ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 512 เมืองเทคโนโลยีเทียนหลงระดับล้านล้าน
หลินอิ่งฟังรายงานจากหยูจื๋อเฉิง นิ้วมือเคาะหัวเข่า
“สวีจิ่วหลิงออกมาด้วยตัวเองแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย
นายท่านตระกูลสวี สวีจิ่วหลิง ในแวดวงสังคมขนาดใหญ่อย่างตี้จิงนั้นถือว่าเป็นบุคคลใหญ่โตที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง ทุกถ้อยคำพูดนั้นถือว่าเป็นตัวแทนของตระกูลสวี
ก่อนหน้านี้เขาบีบให้สวีไป๋เห้อคุกเข่า ถือว่าทำให้ตระกูลสวีขายหน้า แต่ไม่ได้จะให้ถึงขั้นเอาเป็นเอาตาย
แต่ว่าบุคคลผู้อาวุโสอย่างสวีจิ่วหลิงออกมาด้วยตัวเอง ความหมายมันก็ไม่เหมือนกันแล้ว
เท่ากับว่าตระกูลสวีกำลังประกาศสงครามกับตระกูลฉี การสู้รบเพื่อให้ตายกันไปข้างหนึ่งอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะ ผลกระทบของผู้อาวุโสอย่างสวีจิ่วหลิงในตี้จิงไม่ได้เล็กเลย การออกมาพูดเช่นนี้ ต้องสะเทือนตี้จิง กิจการในนามของเขาในตี้จิงต้องได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงแน่นอน
“ใช่ครับ ท่านอิ่ง ผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่านายท่านของวงศ์ตระกูลใหญ่จะออกหน้าด้วยตัวเอง นี่คือต้องการสู้กับท่านให้ตายกันไปข้างหนึ่งแล้ว” หยูจื๋อเฉิงพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หลังจากสวีจิ่วหลิงออกมาประกาศในแวดวงตี้จิงแล้ว บวกกับข่าวลือเรื่องนายท่านฉีทั่วเมืองแบบนี้ ทำให้ผู้คนกังวล สถานการณ์ของเราตอนนี้เป็นฝ่ายรับอย่างเดียว”
หลินอิ่งสีหน้ามีแววแห่งความโหดเหี้ยม ตระกูลสวีเลวไม่ยอมตายใจอีก คิดว่าดึงอำนาจของเกาหลีกับต้าเหอมาร่วมด้วย ก็สามารถมาท้าทายกับเขาได้แล้วเหรอ?
ในเมื่อสวีจิ่วหลิงไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าระหว่างนายท่านตระกูลฉี ยังออกหน้าด้วยตัวเอง ตัวเขาเองก็ไม่จะเป็นต้องออมมืออีกแล้ว
ตอนแรก หลินอิ่งตัดสินใจรอจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ไปจัดการลบล้างตระกูลสามพี่น้อง สวีถันโจว สวีไป๋เห้อ สวีฉางเฟิง ให้สวีจิ่วหลิวเหลือลูกหลานไว้
แต่ดูวันนี้ ตระกูลสวีทั้งตระกูล ต้องสูญพันธุ์แล้ว
“พูดต่อ หลายวันนี้มีปัญหาด้านไหนอีก?” หลินอิ่งถาม
หยูจื๋อเฉิงนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “หลังจากถังฮุยถูกจับแล้ว เขตหัวหยางก็สูญเสียการความคุมแล้ว กิจการในดินแดนแห่งความมืดถูกเก็บกวาดจนหมดสิ้น อีกอย่าง ผมให้นกอินทรีไปจัดการธุระที่เขตหัวหยาง เพื่อลองหาถังฮุยกลับมา แต่ก็ถูกยิง ถูกซ้อมไล่ออกมา”
“จากการกดดันทุกด้าน อำนาจในการควบคุมโลกแห่งความมืดในตี้จิงของผมไม่เพียงพอแล้ว พี่น้องก็ตายไปเยอะแล้ว กิจการก็เสียหายอย่างรุนแรง” หยูจื๋อเฉิงพูด “ทุกครั้งที่ตระกูลสวีปฏิบัติการ จะมีชีซิงกรุ๊ปคอยสนับสนุนอย่างใกล้ชิด บอกกับคนต้าเหอคอยก่อกวนในที่ลับ ผมทำงานลำบากมาก”
“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งจุดบุหรี่ สายตาเฉียบคม
เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก ถามว่า “หยูจื๋อเฉิง ทางด้านตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ป โครงการที่พวกเขาจับตาให้ความสำคัญที่สุดอยู่ไหน?”
