ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 531 ดึงพวก
“เฮ้อ” กงซุนชิวอวี่ทำเสียงอ้อน ท่าทางไม่พอใจ “พี่กำลังดูถูกหนูเหรอ?”
“ครั้งนี้หนูมาตี้จิง ได้รับคำสั่งจากคุณปู่ ให้รับผิดชอบธุรกิจทั้งหมดของตระกูลกงซุนในเมืองเทียนหลง หนูมีสิทธิ์ในการตัดสินใจ” กงซุนชิวอวี่ยืดอกพูด ท่าทางเชื่อมั่น
แน่นอน เธอรู้สึกภูมิใจมาก สามารถได้รับอำนาจใหญ่ขนาดนี้จากภายในตระกูลกงซุน รับผิดชอบธุรกิจเมืองเทียนหลงคนเดียว การเดิมพันความเกี่ยวพันในนี้มันใหญ่โตมาก
ไม่ว่าภายในหรือภายนอก ในมือกำผลประโยชน์ชิ้นใหญ่นี้ไว้ ต้องประสานงานกับหัวหน้าของแต่ละตระกูลใหญ่ ตำแหน่งฐานะของกงซุนชิวอวี่ ก็ต้องสูงขึ้นเหมือนดั่งน้ำสูงขึ้นเรือก็ย่อมสูงขึ้นตาม (หมายความว่าอำนาจตำแหน่งเขาจะยิ่งขึ้นไปตามการพัฒนาของตระกูล)
“ปู่ของเธอมอบธุรกิจเมืองเทียนหลงให้เธอมาจัดการ?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว ถามอย่างสงสัย
จากการตัดสินใจของกงซุนฉงหลง รู้สึกได้ถึงรสชาติที่ทำให้คนสนใจ
“ใช่ พี่ พี่อย่าเห็นหนูเป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ยังไงหนูก็เรียนจบปริญญาเอกจากโรงเรียนธุรกิจระดับโลกมานะ?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างภูมิใจ “คิดว่าหนูไม่รู้เรื่องอะไรเลยหรือไง? จะจัดการเรื่องในวงการธุรกิจพวกนี้ไม่ได้เหรอ?”
“ได้” หลินอิ่งรู้สึกสนใจ “พี่ก็อยากฟังดู นักเรียนปริญญาเอกคนนี้มีความเห็นยังไงกับเมืองเทียนหลง? ยินดีรับฟังอย่างตั้งใจ”
กงซุนชิวอวี่ขึงตาใส่หลินอิ่ง พูดว่า “พี่ หนูทำการบ้านมาแล้ว ตอนนี้ในตี้จิงต่างจับตาดูเมืองเทียนหลงอยู่ ห้าตระกูลใหญ่ชั้นหนึ่งกับพวกตระกูลชั้นหนึ่งหลายตระกูลก็เข้าร่วม พูดตามตรง จากความสามารถทางธุรกิจของแต่ละตระกูล ไม่ว่าใครมาบริหารเมืองเทียนหลงก็ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่สำคัญคือทรัพยากรและผลประโยชน์ควรแบ่งยังไง”
“อืม เราพูดได้ดี พูดต่อเลย” หลินอิ่งพูดอย่างยิ้มแย้ม ยื่นมือบอกกงซุนชิวอวี่ให้พูดต่อไป
เขาก็อยากฟังดู กงซุนชิวอวี่ยังมีความเห็นยังไง
กงซุนชิวอวี่ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดต่อ “ในแวดวงธุรกิจตี้จิงมีกฎที่แอบซ่อนอยู่ ตลาดใหญ่อย่างเมืองเทียนหลงนี้ มีแค่สมาคมธุรกิจตี้จิงเท่านั้นที่ตัดสินได้ ตระกูลกงซุนเราก็มีที่นั่งในสมาคมธุรกิจเหมือนกัน”
“เพราะฉะนั้น สุดท้ายไม่ว่าใครได้กรรมสิทธิ์ของเมืองเทียนหลงไป ตระกูลกงซุนของเราแค่ไม่โลภ ไม่ว่ายังไงก็สามารถได้ส่วนแบ่งจากเมืองเทียนหลง” กงซุนชิวอวี่ค่อยๆพูดวิเคราะห์
“ความหมายของหนูก็คือ ดูเหมือนพี่จะสนใจเมืองเทียนหลงมาก ตระกูลกงซุนเรายินดีร่วมมือกับพี่ แต่ว่า พี่ยอมให้ส่วนแบ่งเท่าไหร่กับตระกูลกงซุนล่ะ?” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง “นี่คือความหมายของปู่หนู ท่านยินดีร่วมงานกับพี่”
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย กงซุนชิวอวี่พูดถูก
แน่นอน ผลกระทบของตระกูลกงซุนอยู่ตรงนั้น ขอแค่ได้ส่วนแบ่งจากเมืองเทียนหลงมา ไม่มีใครอยากไปท้าชนกับตระกูลกงซุน
แต่ว่า เป็นถึงตระกูลชั้นหนึ่งที่สูงสุดของตี้จิง เป็นไปได้ยังไงที่ตระกูลกงซุนจะไม่มีความทะเยอทะยานแม้แต่น้อย?
