ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 6 ประธานอู คนใหม่
บทที่ 6 ประธานอู คนใหม่
“อะไรนะ? บริษัทของพวกเรามาถึงขั้นนี้แล้วหรอ? พี่สาม วันก่อนพี่ยังบอกว่าปันผลกำไรหุ้นส่วนของเราสูงขึ้นอยู่เลย พี่คงไม่หลอกพวกเราหรอกใช่ไหม?” หุ้นส่วนที่ไม่ค่อยซักถามเรื่องของบริษัทคนหนึ่งเผยสีหน้าหวาดกลัวขึ้น พร้อมซักถาม
“ตลาดหุ้นล้มแล้วหรอ? แม้แต่ช่องทางการค้าก็ถูกยกเลิกด้วยหรอ? แล้วสินค้าจำนวนมากที่พวกเรากักตุนนั้นจะขายที่ไหนต่อล่ะ?” หุ้นส่วนรับผิดชอบวัตถุดิบอัญมณีของโรงงานคนหนึ่งซักถามขึ้นด้วยความกังวล
และมีหุ้นส่วนผู้หญิงคนหนึ่งนั่งไม่ติด เพราะกลัวตัวเองเสียผลประโยชน์ เธอเลยซักถามต่อ จางหงจูน และ จางหงจูน อย่างไม่เกรงกลัวบารมีของสองคนนั้นเลย “พี่ใหญ่ พี่สาม หน้าที่บริหารบริษัทเป็นของพวกพี่สองคน แล้วพวกพี่สองคนบริหารกันยังไง? ตอนนี้เกิดปัญหาใหญ่ขนาดนี้ ทำไมพี่สองคนถึงไม่อธิบายต่อพวกเราทุกคน?”
จางหงจูน มีสีหน้าขาวซีด เขาไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองไปมีปัญหากับคนใหญ่คนโตที่ไหน ถึงได้ลงมือทำลายบริษัทเครื่องประดับจางซื่อยับเหยินแบบนี้
จางหงจูน หันหน้ามอง จางหงจูน จากด้านข้าง และพูดว่า “พี่สาม พี่มีวิธีการแก้ไขไหม? ปัญหาที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ วงการธุรกิจต่างร่วมมือกันทอดทิ้งเรา เห็นได้ชัดเจนเลยว่า มีคนต้องการเล่นงานบริษัทของพวกเรา”
จางหงจูน เองก็รู้สึกหมดสิ้นหนทางเหมือนกัน ขณะเดียวกันเขาก็มีสีหน้าซีดเซียว
“ผมคิดว่า พวกเราควรรู้ให้ได้ว่าผู้อยู่เบื้องหลังเล่นงานยังไง แล้วค่อยหาช่องโหว่แก้ไข” จางหงจูน พูดอย่างจนปัญญาขึ้น
พวกเขาสองคนในฐานะผู้บริหารสองคนเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่า ตกลงไปมีเรื่องกับใคร?
ใครกันที่มีอิทธิพลมากขนาดนี้? ที่สามารถทำให้จางซื่อกรุ๊ปตกอยู่ในสภาวะใกล้ล้มละลาย?
เมื่อเห็นผู้บริหารสองคนไร้ซึ่งความสามารถ ภายในห้องประชุมก็ยิ่งรีบร้อนใจ เหล่าหุ้นส่วนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่หยุดหย่อน
ก็อก ก็อก
ทันใดนั้น เลขาสาวสวมแว่นตาคนหนึ่งก็เดินเข้าห้องประชุมด้วยความร้อนใจอีกครั้ง
“รองประธานค่ะ มีคนโทรศัพท์มาหาค่ะ เป็นเลขาใหญ่อู จากนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ค่ะ บอกว่าอยากพูดคุยเรื่องปัญหาของจางซื่อกรุ๊ปครั้งนี้” เลขาสาวพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“ถามหาผมหรอ?” จางหงจูน เผยสีหน้าสงสัยขึ้น
ทุกคนต่างแขวนสีหน้าสงสัยกันหมดแล้ว หากพูดตามหลักการแล้ว เกิดปัญหาไม่ใช่ว่าควรหาประธานใหญ่ก่อนหรอกหรอ?
ทำไมถึงถามหาน้องสาม? หรือว่า?
ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมต่างมีเล่ห์เหลี่ยม วินาทีต่อมา ทุกคนพากันจ้องมอง จางหงจูน ด้วยสีหน้าสงสัย
“น้องสาม เรื่องนี้เกี่ยวกับนายหรอ? นายมีปัญหากับนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่หรอ?” จางหงจูน เองก็จ้องมอง จางหงจูน ด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนกัน
เล่นตลกอะไรกัน นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ใหญ่โตขนาดนั้น แล้วจะสามารถพบปะกับจางซื่อกรุ๊ปได้ยังไงกัน?
เพียงแค่ทางนั้นเอ่ยปากก็จะสามารถทำให้จางซื่อกรุ๊ปย่อยยับได้ทันที!
“ผม….จะทำได้ยังไงกัน?” จางหงจูน รีบปฏิเสธทันที
“จริงหรือเปล่า เดียวเราจะสืบให้รู้เอง นายไปรับโทรศัพท์ก่อนเถอะ เปิดลำโพงด้วย ดูสิว่าทางนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่จะว่าอย่างไรบ้าง” จางหงจูน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น
ถึงแม้เขาเป็นกรรมการบริหารจางซื่อกรุ๊ป แต่ความเป็นจริงแล้ว อำนาจของอสังหาริมทรัพย์ในมือไม่สามารถแยกออกจากในกำมือของ จางหงจูน ได้
ทั้งสองคนต่างยึดครองคนละครึ่งของจางซื่อกรุ๊ป ทั้งที่จริงต้องแบ่งสามส่วน
ถ้าหากเรื่องของ จางหงจูน สร้างความลำบากให้กับตัวเอง ต่อให้เป็นน้องแท้ๆก็ไม่ไว้หน้าเหมือนกัน
จางหงจูน รู้สึกกดดันมาก ที่ต้องรับสายโทรศัพท์ต่อหน้าหุ้นส่วนทุกคน
“คุณคือ จางหงจูน หรือเปล่าครับ?” ในสายมีเสียงสุขุมของ เลขาใหญ่อู ขึ้น
“ครับ สวัสดีครับ คุณ เลขาใหญ่อู” จางหงจูน พูดอย่างอ่อนน้อมขึ้น
“อีกหนึ่งชั่วโมง เปิดห้องประชุมใหญ่ และเรียกผู้จัดการทั้งหมดของจางซื่อกรุ๊ปด้วย เดียวทางบริษัทของพวกเราจะคุยปัญหาการรับซื้อสินค้าบริษัทของพวกคุณ อีกอย่างเรียกลูกชายคุณ จางเถียนไห่ มาด้วย” เลขาใหญ่อู พูดขึ้น
“อ๋อ ครับ ได้ครับ!” จางหงจูน รีบตอบรับ ไม่กล้าโต้แย้งแต่อย่างใด
ตื้ด เลขา เลขาใหญ่อู วางสายลง
จางหงจูน มีสีหน้าขาวซีด เมื่อได้ยินทางนั้นเอ่ยถึงลูกชายของเขา จางเถียนไห่ ในใจก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้น
หุ้นส่วนที่อยู่ในห้องต่างพากันจ้อง จางหงจูน ด้วยสายตาไม่พอใจและสงสัย
“ตอนนี้ทุกอย่างเร่งด่วน รีบเปิดห้องประชุมใหญ่เลย และเรียกผู้จัดการทั้งหมดด้วย จากนั้นก็รอคนจากทางนิ่งซื่อกรุ๊ปมาถึง” จางหงจูน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ทางจางซื่อกรุ๊ปก็เรียกเหล่าผู้จัดการคนสำคัญมาประชุมกันหมดราวๆสองร้อยกว่าคนรวมตัวกันในห้องประชุมใหญ่
จางหงจูน และ จางหงจูน เดินไปต้อนรับหน้าประตูด้วยตนเอง
สามชั่วโมงต่อมา
บรรยากาศภายในห้องประชุมยิ่งน่าอึดอัด ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยอย่างกังวล
ซึ่งระหว่างนั้นเกิดเหตุการณ์โต้แย้ง ทะเลาะกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีผลดีอะไร
ในตอนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า ทางนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ได้เริ่มแสดงการข่มขู่แล้ว โดยการให้พวกเขาทุกคนเฝ้ารอคอยสองชั่วโมงอย่างหดหู่ใจ
แม้กระทั่ง จางหงจูน และ จางหงจูน ผู้บริหารสองคนต่างเดินวนเวียนหน้าประตูรอคนจากทางนั้นอย่างรีบร้อนใจ
กระทั่งพวกเขาสองคนยังไม่กล้าโทรศัพท์ซักถามด้วย เกรงจะเสียมารยาท…..
