ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 481 อย่าท้าทายความอดทนของผม
ได้ยินคำพูดทั้งหมดนี้แล้ว
หลินอิ่งส่ายหัว มุมปากยิ้มขึ้น แววตาค่อยๆเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
“จ้าวหลินเอ๋อร์เอ้ย จ้าวหลินเอ๋อร์ คุณมองตัวเองสูงส่งเกินไป หรือว่ามองผม หลินอิ่งต่ำเกินไป?” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย
“ผมหลินอิ่ง ใช่คนที่คุณสามารถคาดเดาได้?”
“ออกไปจากเมืองชิงหยูน ภายในหนึ่งชั่วโมง กลับไปตระกูลจ้าวที่ตี้จิง”
“อย่ามาท้าทายความอดทนของผม”
ทิ้งคำพูดอันเย็นชาไว้
หลินอิ่งหมุนตัวเข้าไปนั่ง สีหน้าเย็นชา ยกน้ำชาขึ้นมาดื่ม
ทันใดนั้น บรรยากาศกลายเป็นเย็นชาเคร่งขรึม เหมือนดั่งอากาศแข็งตัว
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็รู้สึกได้ถึงแรงสังหารที่พุ่งเข้ามา
“คุณ อวดสีสามหาวจริงๆ กล้าพูดแบบนี้กับคุณหนูใหญ่ได้ยังไง?”
“คุณหนู พฤติกรรมที่นายคนนี้ทำต่อท่าน เราควรจับตัวมันไว้ทันที ให้มันมาขอโทษถึงจะถูก ถึงจะเป็นคุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉีก็ตาม”
บอดี้การ์ดหญิงข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์ทั้งสองต่างพูดด้วยความโมโห ต่อว่าหลินอิ่ง
คราวนี้ คนในเหตุการณ์ต่างก็สีหน้าไม่ดี รู้สึกตะลึงมาก
ฉินฝู้กุ้ยยิ่งตกใจจนหน้าซีด
ฐานะเบื้องหลังของจ้าวหลินเอ๋อร์ ทุกคนในเหตุการณ์ต่างก็รู้ดี
หยกในกำมือของตระกูลจ้าวผู้โด่งดัง รูปร่างหน้าตาสวยระดับประเทศหลุง สาวงามผู้มีชื่อเสียงแห่งตี้จิง
หญิงสาวผู้เพียบพร้อมระดับนี้ วิ่งตามหลินอิ่งมาถึงเมืองชิงหยูน แต่หลินอิ่ง กลับมีพฤติกรรมเย็นชาขนาดนี้?
และยังทำท่าทางเหินห่างไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
นี่ต้องเป็นคนที่เคยพบเห็นและผ่านเรื่องราวใหญ่โตมามากแค่ไหน ถึงจะมีกิริยาเรียบเฉยขนาดนี้ได้?
ในใจฉินฝู้กุ้ยรู้สึกทึ่งในตัวหลินอิ่งมาก รู้สึกยกย่อง
หากเปลี่ยนเป็นเขาสมัยหนุ่ม อย่าว่าแต่จ้าวหลินเอ๋อร์เลย
แค่สาวคนหนึ่ง มีฐานะหนึ่งในสิบของจ้าวหลินเอ๋อร์ หรือความงามหนึ่งในสาม เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว
ฉินฝู้กุ้นถอนกายใจในใจ มิน่า ท่านหลินเขาเป็นลูกพี่ใหญ่ เขาก็เป็นได้แค่ลูกน้องเท่านั้น
“หลินอิ่ง คุณ คุณจะรังแกฉันมากเกินไปแล้วนะ”
จ้าวหลินเอ๋อร์กำหมัดไว้แน่น สีหน้าแดงก่ำ ดวงตาคู่สวยกะพริบไม่หยุด โมโหจนยากจะระงับอารมณ์
เธอคิดไม่ถึงเลย ในสถานการณ์ที่คนมากมายขนาดนี้ หลินอิ่งจะไม่ไว้หน้าเธอเลยแม้แต่น้อย
อีกอย่าง พฤติกรรมยังเย็นชาถึงขนาดนี้
เธอจ้าวหลินเอ๋อร์สู้คนอื่นไม่ได้ตรงไหน?
