ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 605 สถานการณ์นิ่งชะงัก
“หืม?คุณกำลังพูดอะไร?” จ้าวเฉิงเฉียนขมวดคิ้วแน่น พร้อมมองสวีจิ่วหลิงด้วยความสงสัย “คุณลงทือทำอะไรกับท่านอิ่งแล้วงั้นหรือ?”
เขามองดูท่าทีมั่นอกมั่นใจของ สวีจิ่วหลิง ก็ทำให้เขาเกิดความรู้สึกถึงเรื่องบางอย่างที่ไม่ชัดเจนเกิดขึ้น
“เหอะๆ เจ้าเด็กหยิ่งยโสอย่างหลินอิ่ง คิดว่าตัวเองอยู่ในตี้จิงนี้ไร้คนที่จะต่อกรเขาได้ ถึงได้กดพวกเราตระกูลสวีถึงขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าคนอย่างฉันไม่ลงมือสั่งสอนเขาสักหน่อย เขาก็คงคิดว่าตี้จิงเขาพูดคำไหนต้องเป็นอย่างนั้นแล้วสิ?” สวีจิ่วหลิงตอบอย่างยิ้มเยาะ ใบหน้าแก่ชรายิ้มแย้มออกมาอย่างเบิกบานราวกับผู้ชนะ
“เจ้าหนุ่มแซ่จ้าว คุณโลดแล่นในตี้จิงมาก็นานขนาดนี้แล้ว จนถึงตอนนี้ยังมองสถานการณ์ไม่ออกอีกงั้นหรอ?” สวีไป๋เห้อที่นั่งอยู่บนรถเข็นยิ้มอย่างได้ใจออกมาเช่นกัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหยอกล้อ “หลินอิ่งแพ้อย่างราบคาบแล้วล่ะนะ หลังผ่านการประชุมสุดยอดครั้งนี้ไป เขาจะไม่มีที่ยืนใดๆ ในตี้จิงอีก จุดจบจะมีเพียงก็แต่ชื่อเสียงที่ป่นปี้ หรือไม่ก็กลับสู่ปรโลก ……”
จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตาลงมองพวกเขาทั้งสองคน ความคิดนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในจิตใจของเขา
การที่คนตระกูลสวีแสดงท่าทางโอหังออกมาชัดเจนขนาดนี้ ดูก็รู้ว่าพวกเขามีความมั่นใจขนาดไหน
อีกอย่างทางฝั่งคนของหลินอิ่งก็ยังติดต่อไม่ได้อีกด้วย
สิ่งนื้ทำให้ในใจของจ้าวเฉิงเฉียนเกิดความสั่นคลอนไม่น้อยเลย หรือว่าหลินอิ่งจะถูกลอบทำร้ายจริงๆ ?
“พวกคุณพูดจาเหลวไหลอะไรกัน?หลินอิ่งจะแพ้ให้กับคนตระกูลสวีอย่างพวกคุณได้ยังไง?” แววตาของจ้าวหลินเอ๋อร์แอบซ่อนความกังวลใจเอาไว้ พร้อมพูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
“ถ้าเกิดว่าพวกคุณกล้าทำเรื่องไม่ดีอะไรกับหลินอิ่ง คระกูลจ้าวจะไม่มีทางปล่อยพวกคุณไปแน่ !”
ในสายตาของเธอแล้ว หลินอิ่งเป็นการมีอยู่ของบุคคลสูงสุด ไม่มีทางที่จะแพ้ให้ใครเด็ดขาด
สวีจิ่วหลิงอุทานออกมาอย่างเยือกเย็น พร้อมกับเหลียวมองจ้าวหลินเอ๋อร์ “เธอนังเด็กคระกูลจ้าวนี่ ช่างไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่เสียจริง ถึงได้กล้ามาเอะอะเสียงดังต่อหน้าคนแก่อย่างฉันเหมือนตัวอะไรกัน?”
