ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 636 สร้างสุสานให้หลินอิ่งอย่างดี
“ผมอยู่เมืองตุงไห่ ผมจะกลับไปอำเภอเจียงเยว่ด้วยตัวเอง”
เสียงตี๊ดดังขึ้นหนึ่งที
พูดจบ หลินอิ่งก็วางสายลง ไม่อยากพูดอะไรมากมายกับลู่หย่าฮุ่ยต่อ
ถึงตอนนี้ ก็ยังคิดแต่เรื่องที่ว่าเธอจะขายหน้าคนที่บ้านอยู่อีก……
ไม่นาน หลินอิ่งก็พาเจียงฉีลงไปข้างล่าง
ฮาเดสเอารถมาจากที่จอดรถ พวกหลินอิ่งสองคนขึ้นมาบนรถเบนท์ลี่ย์สีดำ ไปยังทางด่วนถนนทางหลัก……
ที่เบาะหลังของรถ หลินอิ่งหลับตาตั้งสมาธิ สีหน้าหนักอึ้ง ในใจเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัยของฉีโม่
คนที่ลักพาตัวฉีโม่ไป จนถึงตอนนี้ยังไม่ตอบกลับตัวเองมาเลย แล้วก็ไม่รู้ว่าคิดวางแผนอะไรอยู่กันแน่ด้วย
ถ้าฉีโม่เป็นอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหน ก็จะให้มันคนนั้นได้ชดใช้ให้สาสมตลอดไป……
……
อีกด้านหนึ่ง ณ ชุมชนหลิวเยว่ อำเภอเจียงเยว่
ลู่หย่าฮุ่ยและจางซิ่วเฟิงหลังจากที่ถูกหลินอิ่งวางสายใส่แล้ว ก็หันมองหน้ากัน
“เอ่อ……หลินอิ่งว่ายังไง?”จางซิ่วเฟิงเปิดปากพูดถามขึ้น
“หลินอิ่งบอกว่าเขาอยู่ที่เมืองตุงไห่ จะมาที่อำเภอเจียงเยว่ด้วยตัวเอง”ลู่หย่าฮุ่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย”เขายังถามฉันว่าฉีโม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นด้วย หรือว่าฉีโม่จะเป็นอะไรไป?”
“หลินอิ่งอยู่ที่เมืองตุงไห่? แล้วเขารับปากจะช่วยไหม?”จางซิ่วเฟิงพูดถามขึ้น
“จะไม่ใช่ได้ยังไงล่ะ หลินอิ่ง หลินอิ่งจะยังไงกับฉีโม่ไม่ต้องพูดก็รู้ๆกันอยู่ ขอแค่เขาออกหน้ามา เรื่องของพวกเราก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าจะลงเอยไม่ดี”ลู่หย่าฮุ่ยพูดออกมาตามใจ
“เห้อ น้องหย่าฮุ่ย เธอโทรไปหาใครเหรอ? ลูกเขยของพวกเธอคนนั้น สุดยอดขนาดนั้นเลยเหรอ?”ลู่ฉ่ายเชียพูดขึ้นด้วยท่าทางขี้เล่น”เรื่องที่พูดครั้งที่แล้ว เธออย่าเก็บไปคิดจริงจังล่ะ ฉันแค่พูดออกไปตามใจปากเท่านั้น อย่าเอาแต่หวงหน้าตาของตัวเองเลย พูดยังไงลูกเขยของพวกเธอก็เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของไห่หยางกรุ๊ปเมืองตุงไห่……”
“แถม คนเค้าก็เป็นลูกเขยของพวกเธอใช่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่”
ลู่ฉ่ายเชียมองมายังสองสามีภรรยาลู่หย่าฮุ่ยด้วยสายตาเยาะเย้ย เหมือนกับว่าอยากจะเห็นทั้งสองคนหน้าเสีย
“เห้อ คุณให้ซิ่วเฟิงกับหย่าฮุ่ยโทรไปเถอะ คนเค้าเอาแต่รู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถ ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกเขาพิสูจน์ก็แล้วกัน”ไอ้เฉียนพูดอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน”อยากจะดูซิว่าจะมีความสามารถมากขนาดไหนกันเชียว กินข้าวในบ้านยังกล้าซัดตะเกียบ เหอะ คิดว่าตัวเองเป็นประธานจริงๆสินะ?”