เรื่องที่คนทั้งโลกแย่งชิงกัน คุณไม่ไปแย่ง คุณจะอยู่เหนือคนอื่นได้อย่างไร?
เป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลกงซุนจะไม่รู้เหตุผลนี้
ทุกวันนี้สถานการณ์ในตี้จิงวุ่นวาย สรุปแล้วก็คือ ตระกูลฉีกับตระกูลสวีเปิดศึก แข่งขันกันอย่างเผชิญหน้า
ตระกูลกงซุนเข้าร่วมการแย่งชิงเมืองเทียนหลง เว้นเสียแต่จะกล้าเสี่ยง จะปักธงสู้เอง
มิเช่นนั้น นี่ก็คือปัญหาง่ายๆของการเลือกฝั่งยืนเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่า ตระกูลกงซุนเลือกยืนข้างตัวเอง
“ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเมืองเทียนหลง หรือจะพูดว่าส่วนแบ่ง ส่วนตัวพี่แล้วไม่ได้ใส่ใจ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “พี่ต้องการแค่อำนาจเด็ดขาดในการควบคุมเมืองเทียนหลงเท่านั้น”
“เพราะฉะนั้น ถ้าหากตระกูลกงซุนเลือกยืนฝั่งพี่ ส่วนแบ่งของตระกูลกงซุน และตระกูลฉี ตระกูลนิ่ง เท่าเทียมกัน” หลินอิ่งพูดอย่างหนักแน่น
ได้ยินแล้ว กงซุนชิวอวี่ครุ่นคิด คำนึงความหมายในคำพูดของหลินอิ่ง
เธอก็รู้ดี ตอนนี้ตระกูลฉีกับตระกูลสวีต่อสู้กันซึ่งๆหน้า ทุกคนต่างก็รู้กัน อำนาจตระกูลนิ่งก็อยู่ในกำมือของพี่ชาย
พี่ชายยอมให้ตระกูลกงซุนและตระกูลฉี ตระกูลนิ่งได้ผลประโยชน์เท่ากัน นี่ก็มีความจริงใจอย่างมากแล้ว
สำหรับที่พี่ชายพูดว่า เขาต้องการอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมเมืองเทียนหลง
ความหมายชัดเจนมาก นี่ก็เหมือนกับผู้นำสังคมสมัยเก่าของตี้จิง บริษัทของแต่ละกิจการสาขาในตี้จิง ผู้นำต้องได้รับหุ้นส่วนสิบเปอร์เซ็นต์หรือไม่ก็ใส่ชื่อในบริษัท
ผู้นำ เงินไม่เอาได้ แต่ตำแหน่งอำนาจต้องชัดเจน ให้ทุกคนบนโลกรู้ ทุกสาขาอาชีพต้องฟังเขาเพียงผู้เดียว
“หนูเข้าใจความหมายของพี่แล้ว พี่ หนูจะเอากลับไปบอกคุณปู่เอง หนูว่าท่านต้องตอบรับแน่นอน” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างจริงจัง
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย พูดอย่างจริงจัง “ชิวอวี่ ความจริงพี่แนะนำให้เธออย่างยุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้มากเกินไป”
“เธอเป็นคนฉลาด แต่ว่าทนรับวิธีกลอุบายในโลกนี้ไม่ได้”