“พี่ใหญ่ หรือว่าเราโทรศัพท์ไปถามสักหน่อยไหม? ตกลงคนทางนิ่งซื่อกรุ๊ปจะมาหรือเปล่า?” หุ้นส่วนคนหนึ่งนั่งไม่ติดแล้ว เพราะนี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ทรมานใจมาก
“พ่อตา หรือว่าวันนี้เรายกเลิกก่อนกันดีไหม รอให้คนทางนิ่งซื่อกรุ๊ปมาก่อน พวกเราค่อยเรียกประชุมกันอีกครั้งก็ไม่ส่ายนะครับ” ลูกเขยของ จางหงจูน ซูนเหิง ซักถามขึ้น เพราะนั่งไม่ติดเก้าอี้เหมือนกัน
“พวกเราทำได้เพียงรอต่อไป ชีวิตของบริษัทพวกเราอยู่ในกำมือของนิ่งซื่อกรุ๊ปแล้ว” จางหงจูน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น
“พ่อครับ เกิดอะไรขึ้น คนของนิ่งซื่อกรุ๊ปยังไม่มาอีกหรอครับ?” จางเถียนไห่ เองก็ซักถามด้วยความสงสัยเหมือนกัน เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเลขาใหญ่อู ถึงเรียกเขาให้มาด้วย ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงผู้จัดการสาขาของจางซื่อกรุ๊ปก็ตาม
“นิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ของพวกเรายิ่งใหญ่มากขนาดนั้นเลยหรอ? ถึงให้พนักงานของบริษัทเรานับร้อยกว่าคนรอแค่เลขาเพียงคนเดียว?” จางเถียนไห่พูดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
“ไอ้เด็กโง่หุบปากเดียวนี้!” จางหงจูน พูดด่าทอขึ้น “แกจะไปรู้อะไร? แกรู้ไหมว่านิ่งซื่อกรุ๊ปมีอำนาจมากแค่ไหน? วันๆเอาแต่เที่ยวเล่นเตร่อย่างแก ไม่รู้เลยว่าครั้งนี้เป็นแกหรือเปล่าที่เป็นคนสร้างปัญหาทั้งหมดนี้ขึ้นมา!”
บรรยากาศยิ่งกดดันมากขึ้น ทุกคนในห้องต่างเฝ้ารออย่างทรมาน
ถึงแม้เครื่องปรับอากาศภายในห้องประชุมมีจำนวนเพียงพอ แต่พนักงานและหุ้นส่วนหลายคนกลับมีเหงื่อไหลเต็มหน้า
ทันใดนั้นนอกห้องประชุมก็ปรากฏชายหนุ่มคนหนึ่ง พร้อมกับทีมงาน และทนายความสองคนเดินเข้ามาอย่างโกรธเคือง
“ทุกท่าน ผมขอแนะนำตัวเองหน่อยนะครับ ผมอูหยาง เป็นผู้รับผิดชอบรับซื้อจางซื่อกรุ๊ปของนิ่งซื่อกรุ๊ปในครั้งนี้” เลขาใหญ่อู เผยสีหน้าเคร่งขรึมพูดขึ้น
“ขณะเดียวกัน ผมยังเป็นตัวแทนประธานของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อเช่นกันด้วย มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบงานราชการของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อทั้งหมด”
ขณะที่พูด เลขาอู ก็เดินเข้ามานั่งตรงที่นั่งของประธานอย่างมั่นใจ
ตำแหน่งของประธาน นับตั้งแต่คุณท่านตระกูลจาง เสียชีวิตก็เป็นตำแหน่งว่างมากโดยตลอด ซึ่งแม้แต่พี่ใหญ่และน้องสามผู้บริหารสองคนนี้ยังไม่สามารถนั่งได้เลย
“นี่มัน!”