หลินอิ่งสำหรับอำนาจในตี้จิงของตัวเอง รู้ตำแหน่งอย่างชัดเจน
อำนาจเงินทองผลกระทบในด้านธุรกิจ พูดตามตรง เผชิญหน้ากับการร่วมมือของชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีและคนต้าเหอ เขาเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
กิจการของตระกูลฉีทรงพลังแค่ไหน แต่ถึงแม้บวกกับตระกูลนิ่งทั้งตระกูล ในแวดวงธุรกิจตี้จิงก็ไม่พอที่จะไปสู้รบ
เพราะว่า มาถึงระดับนี้แล้ว เรื่องในวงการธุรกิจ ไม่ใช่เรื่องที่ใช้เพียงตัวเลขทรัพย์สินในการตัดสินใจแล้ว
ตัวเองกลับมาตี้จิงไม่ถึงปี รากฐานในตี้จิงยังไม่พอ เทียบไม่ได้กับสวีจิ่วหลิงที่บริหารมานานหลายสิบปี
บวกกับผลกระทบในต่างประเทศของชีซิงกรุ๊ปและการผูกขาดด้านเทคนิค
จัดการยาก
เพราะฉะนั้น จำเป็นต้องรวบรวมความสามารถทั้งหมด ปะทะกับอำนาจขอตระกูลสวีในครั้งเดียว
“ท่านอิ่ง ความหมายของท่านคือ?” หยูจื๋อเฉิงถามด้วยสีหน้าลังเล พอเดาความหมายของหลินอิ่งออก
“ภายใต้ความกดดันสูงแบบนี้ กิจการในนามของผมหลายอย่างรักษาต่อไม่ได้แล้ว ยอมเป็นหยกแหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “รวบรวมทรัพย์สินทั้งหมด แย่งทรัพยากรธุรกิจที่สำคัญที่สุดไว้”
“สำหรับกิจการเล็กๆน้อยๆพวกนั้น ก็ปล่อยให้พวกเขาไปแย่ง กิจการขนาดเล็กที่อยู่ในชื่อผมโยนทิ้งหมดเลย เก็บเงินทุนกลับมา”
“ท่านอิ่ง ผมเข้าใจความหมายของท่านแล้ว ทางด้านนี้ผมจะให้ทีมธุรกิจในมือผมไปจัดการ” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง “ทุกวันนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตี้จิง ที่ได้รับความสนใจที่สุด ก็คือเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง”
“กิจการที่ผมดูแลให้ท่านอยู่ มีส่วนแบ่งสองเปอร์เซ็นต์จากเมืองเทคโนโลยีเทียนหลง ชีซิงกรุ๊ปกับตระกูลสวีต่างก็จับจ้องอยู่ ทุกวันนี้เมืองเทคโนโลยีนี้ได้รับความสนใจอย่างมากในวงการธุรกิจตี้จิง เรียกได้ว่าเป็นโครงสร้างที่ไม่เคยมีมาก่อน ถูกเรียกว่าเมืองใหม่ล้านล้าน”
หลินอิ่งพยักหน้า เขาเคยเห็นข้อมูลของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงจากเอกสารที่หยูจื๋อเฉิงรายงานมา นี่เป็นโครงการระดับล้านล้านที่แท้จริง ได้รับความสนใจทั่วประเทศ
เมืองเทียนหลงครอบคลุมพื้นที่มหาศาล วางแผนตลาดธุรกิจและอสังหาริมทรัพย์นับไม่ถ้วน หนทางต่างๆนานาลึกซึ้งมาก เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของกิจการมากมาย
โดยเฉพาะ นี่เป็นเมืองเทคโนโลยีระดับสูงแห่งหนึ่ง มูลค่าที่มีนั้นไม่อาจคาดการได้