พอได้ฟังคำพูดของสองสามีภรรยาลู่ฉ่ายเชีย ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงสีหน้าก็ดูไม่ดี อดกลั้นเอาไว้
สามีภรรยาสองคู่นี้ ทะเลาะต่อล้อต่อเถียงกันทั้งวัน ไม่มีใครยอมใคร เยาะเย้ยเสียดสีกันไม่ไหว
ฉีโม่ก็รับไม่ไหวกับคำเสียดสีของสองคนนี้ ซัดตะเกียบหนีออกไป ตอนนี้ก็ยังไม่รับสาย
“ลุงป้าของเธอ ถ้าพวกคุณยังจะพูดแบบนี้ต่อไปอีก พวกเราก็จะคิดจริงๆแล้วนะ ว่ากำลังดูถูกใครอยู่”ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยความไม่ยอม”หลินอิ่งเขารับโทรศัพท์แล้ว บอกว่าจะมาที่อำเภอเจียงเยว่ ถึงตอนนั้นพวกคุณก็รอดูแล้วกัน”
“เห้อ พูดแบบนี้ไม่ได้สิ คนครอบครัวเดียวกัน พวกเราไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไรเลย”ไอ้เฉียนพูดด้วยน้ำเสียงแปลกๆ”ส่วนหลินอิ่งที่น่าพิศวงน่าอัศจรรย์ที่พวกเธอบอก ก็ให้เขามาเถอะ ที่อำเภอเจียงเยว่ ฉันอยากเห็นจริงๆว่ามันจะมีความสามารถมากขนาดไหน”
“ขอพูดเอาไว้ก่อนนะ ถ้าหลินอิ่งกล้ามา ฉันก็จะถามเขาให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ว่ากล้าดียังไงมารังแกคนของตระกูลลู่ของพวกเรา ถึงตอนนั้นถ้าเกิดเรื่องอะไรที่ดูไม่ดีขึ้นมา ก็อย่ามาหาว่าฉันไม้ไว้หน้าครอบครัวพวกเธอก็แล้วกัน”
ไอ้เฉียนสบถหึออกมาอย่างเย้ยหยัน สีหน้าดูถูกดูแคลนสุดๆ
……
ในเวลานี้เอง
ณ เขาเจียงเยว่ อำเภอเจียงเยว่
ที่นี่เป็นป่านิเวศที่มีผู้คนเบาบางที่อยู่เข้าไปในป่าลึก
เป็นภูเขาที่แร้นแค้นกันดานที่แม้แต่ถนนหนทางก็ยังเข้าไปไม่ถึง
ในส่วนลึกของเขาเจียงเยว่ บนยอดเขาเตี้ยๆ มีตึกอาคารที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวอยู่หนึ่งหลัง
ภายในตึกอาคารที่ดูผิวเผินแล้วธรรมดาทั่วไป ตกแต่งอย่างหรูหรา ปูด้วยพรมแดงและโบราณวัตถุภาพสีน้ำมันที่ล้ำค่ามากมายหลายชนิด เป็นสไตล์ตะวันตกที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร
ส่วนบริเวณรอบๆอาคาร ก็มีกลุ่มชายชุดดำคอยเดินคุ้มกันอยู่ทุกทิศทุกทาง ที่ตัวของแต่ละคนล้วนแต่มีรังสีอันตรายแผ่ออกมา
แล้วก็ยังมีอุปกรณ์ไฮเทคมากมายหลายชนิด ติดตั้งอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง เหมือนกับเป็นฐานปฏิบัติการต่อสู้ที่สร้างไว้ชั่วคราว
ภายในห้องใหญ่ชั้นสาม
โคมระย้าตะวันตกส่องแสงสีเหลืองอร่าม บนโซฟาตัวใหญ่มีหญิงวัยกลางคนที่ดูสง่างามหรูหรา แต่งกายโดดเด่นไม่ธรรมดานั่งอยู่หนึ่งคน ในมือถือแก้วไวน์
ส่วนจางฉีโม่นั่งหมดแรงอยู่บนเก้าโบราณตัวหนึ่ง ยังคงอยู่ในสภาวะสะลึมสะลือ
“ที่นี่คือ……”
จางฉีโม่ค่อยๆลืมตาขึ้น หรี่ตามองไปรอบๆด้วยความมึนงง
“เธอฟื้นแล้วเหรอ”หญิงวัยกลางคนหน้ายิ้มเล็กน้อย มองมายังจางฉีโม่พร้อมกับพูดขึ้น”จางฉีโม่ ไม่ต้องตื่นตกใจ ฉันน่ะ แค่อยากจะเชิญเธอมาเป็นแขกก็เท่านั้น”
“นี่!”