“สิ่งที่ควรพูด ผมพูดไปหมดแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “คุณอย่าคิดว่าคำพูดของผมเป็นเรื่องเด็กเล่น”
“ฉันไม่ยอมออกจากเมืองชินหยูนสักอย่าง คุณจะทำอะไรฉันได้?”
จ้าวหลินเอ๋อร์โกรธจนกระทืบเท้า เดินไปจ้องหน้าหลินอิ่งที่ข้างโต๊ะทำงาน
“อย่าคิดว่าอำนาจของฉันในเมืองตุงไห่จะเล็กกว่าคุณ ผู้ว่าเมืองชิงหยูน ก็ไม่กล้าขัดคำพูดฉัน ข้าราชการชั้นสูงและผู้นำกองทัพทั้งหลายในเมืองตุงไห่ ล้วนเป็นลูกน้องเก่าของปู่ฉัน” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ
“ฉันจะที่เมืองชิงหยูน ยังไงก็จะตามติดคุณแบบนี้”
หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา มองจ้าวหลินเอ๋อร์ที แล้วหันไปมองฉินฝู้กุ้ย
ฉินฝู้กุ้ยรีบก้มหน้ารอคำสั่ง เหงื่อท่วมหน้าผาก
การทะเลาะของท่านหลินกับจ้าวหลินเอ๋อร์ทั้งสองนี้ เหมือนดั่งเทวดาสู้รบ
เขารู้ดี คำพูดของจ้าวหลินเอ๋อร์ไม่ได้โม้สักคำ
อำนาจของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิ่งสูงส่งเช่นนี้จริง
เขาได้เห็นกับตามาแล้ว ผู้นำสูงสุดของเมืองชิงหยูน ต่อหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ก็เคารพนับถืออย่างเกรงใจมาก ไม่กล้าขัดใจแม้แต่น้อย
“ฉินฝู้กุ้ย ก่อนหน้านี้คุณไม่รู้ความจริง ไปช่วยจ้าวหลินเอ๋อร์ทำงาน ผมจะไม่เอาความติดใจเรื่องที่คุณทำ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ตอนนี้ ผมให้โอกาสคุณทำงานถ่ายโทษ เชิญจ้าวหลินเอ๋อร์ออกไปจากเมืองชิงหยูน”
“อีกอย่าง เชิญเสิ่นซานกับเจียงฉีกลับมาควบคุมงานในเมืองชิงหยูน”
พูดจบ หลินอิ่งก็ค่อยๆหลับตา ไม่พูดอะไรอีก
พูดเรื่องเหตุผลกับผู้หญิงเอาแต่ใจ มันไม่มีประโยชน์
โดยเฉพาะ ยังเป็นผู้หญิงที่เกิดในตระกูลมหาอำนาจอย่างจ้าวหลินเอ๋อร์
ในสายตาพวกเขา ตัวเองก็คือจุดศูนย์กลางของโลก โลกต้องหมุนรอบพวกเธอเท่านั้น
เรื่องกักขังตัวเสิ่นซานและเจียงฉี เรื่องที่ทำให้บริษัทของฉีโม่ล้มละลาย
หลินอิ่งไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับจ้าวหลินเอ๋อร์อีก
วันข้างหน้า ไปที่ตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง ค่อยคิดบัญชีความแค้นนี้ให้จบในครั้งเดียว
บุญคุณความสัมพันธ์ของคุณปู่กับนายท่านตระกูลจ้าว ก็ถือว่าเคลียร์จบแล้ว
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินอิ่งแล้ว ฉินฝู้กุ้ยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นใบหน้าก็โหดเหี้ยมเคร่งขรึมทันที โบกมืออย่างไม่ลังเล
“เข้ามา”
เสียวฮวั๊ก
ชายชุดดำใบหน้าโหดเหี้ยมสิบกว่าคน ก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองจ้าวหลินเอ๋อร์และบอดี้การ์ดหญิงสองคนด้วยสีหน้าเย็นชา
นอกประตู ก็มีชายชุดดำสิบกว่าคนเดินเข้ามาในเวลาเดียวกัน ต่างก็ยื่นมือไว้บนกระเป๋าเสื้อ
ทันใดนั้น บรรยากาศเปลี่ยนเป็นพร้อมชักปืนสู้
“พวกแกจะกล้าเกินไปแล้ว กล้าใช้อาวุธต่อหน้าคุณหนู?”
“คุณชายอิ่ง? คุณยังไม่เรียกลูกน้องคุณถอยไปอีก ยังไม่รีบเก็บอาวุธอีก?”
