ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 641 ขึ้นเขา
“พวกคุณสองคนเลิกเรียกร้องโทษทัณฑ์ให้ตัวเองได้แล้ว” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ “เรื่องมันก็เกิดไปแล้ว เรื่องมันเป็นไปยังไง ก็จัดการไปตามนั้น”
“เสิ่นซาน หลิวจุนลูกน้องของคุณในโรงพยาบาลฟื้นรึยัง ช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อยได้มั้ยว่าตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น?” หลินอิ่งมองไปที่เสิ่นซาน แล้วถามออกไป
เสิ่นซานสะดุ้ง แล้วพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ท่านหลิน หลิวจุนฟื้นแล้วครับ แต่เขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ถ้าฟื้นฟูไม่ถึงครึ่งปีก็ยากที่จะกลับมาเป็นปกติได้ครับ ฟังจากที่เขาพูด ตอนนั้นเขาเข้าไปห้ามคนที่จะลงมือ แล้วถูกชกกระเด็นในหมัดเดียว จนเกือบตายคาที่ไปแล้วครับ?”
“ส่วนลูกน้องที่เหลือ โอกาสที่จะจับปืนยังไม่มีก็ถูกซัดจนลงไปนอนกับพื้นแล้ว”
หลินอิ่งวางแก้วชาลงช้าๆ แววตาค่อยๆ ลึกซึ้งลงไปเรื่อยๆ
“เสิ่นซาน ที่อำเภอเจียงเยว่คุณสามารถรวบรวมคนได้เท่าไหร่?” หลินอิ่งถาม
“เรื่องนั้น……” เสิ่นซานครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง แล้วตอบไปอย่างนอบน้อมว่า “ท่านหลิน ที่ผมมาอำเภอเจียงเยว่นั้นไม่ได้พาคนมาเยอะ แต่ผมสามารถสั่งการบอสใหญ่ในเมืองอำเภอได้แล้ว ผมจึงสามารถสั่งการกองกำลังในพื้นที่ได้ไม่น้อยเลยครับ”
“เรื่องกำลังคนนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ว่า ท่านหลิน ข้าน้อยคิดว่าการที่ต้องไปเผชิญหน้ากับคนชั่วพวกนั้น พี่น้องของข้าน้อยจะช่วยอะไรไม่ได้ครับ”
หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “ผมเข้าใจแล้ว เสิ่นซาน คุณไปจัดคนมาทีมหนึ่ง เตรียมของให้พร้อม และพร้อมที่จะรอรับสัญญาณจากผมทุกเมื่อ”
“ท่านหลิน เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ไม่ทราบว่าท่านหลินจะให้ผมเตรียมคนไปที่ไหนเหรอครับ?” เสิ่นซานถามด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“พอได้รับคำสั่งจากผม ก็ให้ตามมาในตอนท้าย ถึงตอนนั้น ผมจะให้พิกัดอีกที” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
คนที่จะไปยังภูเขาเจียงเยว่ ต้องมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
ถ้าไปทำให้เจ้ามังกรดำโกรธเข้า กลัวจะเกิดอะไรขึ้นกับจางฉีโม่
ส่วนการให้เสิ่นซานรวบรวมคนนั้นก็เพื่อให้มาเก็บกวาดหลังเสร็จเรื่องแล้ว
“คุณไปเตรียมคนตั้งแต่ตอนนี้เลย” หลินอิ่งสั่ง “ตอนนี้ คุณกับเจียงฉีออกไปก่อน ผมยังมีคนที่ต้องไปคุยด้วยอีก”
“ครับ!”
“ครับ!”
