องเขาได้หรือไม่
ในขณะที่เขาหวาดผวาไม่เป็นสุข หลินอิ่งพาฮาเดสเดินเข้าสู่สวนดอกไม้อย่างช้าๆ
หลินอิ่งลากเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งมานั่ง หยิบกาน้ำชารินชาลงในถ้วย
“ประธานหลิน”
พอหลินอิ่งมาถึง กงซุนฉางเฟิงก็รีบยืนขึ้น ด้วยท่าทางระมัดระวัง
“ประธานหลิน ช่วงเวลานี้ผมคิดได้แล้ว ผมจะทำงานให้คุณ” กงซุนฉางเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก พูดด้วยความเคารพว่า “ถ้าคุณยินยอม ผมอยากขอเข้าแก๊งคุณ ฝึกฝนการต่อสู้”
นี่คือผลหลังจากที่เขาไตร่ตรองอยู่นาน ตัดสินใจภักดีติดตามหลินอิ่ง และยกให้หลินอิ่งเป็นอาจารย์
เช่นนี้ไม่เพียงสามารถเอาชีวิตให้รอดจากวิกฤต ยังได้เข้าแก๊งของผู้สูงส่งท่านนี้ เรียกว่ายิงลูกศรคันเดียวได้นกสองตัวประเสริฐสุดจริงๆ
ส่วนคนแบบกงซุนฉางเฟิงประเภทนี้ เงินทองเป็นของนอกกาย สิ่งที่แสวงหาก็คือพลังการต่อสู้ที่เหนือสามัญ หลินอิ่งสามารถทำให้เขาเก่งได้ นั่นต่างหากที่สำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด
หลินอิ่งจิบน้ำชาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า: “นายยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้าแก๊งฉัน”
“เอ่อ……” กงซุนฉางเฟิงอายจนหน้าแดง ก้มหน้าลง
จากความสามารถที่แข็งแกร่งของเขา จะตั้งชื่อเป็นสำนักต่อสู้อาจารย์อะไร ตั้งอยู่เมืองไหนก็สามารถก่อตั้งสำนักได้อยู่แล้ว ปรากฏคิดจะไปกราบขอคนอื่นเป็นอาจารย์ กลับถูกปฏิเสธโดยไม่ลังเลเลย ช่างเป็นเรื่องน่าละอายจริงๆ
ว่าแต่ ประโยคที่หลินอิ่งพูดมา เขาก็ยอมรับ
“ถ้านายทำงานดี ฉันจะสอนนายสองท่า” หลินอิ่งมองไปยังกงซุนฉางเฟิง เขารู้ความคิดของคนผู้นี้ดี
“ฉันมีงานหนึ่งจะให้นายทำ” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ประธานหลิน เชิญสั่งมาได้เลย” กงซุนฉางเฟิงก้มหน้าตอบ
“นายมาจากตระกูลกงซุนเมืองเกาหยาง น่าจะคุ้นเคยกับสถานการณ์ทางนั้น ฉันจะจัดทีมให้นายหนึ่งทีม พรุ่งนี้กลับไปที่เมืองเกาหยางคอยแอบซุ่ม จับตาดูกงซุนเฟยเทียนคนพวกนั้นให้ฉันที มีอะไรเคลื่อนไหว ให้รีบรายงานฉันด่วน” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ความหมายของท่านคือ จะแทรกแซงเรื่องของตระกูลกงซุน?” กงซุนฉางเฟิงพูดด้วยสีหน้าฉงน “เรื่องราวตระกูลกงซุนในเมืองเกาหยาง ล้ำลึกมากเลยนะ”
เรื่องของตระกูลกงซุน ไม่ได้ง่ายอย่างที่เห็นแบบผิวเผิน
กงซุนฉางเฟิงเป็นลูกหลานของตระกูลซุน แล้วก็เกิดที่แก๊งหยางเหมิน มีความสัมพันธ์สองชั้นเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้เรื่องภายในมากนัก มีบทบาทเป็นนักสู้เท่านั้น ไม่รู้ว่าเกมภายในนั้นซับซ้อนขนาดไหน
อีกทั้ง สถานการณ์ของตระกูลกงซุน ไม่ได้มีเพียงอิทธิพลแก๊งหยางเหมินเท่านั้นที่เข้าแทรกแซง ยังมีแก๊งอื่นที่อิทธิพลไม่ด้อยกว่าแก๊งหยางเหมินแทรกแซงด้วย
“ไม่ต้องถามมาก นายแค่ทำตามทั้งหมดก็พอ” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าปกติ
“ขอรับ ประธานหลิน ผมรับทราบ” กงซุนฉางเฟิงรับคำด้วยความเคารพ จากประสบการณ์ของเขา แน่นอนต้องรู้ว่า เรื่องอะไรที่ไม่ควรถามมาก
หลินอิ่งส่งสายตาเป็นสัญญาณให้กับฮาเดส ฮาเดสปรบมือขึ้น ไม่นาน บอดี้การ์ดชาวต่างชาติชุดดำสูงใหญ่กว่า20คน ก็เดินเรียงรายกันเข้ามา ยืนด้วยท่าทางเข้มงวด ทั้งหมดทำความเคารพต่อหลินอิ่ง
นี่คือกลุ่มเฮยยิงที่ปรับโครงสร้างใหม่ ปัจจุบันเป็นหน่วยสงครามปืนพิเศษภายใต้สังกัดของคริสในประเทศหลุง มีความเป็นมืออาชีพสูง
คนที่รู้สถานการณ์ดีอย่างกงซุนฉางเฟิง พาทีมงานฝีมือระดับสูงนี้ไปซุ่มทำงาน เชื่อว่าการหาข่าวตระกูลกงซุน ก็คงจะไม่ยากอะไร
การจะวางแผนอะไร หลินอิ่งจะคิดอย่างถี่ถ้วน
กงซุนชิวอวี่น้องสาวฝ่ายแม่ยังอยู่ที่เมืองเกาหยาง แม้เขาไม่อยากจะแทรกแซงตระกูลกงซุน แต่อย่างน้อยต้องรับรองว่ากงซุนชิวอวี่จะปลอดภัย
อีกทั้งนี่ยังเป็นบททดสอบอย่างหนึ่งของกงซุนฉางเฟิง
กงซุนฉางเฟิงเป็นหมากที่มีพลังแฝงตัวหนึ่ง ถ้าเขาทำงานด้วยความจงรักภักดี เช่นนั้นภายหน้า ก็สามารถช่วยเขาวางแผนแก๊งหยางเหมินในต่างแดนให้มีจุดยืนได้
“ประธานหลิน คนพวกนี้ คือ…?” กงซุนฉางเฟิงถามด้วยความสงสัย มองดูกลุ่มเฮยยิงตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขามองออกว่า นี่เป็นสุดยอดทีมที่หนึ่ง ไม่เหมือนบอดี้การ์ดทหารรับจ้างส่วนตัวเลย ลักษณะท่าทางเหมือนคนโหดเหี้ยมที่ถูกอบรมจากกองทัพระดับมหาประเทศ
“นี่เป็นหน่วยรบย่อยภายใต้การควบคุมของฉัน” หลินอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาจะให้ความร่วมมือปฏิบัติการอย่างเต็มที่กับนาย ด้านฝีมืออาจจะสู้นายไม่ได้ แต่ความเป็นมืออาชีพไม่มีที่ติแน่”