บอดี้การ์ดหญิงทั้งสองที่อยู่ข้างกายจ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าตกใจ ยืนปกป้องจ้าวหลินเอ๋อร์ซ้ายคนขวาคน
จ้าวหลินเอ๋อร์มองไปรอบด้าน แววตาจะลุกเป็นไฟ สูดหายใจเข้าลึกๆ โกรธถึงสุดขีดจนหัวเราะออกมา
“หลินอิ่ง คุณมันช่างมีศักดิ์ศรีจริงๆนะ พาคนมามากมายขนาดนี้ เพื่อจะรังแกผู้หญิงอย่างฉันคนเดียว?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเย็นชา
“คุณยิงเลย ยิงฉันให้ตายไปเลย”
จ้าวหลินเอ๋อร์ยิ่งคิดยิ่งโมโห ยิ่งไม่พอใจ วิ่งไปยืนอยู่หน้าหลินอิ่ง ท่าทางเสียใจอย่างมาก
“คุณยิงฉันให้ตายไปเลยดีกว่า ให้คนอื่นรู้ว่าคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงมีศักดิ์ศรีแค่ไหน โหดเหี้ยมแค่ไหน แม้แต่ภรรยาตัวเองบอกจะฆ่าก็ฆ่า”
จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าท่าทางเต็มไปด้วยความโกรธไม่พอใจ พูดอยู่หน้าหลินอิ่ง
หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยังคงหลับตา
“หลินเอ๋อร์ พอได้แล้ว”
เวลาเดียวกัน น้ำเสียงอันเคร่งขรึมดังมาจากด้านนอก
จ้าวเฉิงเฉียนพาหม่าผิงชวนและเผยหวูหมิง เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พอเดินเข้าไป จ้าวเฉิงเฉียนก็ดึงตัวจ้าวหลินเอ๋อร์ ดึงตัวจ้าวหลินเอ๋อร์ที่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้มายืนข้างๆ
“หลินอิ่ง วันนี้มาโดยไม่ได้รับเชิญ เพราะเหตุจำเป็นจริงๆ” จ้าวเฉิงเฉียนพูดอย่างจริงจัง น้ำเสียงเกรงใจ
“น้องสาวผมอายุยังน้อย เรื่องบางอย่างอาจทำโดยไม่ได้คิด เธอยังเป็นเด็กอยู่ คุณคงไม่ได้ถือสาอะไรกับเธอมากหรอกนะ?” จ้าวเฉิงเฉียนพูดช้าๆ “ไม่ว่ายังไง ด้วยฐานะแล้ว คุณก็ถือว่าเป็นสามีเธอไม่ใช่เหรอ? ยอมๆหน่อยละกัน”
“ไม่ใช่ พี่ พี่มาได้ยังไง? ทำไมพี่ต้องไปเกรงใจหลินอิ่งขนาดนี้?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ
เท่าที่เธอคิดแล้ว พี่ชายเธอจ้าวเฉิงเฉียน เวลาแบบนี้น่าจะสั่งสอนหลินอิ่งถึงจะถูก ทำให้หลินอิ่งไม่กล้าเสียมารยาทอีก
แต่ไม่ใช่มาดึงเธอออก ยังพูดจาเกรงใจแบบนี้กับหลินอิ่ง
“จ้าวเฉิงเฉียน พาจ้าวหลินเอ๋อร์ ออกไปจากตุงไห่เดี๋ยวนี้”
หลินอิ่งค่อยๆลืมตา มองจ้าวเฉิงเฉียนแล้วพูดว่า
“หลินอิ่ง ต่อหน้าพี่ชายฉัน คุณยังกล้าพูดจาอวดดีขนาดนี้? คิดว่าตระกูลจ้าวเราไม่มีคนแล้วเหรอ?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถาม
หลินอิ่งหัวเราะ พูดว่า “ในสายตาผม ไม่มีตระกูลจ้าวจริง”
“คุณ” จ้าวหลินเอ๋อร์โมโหจนพูดไม่ออก “พี่ ฟังซิ นี่เขาพูดอะไรของเขา?”
“ช่างเถอะ หลินเอ๋อร์ กลับตี้จิงกับพี่ก่อน คุณปู่หาเธอมีเรื่องจะพูดด้วย” จ้าวเฉิงเฉียนพูดด้วยสีหน้าเอือมระอา