เสิ่นซานกับเจียงฉีพยักหน้าด้วยความเคารพ แล้วเดินออกจากห้องอย่างค้างคาใจ หลังออกจากห้อง ก็ทำตามคำสั่งของหลินอิ่ง เริ่มโทรศัพท์ไปจัดเตรียมกองกำลังหลังจากที่ทั้งคู่ออกไป
หลินอิ่งก็ยกชาขึ้นมาดื่ม แววตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารที่มากล้น
เรื่องที่ฉีโม่ถูกจับตัวไป มันทำให้เขาโกรธแล้ว
เขาแค่กำลังพยายามควบคุมอารมณ์ ทำให้ตัวเองใจเย็นลง
เพราะว่า คู่ต่อสู้นั้นเป็นถึงท่านมังกรดำที่เป็นตัวตนระดับกลุ่มคนที่ซ่อนเร้นเลย ถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ก็ไม่สามารถชนะศึกนี้ไปได้ และช่วยฉีโม่ไม่ได้ด้วย
การต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งที่อย่างน้อยก็ใกล้เคียงกับรายการแห่งฟ้า แล้วยังต้องช่วยฉีโม่กลับมาอย่างปลอดภัยอีก
สำหรับหลินอิ่งแล้ว ถือเป็นแบบทดสอบที่ใหญ่หลวงมากๆ
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาออกมาจากเขา มาเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเป็นครั้งแรก
เขามีแค่ตัวคนเดียว สามารถต่อกรกับท่านมังกรดำกับลูกสมุนที่แข็งแกร่งของท่านมังกรดำอย่างองครักษ์มังกรดำได้
โดยเฉพาะสถานการณ์ที่อีกฝ่ายมีตัวประกันอยู่ในมือ ถ้าต้องการผ่านพ้นมันไป ก็จำเป็นต้องจัดการทุกอย่างด้วยความใจเย็น
เรื่องเดียวที่หลินอิ่งกังวลก็คือจะสามารถรับประกันความปลอดภัยของฉีโม่ได้รึเปล่า
ส่วนเรื่องท่านมังกรดำกับพวกหัวกะทิองครักษ์มังกรดำนั้น หลินอิ่งก็ไม่ได้กังวลเลย ถึงแม้ตอนนี้จะอยู่ในระยะวัฏจักรก็ตาม แต่ขีดจำกัดของเขาก็ยังสามารถระเบิดความแข็งแกร่งระดับสุดยอดออกมาได้
เขามีความมั่นใจแบบนั้น มั่นใจว่าสามารถจัดการกับท่านมังกรดำได้ อย่างมากขั้นตอนมันก็จะยากเอามากๆ
ในการคาดการณ์ของหลินอิ่ง ความสามารถของเจ้ามังกรดำนั้น น่าจะอยู่ระดับสูงสุดของรายการแห่งฟ้า
เนื่องจาก อาจารย์กู้ต้าที่เป็นประมุขคนปัจจุบันของแก๊งมังกร ยังคงสามารถกำราบรายการแห่งฟ้าลงได้ และเป็นเทียนหวางเพียงหนึ่งเดียวในแวดวงลึกลับ
ส่วนท่านมังกรดำก็เป็นจอมทัพที่อยู่ใต้บัญชาเขา ฝีมือก็น่าจะด้อยกว่านิดหน่อย อาจอยู่ระดับกลางค่อนไปทางสูงของรายการแห่งฟ้า
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง
“เข้ามา” หลินอิ่งพูดออกมาช้าๆ
จากด้านนอก ได้มีชายชราคนหนึ่งที่ใส่ชุดกี่เพ้าสีขาวเดินเข้ามา อายุราวๆ ห้าหกสิบปี เวลาที่เดินก็ดูห้าวหาญและหนักแน่น ท่าทางน่าเกรงขาม
ถึงแม้ผู้มาเยือนจะดูชรา แต่สายตากลับดูแหลมคมมากเป็นพิเศษ
“กู่ชางไห่แห่งตระกูลนิ่ง คารวะผู้อาวุโส”
กู่ชางไห่โค้งคำนับด้วยความเคารพ จากนั้นก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเรียกข้าน้อยมาที่อำเภอเจียงเยว่อย่างเร่งรีบนั้น มีอะไรให้รับใช้เหรอครับ?”
