ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 539 สิทธิ์ที่ผมคือหลินอิ่งพอไหม?
“ฮาฮาฮา น่าสนใจจริงๆ” จ้าวหงหยังส่ายหน้าหัวเราะเสียงดัง มองว่าหลินอิ่งขี้โม้อวดดี
ตลกสิ้นดี เด็กหนุ่มที่คนทั้งงานไม่มีคนรู้จัก ท่าทางขนยังขึ้นไม่เต็มเลย ดูเหมือนยังเป็นแค่คนธรรมดาที่เข้ามาในงานกับเพื่อนของหลานสาวตัวเอง
แต่กลับ กล้ามาท้าทายกับเขา ยังประกาศจะเจาะจงกับชีซิงกรุ๊ป จะแข่งเงินทุนกับชีซิงกรุ๊ป?
เรื่องตลกที่สุดในโลกจริงๆ
“แกไม่ได้พูดไม่รู้จักคิด? หรือว่าแกจะมีความสามารถนี้จริง? ไม่รู้จักดูสภาพโง่เขลาของตัวเองหน่อย คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน? กล้ามาโวยวายในถิ่นของตระกูลจ้าว ก่อกวนธุรกิจของตระกูลจ้าว แกมีปัญญารับผิดชอบไหม?” จ้าวหงหยังต่อว่าเสียงเย็นชา
“โอ้โห คำพูดนี้พูดออกมา ฉันรู้สึกว่า ไอ้เด็กหนุ่มแซ่หลินนี่ปัญญาอ่อนจริงๆ ช่างกล้าพูดจริงๆ?”
“ตอนแรกฉันคิดว่ามันคงเป็นคุณชายจากต่างจังหวัด ตอนนี้ดูแล้ว อาจจะเป็นอย่างที่คุณหนูตระกูลจ้าวพูด เป็นแมงดาเกาะผู้หญิงกิน”
“ใช่ ท่าทางโง่เขลาไร้ปัญญาทางอารมณ์จริงๆ สถานการณ์แบบนี้แล้ว ยังมาปากแข็งที่นี่อีก? คุณจ้าวและคุณเผียวต่างก็โมโหแล้ว เดี๋ยวฉันจะคอยดูว่ามันจะจัดการยังไง”
แค่ชั่วพริบตา แขกในงานต่างก็พกกันต่อว่าด่าทอ หันไปมองหลินอิ่งกันหมด
เท่าที่พวกเขาดูแล้ว คำพูดหลินอิ่งมันเกินจริงเหลือเกิน อีกอย่างไม่รู้จัดมารยาทแม้แต่น้อย
จ้าวหงหยัง คุณหนูตระกูลจ้าว จ้าวหลันเอ๋อร์ บวกกับเผียวเจียงลี่จากชีซิงกรุ๊ป สามท่านนี้มีใครที่ไม่ใช่ทรัพย์สินอำนาจใหญ่โต?
ผู้มีอำนาจสามคนพูดจาแบบนี้กับเขาแล้ว ยังหัวแข็งไม่ยอมก้มหน้า?
คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?
“คุณจ้าว ผมว่า คุณไม่ต้องพูดอะไรกับไอ้หน้าโง่นี่แล้ว จัดบอดี้การ์ด จัดการไล่มันออกไป แล้วสั่งสอนให้หนักเลย” เผียวเจียงลี่พูดอย่างเคร่งขรึม ยิ่งดูหลินอิ่งยิ่งไม่พอใจ
จ้าวหงหยังพยักหน้า โบกมือ จะเรียกบอดี้การ์ดหนุ่มในงามเข้ามา
“ทำไม? จ้าวหงหยัง ตระกูลจ้าวของพวกคุณเปิดประตูทำธุรกิจ ยังอยากจะไล่คน? ตระกูลจ้าวของคุณ สอนให้คุณเป็นคนและทำงานแบบนี้เหรอ?” หลินอิ่งมองจ้าวหงหยัง หัวเราะเย็นชา
จ้าวหงหยังสีหน้าเหยียดหยามหัวเราะเย็นชา พูดว่า “แกพูดถูก ตระกูลจ้าวของเราเปิดประตูทำธุรกิจ แต่ว่า ฉันจะทำธุรกิจยังไง ไม่ใช่สิทธิ์ของไอ้ไร้น้ำยาอย่างแกที่ต้องมาชี้แนะ? ยังกล้ามาเรียกอะไรตระกูลจ้าว? แกคงไม่รู้ความเก่งกาจของตระกูลจ้าวเราใช่ไหม?”
