ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 265 ไม่เต็มใจก็ต้องก้มหัว
บทที่ 265 ไม่เต็มใจก็ต้องก้มหัว
เหยียนหลงรู้สึกขมฝาด ไม่กล้าโต้แย้งคำพูดของหยูจื๋อเฉิง
เขาเคยคิดถึงที่ไหนกันว่า หยูจื๋อเฉิงจะออกหน้ามาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แถมพอมาถึงก็ยิงเลย และยังจัดวางคนของตัวเองไว้ในโรงแรมเพื่อคอยจับตาดู ลงแรงไปมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการช่วยคนบ้านนอกที่มาจากชนบทคนหนึ่งอย่างหลินอิ่งน่ะเหรอ?
ควรรู้ว่า ด้วยอิทธิพลของหยูจื๋อเฉิงตอนนี้ ห่างจากเขาเหยียนหลงไปไกลแล้ว
“ลูกพี่หยู ในเมื่อเรื่องนี้คุณเป็นคนออกหน้า อย่างนั้นสวีชิงซงผมก็ขอไม่ยุ่งด้วยแล้ว” เหยียนหลงก้มหน้ายอมแพ้
“ลูกพี่หยู ผมกับคุณน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง คืนนี้ ผมหวังแค่ว่าคุณจะไม่ทำเรื่องนี้เด็ดขาดเกินไปนัก” เหยียนหลงพูดด้วยความรู้สึกขมฝาด
พูดจบ เหยียนหลงก็มองไปที่สวีชิงซงอีกครั้ง กล่าวจริงจังว่า “ชิงซง เรื่องนี้ ฉันยุ่งไม่ได้แล้ว”
ความจริงเขาอยากยุ่ง อยากช่วยสวีชิงซง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นลูกชายของพี่น้องร่วมสาบานของตน
แต่ปัญหาคือ อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่า!
ตอนแรกก็ถูกหลินอิ่งจับคนไว้อย่างไม่คาดคิด ต่างฝ่ายต่างไม่ลงรอบกัน ตอนนี้ หยูจื๋อเฉิงออกหน้าด้วยตัวเอง พาคนกลุ่มใหญ่มาล้อมโรงแรมเหยียนซื่อไว้ แม้กระทั่งความมั่นใจสุดท้ายก็หายไปหมดแล้ว
เวลานี้ ยังจะเอาอะไรไปปกป้องสวีชิงซงอีก ชีวิตงั้นเหรอ?
“หา! อะไรนะ ลุงเหยียน? คุณไม่ยุ่งแล้ว?” สวีชิงซงสีหน้าหวาดกลัว “ไม่นะ ลุงเหยียน คุณต้องปกป้องผมนะ พวกเขาจะฆ่าผม!”
สวีชิงซงเดิมทีเลือดออกจมูกอยู่แล้ว พลันถูกหยูจื๋อเฉิงยิงเข้าอีกนัด ตกใจจนขวัญหายไปหมดแล้ว เวลานี้จึงถูกทำให้ตกใจจนฉี่ราดกางเกงไปหมดแล้ว
สวีชิงซงล้มแน่นิ่งอยู่บนพื้น ร่างกายสั่นเทิ้มไปทั้งร่างมองหยูจื๋อเฉิง พูดอ้อนวอนว่า “ลูกพี่หยู ยั้งมือไว้ไมตรีด้วย คุณเห็นแก่หน้าปู่ผมกับพ่อผม ให้ทางรอดผมได้ไหม? หากทำเกินกว่าเหตุ ก็ไม่เป็นผลดีต่อคุณเช่นกัน”
“ลูกพี่หยู ผมไม่ได้ล่วงเกินคุณ ทำไมถึงลงมือหนักแบบนี้? ตอนนี้ผมจะโทรหาพ่อผม ให้เขาคุยกับคุณ ถือเสียว่าไว้หน้าพ่อผมสักครั้งได้ไหม?” สวีชิงซงวิงวอนกล่าว
สวีชิงซงสมองสับสนไปหมด เขาไม่เคยผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้ตกใจเช่นนี้มาก่อน ทำคนตกใจเกินไป และไม่รู้ว่า เขาแค่ล่วงเกินหลินอิ่งคนเดียวเท่านั้นเอง ทำไมหยูจื๋อเฉิงถึงไม่สนใจผลที่ตามมา เข้ามาก็ทำท่าอยากจะฆ่าแกงกัน
หากบอกว่า สวีชิงซงก่อนหน้านี้ยังมีท่าทีหยิ่งยโสมากมาย หรือมีระดับความเชื่อมั่นในตัวเองแข็งแกร่ง ถ้าอย่างนั้น การยิงปืนครั้งนี้ของหยูจื๋อเฉิง ก็คือการยิงเขากลับสู่ร่างเดิม ความมั่นใจและการพึ่งพาทั้งหมดล้วนพังยับเยินหมดสิ้น กลายเป็นสุนัขตายที่น่าสงสารตัวหนึ่ง
“ขอความเมตตาจากฉัน? ขอฉันมีประโยชน์อะไร? คนที่แกล่วงเกินคือท่านอิ่ง” หยูจื๋อเฉิงพูดเสียงเย็น
สวีชิงซงช่างรนหาที่ตายจริงๆ ถึงกับตามเหยียนหลงแห่งเขตเหยียนหวง ไปจัดการท่านอิ่ง? นี่ไม่ใช่เป็นการกระตุกหนวดเสือหรอกหรือ?