หลินอิ่งมองไปยังกู่ชางไห่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย แล้วสังเกตเขาอย่างลึกซึ้งไปรอบหนึ่ง
กู่ชางไห่ คือยอดฝีมือเพียงคนเดียวที่ตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงมอบหมายให้ประจำการอยู่ที่มณฑลตุงไห่
และขอบเขตอำนาจที่หลินอิ่งมีในตอนนี้ ก็สามารถสั่งการคนที่แข็งแกร่งที่สุดในมณฑลตุงไห่ได้
คนคนนี้ เป็นหนึ่งในยอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้โบราณของตระกูลนิ่ง เพียงแต่เขาไม่ค่อยได้เข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพมากนัก
ครั้งนี้ที่เชิญคนคนนี้มา จุดประสงค์ก็เพื่อให้เขาช่วยจัดการธุระสำคัญให้ตนเรื่องหนึ่ง
ถึงแม้การไปที่ภูเขาเจียงเยว่คนเดียวนั้น หลินอิ่งจะมั่นใจว่าสามารถรับมือกับท่านมังกรดำได้
แต่เรื่องที่ต้องไปช่วยฉีโม่ ก็ยังต้องให้ยอดฝีมือสักคนมาช่วยอยู่ดี ต่อให้ตัวเองจะสู้เก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางที่จะแยกร่างได้
ที่สำคัญ ตราบใดที่ฉีโม่ยังตกอยู่ในเงื้อมมือของท่านมังกรดำ เขาเองก็ไม่สามารถลงมือได้เต็มที่ เพราะเขามีเรื่องที่ต้องคอยกังวลอยู่
มันจึงต้องหาใครสักคนมาจัดการเรื่องนี้
“กู่ชางไห่ ผมต้องการให้คุณไปช่วยคนหนึ่งคน” หลินอิ่งสั่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง “คุณต้องปะทะกับยอดฝีมือรายการแห่งดินที่บาดเจ็บสาหัสหนึ่งคนหรืออาจจะหลายคน รวมถึงผู้ใช้ศิลปะการต่อสู้โบราณหัวกะทิอีกหลายคน”
“คุณมีความมั่นใจแค่ไหน?”
พอได้ยินอย่างนั้น กู่ชางไห่ก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ผู้อาวุโส ถ้าเป็นยอดฝีมือรายการแห่งดิน ที่เจ็บหนัก ข้าน้อยก็มีความมั่นใจอย่างมากที่จะช่วยคนออกมาได้ครับ”
ระหว่างที่พูด ร่างกายของกู่ชางไห่ก็กระตุกทีหนึ่ง แล้วได้มีแรงดันอากาศแผ่ซ่านออกมาจากทั่วร่างของเขา ทำให้ชุดกี่เพ้าของเขาพองขึ้นมาจากแรงลม
หลินอิ่งเหลือบมองเขาทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาว่า “เยี่ยมมาก”
จากที่เขาพิจารณาลมปราณก็พบว่า กู่ชางไห่นั้นได้ก้าวสู่ขั้นเริ่มต้นของรายการแห่งดินแล้ว ถ้าเทียบกับเย่เฮยก็น่าจะห่างกันขั้นหนึ่ง แต่ก็สามารถรับมือกับพวกองครักษ์มังกรดำได้แล้ว
แผนการของหลินอิ่งนั้นค่อนข้างเรียบง่าย
อาศัยความได้เปรียบทำให้ลูกสมุนของท่านมังกรดำให้บาดเจ็บ แล้วใช้กำลังรั้งตัวท่านมังกรไว้ ให้กู่ชางไห่เข้าจากอีกทาง อาศัยช่วงชุลมุนช่วยตัวประกัน แล้วคอยปกป้องฉีโม่เอาไว้
“ระหว่างทาง ผมจะบอกรายละเอียดกับคุณอีกที ทุกอย่างต้องทำตามแผนที่ผมวางไว้” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ครับ! ผู้อาวุโส ข้าน้อยจะทำตามแผนที่ผู้อาวุโสวางไว้ทุกอย่างครับ” กู่ชางไห่พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
เขารู้ดีว่าหลินอิ่งนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน และยังรู้อีกว่าอัตราการชนะนักของหลินอิ่งในตี้จิงนั้นสูงส่งแค่ไหน กับคำพูดของผู้อาวุโสที่อายุน้อยคนนี้ เขานั้นก็เชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยเลย
ระหว่างที่พูด หลินอิ่งก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินออกจากห้องไป
ส่วนกู่ชางไห่ก็ได้เดินตามหลังไปติดๆ
ไม่นานฮาเดสก็ได้ไปเอารถมาคันหนึ่ง หลินอิ่งได้เข้าไปนั่งตรงเบาะหลัง รถวิ่งเข้าไปในถนนที่แสนคึกคัก วิ่งตรงไปยังภูเขาเจียงเยว่
กู่ชางไห่ก็นั่งอยู่ตรงเบาะหลังเหมือนกัน และค่อยๆ พูดคุยกับหลินอิ่งเกี่ยวกับแผนการที่วางไว้
ในตอนนี้ ภายใต้แสงจันทร์บางๆ ที่สาดส่อง ภูเขาเจียงเยว่ที่อยู่ห่างไกลออกไป ได้ปลดปล่อยบรรยากาศที่น่าขนลุกออกมา………