“คนวัยรุ่นอย่างเธอ กล้าอ้างชื่อคระกูลจ้าวต่อหน้าคนอย่างฉันงั้นหรอ?ช่างไม่รู้อะไรเสียจริงๆ ”
“ฉันได้ยินมาว่า ตัวหลินอิ่งได้เข้าไปหาคระกูลจ้าวของพวกคุณเพื่อปฏิเสธการหมั้นหมายด้วยนี่?แม้แต่เงินชดใช้จากคระกูลจ้าวของพวกคุณหลินอิ่งคนนั้นยังไม่เอาเลยไม่ใช่หรือไง?” สวีไป๋เห้อพูดไปพลันทำหน้าหยอกเย้า “ช่างน่าขำจริงๆ เลยนะครับ?นี่พวกคุณบูชาหลินอิ่งเป็นพระโพธิสัตว์จริงๆ งั้นหรอ?คิดว่าเขาเป็นเทพเจ้าผู้ทรงอำนาจไร้ต้านทานหรือไง?”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่เชื่ออีกหรอว่าหลินอิ่งน่ะไม่ไหวแล้ว?ยังคิดจะช่วยหลินอิ่งอีกงั้นหรือไง?” สวีไป๋เห้อส่ายหน้าอย่างได้ใจ “พวกคุณคระกูลจ้าวนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ เลยนะ”
ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ คระกูลจ้าวคอยช่วยเหลือหลินอิ่งไม่ว่าจะเป็นในที่ลับหรือที่แจ้ง คอยยืนอยู่ข้างหลินอิ่งเพื่อปราบปราม ตระกูลสวีมาโดยตลอด
ดังนั้น คนตระกูลสวีจึงเกิดความไม่พอใจใน คระกูลจ้าว อย่างมาก
ตอนนี้สถานการณ์กำลังแน่นิ่งแล้ว หลินอิ่งได้ถูกมุซาชิ จูโตะคนนั้นควบคุมตัวเอาไว้ และอาจจะฆ่าตายแล้ว
เหล่าบรรดาคนตระกูลสวีที่อยู่ตรงนี้ ล้วนแต่มีท่าทีที่หายใจโล่งอกแสดงถึงความสุขใจออกมาอย่างเปิดเผย ราวกับว่าได้ขจัดเงามืดภายในใจจากการที่เคยถูกหลินอิ่งใช้อำนาจที่แข็งแกร่งสะกดเอาไว้
“คุณ!” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเขียวป๊าด พร้อมกับจะพูดอะไรบางอย่างต่อ
“หลีกไป!การประชุมสุดยอดเทียนหลงกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!” สวีจิ่วหลิงทำเสียงดุขึ้นมา พลางมองไปยังจ้าวเฉิงเฉียนสองพี่น้องอย่างเย็นชา
“ผมขอเตือนพวกคุณคระกูลจ้าวเอาไว้เลยนะ ถ้าสถานการณ์ในเมืองเทียนหลงลงตัวหมดแล้ว และพวกคุณยังพอจะรู้จักประเมินตัวเอง ผมก็พอจะให้พวกคุณ คระกูลจ้าวได้รับผลประโยชน์บ้าง แต่ถ้ายังจะท้าทายกันอีก รับรองเลยว่าพวกคุณจะไม่ได้รับอะไรเลยจากโครงการใหญ่นี้!!”
หลังจากกล่าวเตือนและข่มขู่ทั้งสองแล้ว สวีจิ่วหลิงก็สาวเท้าก้าวใหญ่ เดินนำกลุ่มคนตระกูลสวีที่ยังคงแสดงท่าทีผยองเดินขึ้นไปนั่งยังที่นั่งด้านบน
ในขณะเดียวกัน ก็มีกลุ่มชายหนุ่มสวมชุดสูทเดินตามเข้ามา บนตัวของพวกเขาล้วนมีการติดเหรียญตราชีซิงเอาไว้ทุกคน
คนที่นำหน้า คือชายวัยกลางคนหนึ่งที่มีใบหน้าเคร่งขรึม ซึ่งมักปรากฏในรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับงานประชุมธุรกิจระหว่างประเทศต่างๆ
“เขาคือประธานของชีซิงกรุ๊ป?เผียวจินฮุน?”
“ใช่แล้ว ฉันเคยเจอเขาที่ประเทศเกาหลี เขาคือประธานเผียวแน่นอน เขาคนนี้ในประเทศเกาหลี ถือเป็นคนมีอำนาจที่ใช้อิทธิพลปกปิดเรื่องต่างๆ เลยเชียว !”