จางฉีโม่สีหน้าตกใจ คิดที่จะลุกขึ้นยืน จู่ๆก็พบว่าเท้าถูกล่ามเอาไว้กับเก้าอี้ ขยับเขยื้อนไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เธอมองไปยังหญิงวัยกลางคน ก่อนจะถามขึ้น”คุณเป็นใคร?”
“ฉันไม่รู้จักคุณ ทำไมคุณต้องจับฉันมาด้วย?”
จางฉีโม่จำได้แค่ว่า หลังจากที่ออกมาจากชุมชนหลิวเยว่แล้ว ก็ถูกบุคคลลึกลับเข้ามาจับตัว ขนาดพวกหลิวจุน บอดี้การ์ดที่หลินอิ่งส่งมาคุ้มกันเธอ ก็ยังถูกเล่นงานเข้าอย่างแรง พวกเขาสกัดกั้นเอาไว้ไม่ได้เลยสักนิด
“แนะนำตัวสักหน่อยแล้วกัน ฉันชื่อเหวินเทียนเฟิ่ง”เหวินเทียนเฟิ่งพูดยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา”ว่ากันตามสถานภาพแล้ว เธอเรียกฉันว่าแม่เฟิ่งก็ได้”
“เหวินเทียนเฟิ่ง?”จางฉีโม่สีหน้าสับสนมึนงง มองสำรวจเหวินเทียนเฟิ่ง ในความทรงจำของเธอ ไม่เคยเจอหญิงวัยกลางคนที่ลึกลับคนนี้มาก่อน
เหวินเทียนเฟิ่งจิบไวน์ไปหนึ่งจิบ ยิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนจะพูดขึ้น”ฉันเป็นแม่เลี้ยงของหลินอิ่ง แน่นอนว่า เขาไม่มีทางจำฉันได้ แถมเขาก็เกลียดฉันมากเหมือนกัน”
เหวินเทียนเฟิ่งสนใจอยู่กับเรื่องของตัวเอง มองมายังจางฉีโม่ ก่อนจะพูดขึ้น”หลินอิ่งชอบเธอมาก สินะ?”
“ฉัน ฉันไม่รู้……”จางฉีโม่พูดขึ้นด้วยท่าทางตึงเครียด
เธอรู้สึกได้ว่า หญิงวัยกลางคนตรงหน้านี้อันตรายมากๆ มีรังสีที่ทำให้คนหวาดกลัว เหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับงูพิษอย่างไรอย่างนั้น
“เหอะๆ”เหวินเทียนเฟิ่งสบถออกมาอย่างเย้ยหยันสองที”เจ้าเด็กหลินอิ่งนั่นช่างรู้จักเลือกผู้หญิงจริงๆ หน้าตาสวยงามไม่ธรรมดา บุคลิกนิสัยก็ใช้ได้ ผู้หญิงแบบเธอเนี่ยจะทำให้ผู้ชายยอมปล่อยวางใจได้มากเลย”
“ฉันก็อยากรู้อยากเห็นเหมือนกัน ว่าผู้ชายที่ไร้ความรู้สึกแบบฉีเหอถู จะมีลูกชายอย่างหลินอิ่งที่นิสัยตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงได้ยังไง……”
เหวินเทียนเฟิ่งดูเหมือนจะกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ สนใจอยู่กับตัวเอง
“คุณจับฉันมา คิดจะทำอะไรกันแน่?”จางฉีโม่พูดถามขึ้น
เธอก็รู้สึกได้ว่า คนพวกนี้จับตัวเองมา มีเป้าหมายคือหลินอิ่งแน่ๆ
แถมยังเรียกตัวเองว่าเป็นแม่เลี้ยงของหลินอิ่งอีก?
ก่อนหน้านี้ หลินอิ่งไม่เคยบอกเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติของครอบครัวกับเธอมาก่อน
ที่จางฉีโม่พอจะคิดได้ ว่าการมาของคนพวกนี้ เป็นไปได้มากว่าจะเป็นความแค้นการขัดแย้งกันภายในตระกูลของหลินอิ่ง
เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น ในตาแฝงไปด้วยความชั่วร้าย ก่อนจะพูดขึ้น”จับเธอมา แน่นอนว่าก็เพื่อสร้างสุสานให้กับหลินอิ่งอย่างดียังไงล่ะ”