“แกจะทำธุรกิจใช่ไหม? ได้ ฉันให้โอกาสแกหนึ่งครั้ง” จ้าวหงหยางพูดด้วยสีหน้าหยอกล้อ “ถ้าอย่างนั้นแกก็ลองให้ฉันดูหน่อย ว่าแกมีสิทธิ์อะไรมาเจรจาธุรกิจในถิ่นของตระกูลจ้าว? อย่างฐานะแกที่ไม่มีแม้แต่บัตรเชิญ? เหอะเหอะเหอะ”
“ไอ้หนุ่มแซ่หลิน ถ้าหากแกกลัวบอดี้การ์ดลงมือ ก็เดินเข้ามาขอโทษด้วยตัวเอง ยังพอเหลือศักดิ์ศรีไว้บ้าง อย่าให้บอดี้การ์ดของฉันต้องยกตัวแกออกไป” จ้าวหงหยังพูดด้วยสีหน้าข่มขู่
หลินอิ่งส่ายหัว พูดว่า “คุณจะเอาสิทธิ์ใช่ไหม?”
“ชื่อผมหลินอิ่งสองตัว สิทธิ์พอไหม?”
หลินอิ่งสายตาเย็นชามองไปที่จ้าวหงหยัง สายตานี้ มองจนจ้าวหงหยังสะดุ้ง สายตาเลื่อนลอยไปครู่หนึ่ง เสมือนคนที่อยู่ตรงหน้า เป็นดั่งมังกรยักษ์ที่บินอยู่
“หลินอิ่ง? หลินอิ่งคือใคร”
“ทำไมชื่อนี้ถึงฟังแล้วคุ้นหูจังเลย? ทำไมไอ้เด็กนี่ถึงพูดชื่อของตัวเองได้มั่นใจขนาดนั้น?”
ทันทีที่หลินอิ่งบอกชื่อออกไป ทุกคนในงานต่างก็อึ้งไปตามกัน สายตามึนงง พยายามคิดว่าเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
ส่วนเผียวเจียงลี่ กลับสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องหลินอิ่งเหมือนดั่งศัตรูตัวฉกาจ
“หลินอิ่ง?” จ้าวหงหยังขมวดคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะเย็นชา “มันบอกว่ามันคือหลินอิ่ง? คุณเผียว คุณไม่รู้สึกว่าตลกเหรอ?”
“แกนี่มันโม้จนไม่กลัวเรื่องราวใหญ่โตใช่ไหม? คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงแกก็กล้าปลอมตัว?” จ้าวหงหยังพูดด้วยสีหน้าดูถูก “กับสภาพอย่างแกเนี่ยนะ ยังกล้าปลอมตัวเป็นคุณชายอิ่งมาขู่ฉัน? คุณชายอิ่งเป็นคนระดับไหน ออกมาข้างนอกสภาพอย่างแกเนี่ยนะ? แกแม้แต่บัตรเชิญยังไม่มีเลย ยังแอบเข้ามาเพราะหลายสาวฉัน ตัวกระจอกแบบนี้ ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง”
หลินอิ่งสองคำนี้ ในสังคมตี้จิงนี้บางคนคนทั่วไปอาจไม่เคยได้ยิน
แต่ว่าในผู้มีอำนาจของคนรุ่นสองในตระกูลผู้ดี ต่างก็เคยได้ยินกันแล้ว
หลินอิ่งของตระกูลฉี นั่นก็คือชื่อจริงของคุณชายอิ่งผู้ลึกลับแห่งตี้จิง
ส่วนทำไมถึงแซ่หลิน ได้ยินว่าคุณชายอิ่งออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก จึงใช้นามสกุลกับแม่
ถ้าหากคุณชายอิ่งมาด้วยตัวเอง เขาจ้าวหงหยังทำไมถึงไม่ได้รับข่าวเลยแม้แต่น้อย?