“ได้ยินมาว่า โครงการในเมืองเทียนหลงครั้งนี้ ตระกูลสวีจะร่วมมือชีซิงกรุ๊ปแน่นอน การเสนอโครงการของบริษัทตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปดูเหมือนจะดึงดูดความสนใจได้อย่างดีเลย……”
เมื่อดูจากการเข้างานของตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปแล้ว ผู้คนที่นั่งอยู่บนแท่นที่นั่งต่างก็เกิดวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นด้วยใจที่เต็มไปด้วยความคิดต่างๆ นานา
แม้แต่คนบางกลุ่มที่ยังอยู่ในท่าทีสงบเสงี่ยมก็ยังเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาในใจ
ถึงแม้จะบอกว่าก่อนหน้านี้คุณชายอิ่งของตระกูลฉีนั้นได้รับความได้เปรียบกว่ามาก ทั้งยังกดทับในทุกๆ ด้านจนตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปต่างก็อับอาย
แต่ว่าในวันที่สำคัญที่สุดแบบนี้ คุณชายอิ่งกลับไปมาปรากฏตัวเสียอย่างนั้น
และเมื่อต้องเผชิญการสถานการณ์ใหญ่แบบนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าทางฝั่งตระกูลสวีสามารถจู่โจมความสนใจของทุกคนได้ และท่าทีของพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นประธานในการประชุมสุดยอดที่ได้รับชัยชนะ
หลังจากไม่นาน สวีจิ่วหลิงก็มานั่งลงยังเก้าอี้บนโต๊ะเจรจาทรงกลม ข้างกายของมีผู้ติดตามด้วยคือเผียวจินฮุนและสวีไป๋เห้อ เขานั่งลงคนเดียว มือทั้งสองซ้อนกันไว้บนไม้เท้า พร้อมกับวางมาดด้วยความองค์อาด
“ทุกท่าน ตามข้อตกลง การประชุมสุดยอดจะเริ่มอีกในห้านาทีจากนี้” สวีจิ่วหลิงเอนลงไปกับเก้าอี้ แล้วพูดอย่างเฉื่อยชา “รบกวนผู้ดำเนินการประชุมของตี้จิง และเหล่าตัวแทนตระกูลใหญ่ รีบประจำที่ด้วย”
“แต่ก่อนจะเริ่ม ผมจะขอแนะนำแขกผู้มีเกียรติท่านหนึ่งให้กับทุกท่านได้รู้จัก เผียวจินฮุนประธานใหญ่ของชีซิงกรุ๊ป ครั้งนี้จะเป็นการร่วมมือของบริษัทตระกูลสวีและชีซิงกรุ๊ปในการเสนอแผนการพัฒนาเมืองเทียนหลง ทุกท่าน โปรดพิจารณาเอกสารอย่างละเอียดที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์กับตัวของทุกท่านเอง ……”
เมื่อสวีจิ่วหลิงพูดจบ เผียวจินฮุนก็แสดงรอยยิ้มออกมาทันที พร้อมกับโบกมือทักทาย ก่อนจะส่งสัญญาณให้ทีมผู้จัดการประชุมเริ่มดำเนินการส่งมอบเอกสารข้อเสนอให้กับเหล่าผู้มีเกียรติทุกคน พลางกล่าวแนะนำเป็นการเฉพาะ
“ข้อเสนอนี้ได้รับการลงนามโดยบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่หลายสิบแห่งในต่างประเทศตราบใดที่ทุกท่านยินดีที่จะเข้าร่วมกับเรา คุณจะได้เพลิดเพลินกับทุกช่องทางทุกธุรกิจที่เป็นช่องทางในการสร้างประโยชน์มากมาย รวมทั้งเทคโนโลยี ……” ใบหน้าของเผียวจินฮุนเต้มไปด้วยความมั่นใจ พร้อมกับค่อยๆ กล่าวแนะนำ
แผนธุรกิจที่เขาเสนอออกมา ถือเป็นสิ่งที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
การลงนามของกลุ่มบริษัทข้ามชาติ ก็เทียบเท่ากับมีดินแดนอุดมสมบูรณ์สิบแห่งมาตั้งอยู่ตรงหน้า ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่าควรจะเลือกอย่างไรดี
และยิ่งโดยเฉพาะในสถานการณ์ที่คู่แข่งอย่างหลินอิ่งไม่อยู่ในงาน
ในการประชุมสุดยอดสุดล้ำสมัยของกลุ่มธุรกิจของตี้จิงนี้ พวกเขาตระกูลสวีก็ไม่รู้ว่าจะแพ้อย่างไรได้อีก
ซึ่งเป็นเพราะแบบนี้ คนตระกูลสวีจึงสามารถดำเนินการทุกอย่างเฉิดฉาย พร้อมกับกุมสถานการณ์เอาไว้ในมือ
“พี่ พี่รีบหาวิธีสักอย่างสิ หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ทุกอย่างต้องจบเห่แน่ๆ เมืองเทียนหลงจะต้องพวกเขาตระกูลสวีรีดไถเงินแล้ว” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
จ้าวเฉิงเฉียนยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาฉายแววเย็นชาออกมา
ตระกูลหลักทั้งห้า หลินอิ่งไม่มา ตัวแทนของตระกูลนิ่งก็ไม่มา
ส่วนตัวแทนของคระกูลจ้าวก็คือเขา
ทางด้านตัวแทนของตระกูลกงซุนที่มาเข้าร่วมการประชุมสุดยอดก็คือกงซุนเฟยหง ซึ่งก็ยังนั่งปิดปากเงียบไม่พูดอะไร และนิ่งสงบอย่างมาก
สามารถบอกได้ว่ามีตัวแทนของสี่ตระกูลหลักที่สนับสนุนทางทางด้านหลินอิ่ง ซึ่งถือว่ามีสี่คะแนนเสียงแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม หลินอิ่งเป็นผู้นำของโครงการเมืองเทียนหลง ดังนั้นทุกอย่างจึงอยู่ในมือของเขาหมดเลย
และในมือของพวกเขาก็ไม่ได้มีการจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องเลยด้วย
หลินอิ่งที่เป็นแกนหลักกลับไม่มา การประจันหน้าครั้งนี้คงจะต้องพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ต่อสู้