หากสวีฉางเฟิงรู้ว่าลูกชายเขาไม่รู้จักที่ตาย คิดจะหาคนไปจัดการฉีหยิ่นแห่งตี้จิง เกรงว่า ตัวสวีฉางเฟิงเองคงจัดการสวีชิงซงด้วยมือตนเองไปแล้ว
“ลูกพี่หยู คุณเรียกเขาว่าท่านอิ่ง?” สวีชิงซงสีหน้าหวาดผวา มองไปทางหลินอิ่งอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลินอิ่งเป็นแค่เพียงสุนัขรับใช้ที่คอยประจบถังฮุยตัวหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมแม้แต่หยูจื๋อเฉิงถึงเรียกเขาว่าท่านอิ่งด้วยล่ะ?
นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? หยูจื๋อเฉิงเจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่ราวกับดวงตะวันกลางฟ้าแห่งเขตจงเทียน เพราะเอาลูกเขยไร้ค่าที่ขึ้นชื่อในเมืองตุงไห่มาเคารพนับถือเป็นลูกพี่ จะถึงขั้นยิงคุณชายตระกูลสวีอย่างตนเองอย่างไม่สนสิ่งใดเชียวหรือ?
หยูจื๋อเฉิงคร้านจะสนใจสวีชิงซงอีก เขาโบกมือ ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดสองคนที่ข้างกาย ไปพาสวีชิงซงออกไป
“อย่า! อย่าเข้ามานะ!” สวีชิงซงตกใจจนหน้าซีด ล้มลงกับพท้นจากนั้นก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ
สีหน้าหวาดกลัว สวีชิงซงคิดวิธีการใดๆ ไม่ออกแล้ว นั้คือถิ่นของเหยียนหลง แม้แต่เหยียนหลงยังไม่กล้าแตะต้องเขา สถานการณ์นี้รุนแรงอย่างยิ่ง
เขาหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าอย่างรีบร้อน โทรศัพท์ด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา คิดจะโทรหาบิดาเขา
บิดาของสวีชิงซง สวีฉางเฟิง เป็นผู้อาวุโสลำดับที่สามของตระกูลสวีแห่งตี้จิง นับเป็นหนึ่งในผู้กุมอำนาจคนสำคัญของตระกูลสวี เป็นตัวแทนในโลกธุรกิจ ในมือกุมทรัพยากรทางการค้าไว้มหาศาล กับทรัพย์สินเงินทองที่ยากจะคำนวณออกมาได้
เมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยอาชีพหลากหลายและเป็นที่ที่คนดีคนเลวอยู่ปะปนกันอย่างตี้จิงนี้ ท่านสวีฉางเฟิงนับเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ค่อนข้างที่จะมีหน้ามีตา
เกิดเสียงโครมครามดังขึ้น หยูจื๋อเฉิงพุ่งเข้ามาถีบไปที่แขนของสวีชิงซงอย่างไม่เกรงใจ ทำให้ร่างเขากระเด็นออกไปไกลสิบกว่าเมตร มือถือเองก็หล่นลงบนพื้นเสียงดังโครม
“ลูกพี่หยู! ผม ผม ให้โอกาสผมสักครั้ง ฉันจะให้พ่อผมกับคุณโทรคุยกัน วันนี้ผมทำผิดไปแล้ว ตระกูลสวีของเราจะต้องเสนอเงื่อนไขที่พอใจให้กับพวกคุณแน่” สวีชิงซงสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง พูดละล่ำละลักออกมา
“หึ สวีชิงซง สุนัขโง่อย่างแก ตระกูลสวีมีทายาทเช่นนี้ ถือเป็นสายเลือดเลวไปแปดชั่วอายุคน” หยูจื๋อเฉิงแค่นเสียงเย็นชา ทำท่าทางเหยียดหยาม
“สวีชิงซง โทรหาพ่อแกจะมีประโยชน์อะไรล่ะ? ต่อให้วันนี้เป็นพ่อแกสวีฉางเฟิงมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็ช่วยอะไรแกไม่ได้!” หยูจื๋อเฉิงกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“ไม่……” สวีชิงซงตกสู่ความสิ้นหวัง แววตาหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
คืนนี้แรงกดดันที้เขามันมหาศาลเกินไป แทบจะทำให้คนแหลกสลาย
สวีชิงซงถือว่าภูมิหลังของตระกูลกว้างขวาง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินอิ่งกลับไม่มีประโยชน์อันใด
เขาคิดไม่ตกจริงๆ ผู้ชายที่น่ากลัวคนนี้ มีความเป็นมายังไงกันแน่!