หลินอิ่งส่ายหน้า สีหน้านิ่งเฉยมาก
จ้าวหงหยังผู้มีอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลจ้าว ดูเหมือนจะเลอะเลือนเพราะผลประโยชน์ที่ได้จากชีซิงกรุ๊ปไปแล้ว สมองไม่มีสติแล้ว
“ในเมื่อคุณไม่เชื่อ ถ้าอย่างนั้นตระกูลจ้าวของคุณ ก็ต้องชดใช้อะไรบ้างแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย
“คืนนี้ ตระกูลจ้าวของพวกคุณไม่ยอมเอาธุรกิจสายนี้ออกมา ผมก็จะเปิดหนทางเอง” หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “แผนการที่พวกคุณเตรียมการกับชีซิงกรุ๊ป ไม่มีแล้ว”
พูดจบ หลินอิ่งก็หยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า เตรียมจะเรียกนิ่งซวนพาคนมาทำงาน
ความสัมพันธ์ของตระกูลจ้าวกับชีซิงกรุ๊ป จะเอาดินแดนเมืองเทียนหลงนี้ไปภายใต้สายตาเขา?
เป็นไปไม่ได้
โปรแกรมที่หลินอิ่งให้นิ่งซวนไป มีอยู่ข้อหนึ่ง ไม่เหลือหนทางให้กับชีซิงกรุ๊ปเด็ดขาด ถีบออกจากเมืองเทียนหลงอย่างสมบูรณ์
“ออ? แกยังอยากจะโทรเรียกใครมา? ดีเลย ฉันก็อยากรอดู รอดูไอ้เด็กอย่างแก จะเล่นอะไรได้อีก” จ้าวหงหยังส่ายหน้าหัวเราะเย็นชา ท่าทางหยิ่งยโส
“อาหก เงียบเดี๋ยวนี้ อย่าพูดอะไรไปเลื่อยอีก”
เวลาเดียวกัน หน้าประตูทางเข้างานมีเสียงของชายหนุ่มที่น่าเกรงขามคนหนึ่งดังขึ้น
เห็นแค่ ตรงหน้าประตูมีชายหนุ่มบุคลิกสง่า ในชุดสูทสีขาว หน้าตาสง่างาม ข้างกายมีชายหนุ่มและชายชราในชุดคอจีนตามมาด้วย
“นี่? คุณชายใหญ่? คุณ มาที่นี่ได้ยังไง?” จ้าวหงหยังสีหน้าแปลกใจมองไปทางหน้าประตู ทันใดนั้นสีหน้าก็ตกใจ
“แล้วก็คุณหนูใหญ่? มาเหมือนกันเหรอ?”
เห็นคนที่มาแล้ว สีหน้าจ้าวหงหยังก็เปลี่ยนไปอย่างไม่แน่ใจ ในใจเริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ดี
จ้าวเฉิงเฉียนมาแล้ว ยังพาคุณหนูผู้สวยงามชื่อดังแห่งตี้จิงมาด้วย คุณหนูตระกูลจ้าว จ้าวหลินเอ๋อร์
“อาหก ผมไม่มา ยังไม่รู้ว่าอาจจะก่อเรื่องราวใหญ่โตแค่ไหน”
จ้าวเฉิงเฉียนเข้ามาในงานแล้ว สีหน้าเย็นชา ต่อว่าจ้าวหงหยัง