คนของตระกูลจาง ต่างเผยสีหน้าไม่พอใจขึ้น
แต่พวกเขาเกรงกลัวต่ออำนาจของนิ่งซื่อกรุ๊ปเมืองตุงไห่ และกลัวเสียผลประโยชน์ทั้งหมดของตัวเองเลยไม่กล้าโต้เถียง
เลขาอู ยิ้มจางๆ และกวาดตามองสีหน้าของทุกคน ก่อนพูดขึ้นว่า “พวกคุณคงยังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์แน่เลย”
“ตอนนี้หุ้นส่วนห้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ของบริษัทเครื่องประดับจางซื่ออยู่ในกำมือของผมแล้ว ทั้งโรงงานอัญมณีของบริษัทอีกยี่สิบแห่ง และร้านค้าอัญมณีประจำเมืองอีกสามแห่งด้วย”
“ผมคิดว่า การที่ผมนั่งที่ตำแหน่งประธานคงไม่มีใครต่อต้านนะครับ?”
คำพูดของเลขาอู ได้สะกดจิตทำให้ทุกคนตกอยู่ในสภาวะนิ่งเงียบ
“นี่เป็นเอกสารเกี่ยวกับการรับซื้อในครั้งนี้ ทุกคนดูกันให้ดีนะครับ”
ขณะที่พูด เลขาอู ก็ให้ทีมงานหยิบเอกสารแจกจ่ายให้กับหุ้นส่วนทุกคน
หุ้นส่วนที่นั่งอยู่ทุกคนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด จนไม่รู้เลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่
“ใครคือ จางเถียนไห่?” จู่ๆเลขาอู ก็ซักถามขึ้น
“ผมเองครับ ไม่ทราบว่าเลขาอู ถามหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ?” จางเถียนไห่ เผยสีหน้าประจบสอพลอขึ้น พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คุณเป็นใครหรอ? มีสิทธิ์อะไรมาพูดที่นี้?” เลขาอู จ้องมอง จางเถียนไห่ ด้วยสายตาเย็นชา ขณะเดียวกันก็ขว้างตราประทับใส่ด้วย
เกิดเสียงตึงขึ้น!
ตราประทับตกกระทบบนท้องของ จางเถียนไห่ อย่างแรง เขารู้สึกเหมือนกับเหล็กหนักๆทับใส่ จนทำให้กระเพาะแปรปรวน สุดท้ายเขาก็อ้วกออกมา และนอนฟุบบนโต๊ะประชุม โดยที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยเศษอาหาร
จางเถียนไห่ รู้สึกคับแค้นคับใจมาก ทั้งยังรู้สึกอับอายและไม่เป็นธรรมเป็นอย่างมาก เลยจ้องมองเลขาอู ด้วยสายตาขุ่นเคือง แต่ไม่กล้าขัดขืนอะไร
เขาไม่เข้าใจว่า ทำไมเลขาอู ของนิ่งซื่อกรุ๊ปคนนี้ถึงมาเล่นงานตัวเอง!
“ทุกท่าน ตอนแรกผมคิดอยากพูดคุยเรื่องสำคัญเลย แต่มีสิ่งของสกปรกอยู่ คงต้องรอทำความสะอาดสักครู่!” เลขาอู พูดขึ้น
“ครับ ประธานอู เดียวผมจะรีบเรียกคนมาทำความสะอาดนะครับ” จางหงจูน พูดด้วยสีหน้าประจบประแจงขึ้น
ถึงแม้ในใจของเขาเองก็คิดอยากช่วยลูกชาย แต่เมื่อดึงสติกลับมาได้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีอำนาจ ก็รีบเรียนรู้วิธีการก้มหน้าก้มตา
“อืม” เลขาอู ยิ้มและพูดว่า “บริษัทต้องมีกฎระเบียบ ใครทำอะไรก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของ จางหงจูน แข็งทื่อทันที จากนั้นก็หันหน้ามองด่าทอ จางเถียนไห่ ว่า “ไอ้ลูกเนรคุณยืนเฉยอยู่ทำไมอีก รีบไปทำความสะอาดสิ อย่าทำให้ฉันขายหน้า!”
“ต้องให้ผมพูดอีกรอบไหม?” เลขาอู พูดขึ้น พร้อมส่งสายตาแหลมคมมาที่ จางหงจูน “อ้วกออกมายังไง ก็เอาเข้าไปอย่างนั้น ผมต้องการให้เขาเลียและกลืนกินให้สะอาด!”