“อย่าพาตัวฉันไป อย่าฆ่าฉัน อย่าฆ่าฉัน ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ! ท่านอิ่ง ขอร้องล่ะ!”
เกิดเสียงของหนักกระทบพื้นดังขึ้น สวีชิงซงพลันคุกเข่าสองข้างลงกับพื้น ทั่วร่างสั่นอย่างบ้าคลั่ง หน้าผากเหงื่อผุดออกมาเป็นสาย
ภายในใจเขาแหลกสลายไปแล้ว ในใจรับแรงกดดันมหาศาลอันน่าสะพรึงกลัวนี้ไม่ไหว
ความถือดีและศักดิ์ศรีของเขา เวลานี้อ่อนแอและซีดจางอย่างยิ่ง
อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย สวีชิงซงโยนภูมิหลังวงศ์ตระกูลและความฟุ้งเฟ้อทิ้งไปหมดแล้ว นั่นก็เพราะเป็นคนใจเสาะไร้ศักดิ์ศรีคนหนึ่ง
ทั้งห้องเงียบสงัด เหยียนหลงถูกกดลงบนโต๊ะด้วยสภาพน่าอึดอัด ส่วนสวีชิงซงก็คุกเข่าอยู่บนพื้นท่าทางประหลาด หน้าตาฟกช้ำดำเขียว ที่ขามีรอยเลือด กางเกงก็เปียกแฉะ ทั่วตัวส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ดูไปแล้วยิ่งน่ารังเกียจมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจนตรอกมากเท่านั้น
หลินอิ่งมองสวีชิงซงแวบหนี่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง พลางส่ายศีรษะ
คนไร้ค่าเช่นนี้ ฆ่าไปก็เปื้อนมือตัวเองเปล่าๆ
“ไปเถอะ”
หลินอิ่งลุกขึ้น หมุนตัวเดินจากไป ฮาเดสตามติดอยู่ด้านหลัง ส่วนถังฮุนก็ตามไปอย่างนอบน้อมเช่นกัน
หยูจื๋อเฉิงมองเหยียนหลงกับสวีชิงซงด้วยสายตาเย็นเยียบแวบหนึ่ง กล่าวเสียงขรึมว่า “วันนี้พวกนายสองคนโชคดี ที่ท่านอิ่งปล่อยพวกนายไป คราวหลังหากกล้าทำตัวมุทะลุอีก ฉันจะฆ่าพวกนายสองคนซะ!”
“ครับ ลูกพี่หยู ครั้งนี้ผมทำไม่ถูกเอง ล่วงเกินแล้ว” เหยียนหลงก้มหน้าพูด ไม่กล้าโต้แย้งโดยสิ้นเชิง
สวีชิงซงก็คุกเข่าอยู่บนพื้นราวกับสุนัขตาย สองตาไร้แวว ยังคงมีท่าทางตกใจสุดขีด
หยูจื๋อเฉิงแค่นเสียงเย็นชา ไม่ได้สนใจคนทั้งสองอีก หมุนตัวเดินตามหลินอิ่งไป
ส่วนลูกน้องของเหยียนหลงที่อยู่ในเหตุการณ์ แต่ละคนต่างตกตะลึงจนตาค้าง มองพวกหลินอิ่งจากไปเฉยๆ ไม่กล้าทำตัวเหลวไหลสักคน
เพราะอย่างไร ขบวนรถหลายสิบคันของหยูจื๋อเฉิง ก็จอดอยู่ด้านนอกของโรงแรม แม้แต่ลูกพี่ของพวกเขาเหยียนหลงยังไม่กล้าสู้อย่างเปิดเผยต่อหน้าหยูจื๋อเฉิงด้วยซ้ำ
“อ๊ากก! ลุงเหยียน ผมไม่ยินยอม! ผมไม่ยอมแพ้หรอก ลูกเขยไร้ค่าอย่างมันถือดีอะไรมาเหยียบหัวผม!” สวีชิงซงแผดเสียงร้องโวยวายราวกับคนเสียสติ สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง
เหยียนหลงมองสวีชิงซงด้วยสายตาหยั่งลึกแวบหนึ่ง ถอนหายใจออกมา พลางกล่าวว่า “ชิงซงเอ๋ย แกไม่เต็มใจก็ต้องก้มหน้า”