“ในตี้จิง พี่จะดูแลความปลอดภัยของเธอได้ แต่ถ้าหากเป็นที่อื่น ธุรกิจใหญ่โตแบบนี้ ตระกูลกงซุนจะให้เธอออกหน้าไม่ได้”
กงซุนชิวอวี่พยักหน้า สีหน้ายิ้มแย้ม พูดว่า “หนูรู้แล้ว พี่ พี่ก็อย่าทำตัวเหมือนตาเฒ่า ชอบสั่งสอนคนอื่น”
“ที่พี่พูดมาหนูเข้าใจหมด ครั้งนี้เพราะพึ่งบารมีพี่ พี่ชายดีที่สุดเลย” กงซุนชิวอวี่พูดจาออดอ้อน “ถ้าให้คนอื่นมาเจรจา คาดว่าพี่คงไม่ได้คุยง่ายขนาดนี้มั้ง? ความจริง นี่เป็นความหมายขอปู่หนู เพราะว่าครั้งที่แล้วพี่กับลุงสองของหนูก็มีเรื่องไม่พอใจกัน”
“ได้แล้ว เรื่องของเมืองเทียนหลงเธอกลับไปพูดกับปู่ของเธอ ถ้าตกลงกันแล้ว เธอก็เที่ยวเล่นในตี้จิงไปก่อน ทางด้านคุณตา อีกสองวันพี่จะหาเวลาพาเธอไปที่จื่อหลงซาน” หลินอิ่งพูด
“ได้ค่ะ ขอบคุณพี่มาก” กงซุนชิวอวี่พูดอย่างเชื่อฟัง
คิดไปแล้ว หลินอิ่งก็มองไปที่นิ่งซวนที่อยู่ไม่ไกล ค่อยๆลุกขึ้น
“ชิวอวี่ ฉู่ฉู่ พวกคุณสองคนกินกันไปก่อน ผมยังมีธุระต้องจัดการ” หลินอิ่งทักทาย แล้วก็หันหน้าไปส่งสายตาให้นิ่งซวน
นิ่งซวนพยักหน้า เดินตามไป
ผ่านไปสักครู่
หลินอิ่งพานิ่งซวน เข้ามาถึงห้องรับรองห้องหนึ่งในร้านอาหาร
หลินอิ่งนั่งลงอย่างสง่า ยกกาน้ำชาขึ้น เทน้ำชาสองแก้วอย่างใจเย็น
“ประธานหลิน เอกสารของเมืองเทียนหลงที่ท่านให้ผมเตรียมเมื่อวาน เตรียมเรียบแล้วหมดแล้วครับ” นิ่งซวนพูดอย่างจริงจัง หยิบกล่องสีดำออกจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้บนโต๊ะ
เขารู้ดี วันนี้ประธานหลินให้เขามาที่เมืองเทียนหลง นั่นเพราะมีเรื่องใหญ่ให้ต้องจัดการ
สงครามระหว่างประธานหลินกับตระกูลสวี ทำให้ทั่วเมืองตี้จิงพายุกระหน่ำ ผู้คนตื่นตกใจ
ทางด้านหยูจื๋อเฉิงได้ช่วยประธานหลินจัดการในส่วนของดินแดนแห่งความมืด จัดการเขตหัวหยางเรียบร้อยแล้ว
ส่วนเขา ช่วยประธานหลินควบคุมกิจการใหญ่โตของตระกูลนิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ทำงาน
“นั่งลงมาคุยกัน” หลินอิ่งนั่งอยู่บนโซฟา พูดอย่างเรียบเฉย
นิ่งซวนนั่งลงอย่างเคารพ ยกแก้วน้ำชาขึ้นดื่ม
“นิ่งซวน หลายเรื่องที่ผมมอบหมายให้คุณไปทำ คุณทำได้ดีมาก” หลินอิ่งดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง ค่อยๆพูดขึ้น
“ครั้งนี้ ผมตั้งใจจะเอาเรื่องทุกอย่างของเมืองเทียนหลง มอบให้คุณเป็นคนจัดการ งานนี้ใหญ่มาก คุณกล้ารับไหม?”