“เตรียมเอกสารข้อมูลของเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงอย่างละเอียดให้ผมฉบับหนึ่ง รวบรวมเงินทุนทั้งหมด กิจการอื่นไม่ต้องห่วงผลเสียหาย ไปแย่งชิงกับทางด้านชีซิงกรุ๊ป แต่โครงการนี้ ต้องเอาให้ได้” หลินอิ่งพูดสั่ง
“ครับ ท่านอิ่ง แต่ว่า โครงการเมืองเทคโนโลยีเทียนหลงนี้ มีเพียงสมาคมธุรกิจตี้จิงเท่านั้นที่เข้าร่วมได้ อันนี้ ผมยังไม่มีสิทธิ์……” หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างจริงจัง
“ถึงเวลาผมจะออกหน้าเอง คุณเตรียมงานไว้ให้ดีก็พอ ทางด้านสมาคมธุรกิจตี้จิง ผมจะไปด้วยตัวเอง” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ
สมาคมธุรกิจตี้จิง มีเพียงตัวแทนดำเนินการห้าคนเท่านั้น แยกออกเป็นตระกูลมหาอำนาจทั้งห้าแห่งตี้จิง ตระกูลละหนึ่งที่นั่ง ผูกขาดธุรกิจทุกอย่างในตี้จิง
หลินอิ่งเป็นตัวแทนตระกูลฉีคนปัจจุบัน และตำแหน่งผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง ในสมาคมธุรกิจตี้จิงก็กำตั๋วไว้สองใบแล้ว มีอำนาจในการพูดที่สูงมาก
“แล้วก็เรื่องที่ถังฮุยหายตัวไป สืบหาร่องรอยให้ได้ คืนนี้ ผมจะเอาคนกลุ่มหนึ่งให้คุณ ไปช่วยถังฮุยกลับมา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย
“ไปเอารถ ไปพบคนที่โรงแรมสนามบินกับผม” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง
ไม่นาน หยูจื๋อเฉิงก็ขับรถ พาหลินอิ่งขับไปสู่สนามบินนานาชาติจงเทียน
ระหว่างที่เป็นห่วงอาการป่วยของคุณปู่อยู่หลายวัน หลินอิ่งก็ไม่ใช่ไม่ได้เตรียมอะไรเลย
ตั้งแต่วันที่เขานั่งเครื่องกับตี้จิง เขาก็ติดต่อกับทางด้านเมืองก่างแล้ว
เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างยอดฝีมือแวดวงลึกลับ ก็ต้องเรียกตัวเย่เฮยกับหรงหยังมา
เย่เฮยและยอดฝีมืออดีตองครักษ์แก๊งมังกรหลายคน แล้วก็หรงหยังพาลูกน้องฝีมือดีมาด้วย ได้มาจากเมืองก่างถึงสนามบินตี้จิงแล้ว แค่รอเขาไปจัดการสั่งงาน
แล้วก็ยังมีความสัมพันธ์ทางราชการทางด้านท่านหลุยกง
หลินอิ่งก็เตรียมตัวจะใช้แล้ว เพราะว่าเรื่องโครงการเมืองเทียนหลง เกี่ยวข้องกับทางราชการ
รวมถึงนายท่านนิ่งไท่จี๋แห่งตระกูลนิ่งที่เกษียณไปแล้ว ก็ให้คนมาส่งจดหมาย ถามว่าต้องให้ตัวเองส่งคนช่วยหรือไม่
ส่วนไพ่ใบนั้นที่คุณปู่ให้ตัวเอง ก็ยังไม่ได้ใช้
ในตี้จิงแห่งนี้ ก็มีไพ่ใบสำคัญอยู่ในมือพวกนี้ หลินอิ่งก็อยากดูว่า กงจิ่วจะบีบตัวเองเอาออกมาใช้ได้เท่าไหร่
ยี่สิบนาทีผ่านไป หยูจื๋อเฉิงขับรถมาถึงโรงแรมสนามบินที่อยู่ใกล้สนามบิน
หลินอิ่งสั่งลงไป ให้หยูจื๋อเฉิงจัดบอดี้การ์ดให้เฝ้าไว้ที่หน้าประตู
ส่วนเขา ขึ้นไปที่ห้องรับรองชั้นสิบห้าคนเดียว
“ท่านประมุขแก๊ง”
หลินอิ่งเดินเข้าไป เย่เฮยก็คุกเข่าข้างเดียวเพื่อเคารพด้วยสายตาหนักแน่น