ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 660 มาโดยไม่ได้รับเชิญ
หลินอิ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงของโรงพยาบาล มีผ้าพันแผลทั่วร่างกาย และมีสายห้อยระโยงระยาง แสดงให้เห็นว่าอาการบาดเจ็บของเขานั้นร้ายแรงเป็นอย่างมาก
มีเพียงใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะนอนหลับตาอยู่บนเตียง แต่ยังเปล่งรัศมีความน่าเกรงขามที่ทำให้คนไม่กล้าเข้าใกล้
จางฉีโม่รู้สึกกังวล ดวงตาของเธอดูซับซ้อน เธอมองไปที่หลินอิ่งอย่างเงียบ ๆ ครุ่นคิดอยู่ในใจมากมาย
ที่หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ก็เพราะไปช่วยเธอ
ตอนนี้สิ่งที่เธอคิดคือสวดมนต์อ้อนวอนให้หลินอิ่ง และหวังว่าหลินอิ่งจะตื่นขึ้นมาโดยเร็วที่สุด
ตามที่แพทย์กล่าว
อาการบาดเจ็บของหลินอิ่งแปลกมาก อวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หากเป็นคนธรรมดาคงตายไปนานแล้ว
แต่หลินอิ่งมีจังหวะการเต้นของหัวใจแสดงให้เห็นถึงการมีชีวิต เพียงแต่เขายังไม่ได้สติฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่สามารถที่จะค้นหาสาเหตุของอาการบาดเจ็บและการหมดสติของหลินอิ่งได้
แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะกลายเป็นเจ้าชายนิทรา และชีวิตที่เหลืออาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงตลอดไป
ตอนนี้หลินอิ่งนอนรักษาอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อการสังเกตอาการ
“คุณจาง รบกวนคุณออกไปก่อน พวกเราจะเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนยา และทำการตรวจร่างกายสามีของคุณ”
ขณะนี้ แพทย์วัยกลางคนในชุดขาวเดินเข้ามาพร้อมกับพยาบาลสองคนที่ถือถาดยา และกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ค่ะ ได้ค่ะ” จางฉีโม่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ไม่อยากรบกวนแพทย์ที่จะทำการรักษาหลินอิ่ง
“คุณหมอหลิว ตอนนี้อาการของหลินอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง? ร่างกายของเขาดีขึ้นหลังจากการผ่าตัดหรือไม่” จางฉีโม่ถามด้วยความเป็นห่วง
คุณหมอหลิวขมวดคิ้วและกล่าวอย่างครุ่นคิด “คุณจาง คุณถามคำถามนี้มาหลายครั้งแล้ว”
“ฉันสามารถเข้าใจความรู้สึกของคนในครอบครัวผู้ป่วยอย่างเช่นคุณ แต่ฉันยังต้องบอกคุณอย่างตรงไปตรงมาเพื่อที่คุณจะได้เตรียมใจ”
“อาการบาดเจ็บของนายหลินอิ่งนั้นรุนแรงมาก และสภาพร่างกายของเขานั้นซับซ้อนมาก ไม่สามารถทำการวินิจฉัยสาเหตุเฉพาะได้ และด้วยระดับฝีมือของหมอในโรงพยาบาลประจำอำเภอของเรา ไม่มีทางที่จะรักษาให้เขาฟื้นขึ้นได้”
“สิ่งเดียวที่พวกเราสามารถทำได้คือ รักษาชีวิตของคุณหลินอิ่งเอาไว้”
“คุณจาง ฉันยังแนะนำให้คุณติดต่อโรงพยาบาลใหญ่ในต่างจังหวัดและเมืองต่าง ๆ เพื่อดูว่าสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของคุณหลินอิ่งได้หรือไม่”
คุณหมอหลิวกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ได้ค่ะ ขอบคุณ คุณหมอหลิว” จางฉีโม่พยักหน้า
หลังจากนั้น คุณหมอหลิวก็เดินเข้าไปหาผู้ป่วย แล้วปิดผ้าม่าน และเริ่มช่วยหลินอิ่งเปลี่ยนยา เปลี่ยนเสื้อผ้าและตรวจสอบจังหวะการเต้นของหัวใจ
จางฉีโม่เหลือบมองหลินอิ่งแวบหนึ่ง ดวงตาของเธอแดงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยแล้วเดินไปตรงทางเดิน
หลังจากที่หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ
สมองของเธอก็ว่างเปล่า และเธอตกอยู่ในภวังค์เป็นเวลาหลายวัน
ในความรู้สึกของเธอนั้น หลินอิ่งเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ สุขุมนิ่ง และดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่สามารถทำให้เขาพ่ายแพ้ได้ และสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้
เป็นเพราะเธอที่ทำให้เขานอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล และเขาอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต
จางฉีโม่คิดถึงเรื่องนี้ทีไร เธอจะตำหนิตนเองและรู้สึกผิด
“ฉีโม่ อาการของหลินอิ่งเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขณะนี้ จางซิ่วเฟิงซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงริมทางเดินได้ถามขึ้น
“ใช่ ฉีโม่ เกิดอะไรขึ้นหรือ? ช่วงนี้ลูกหายไปไหนมา หลินอิ่งมาที่อำเภอเจียงเยว่ตั้งแต่เมื่อใด เขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ได้อย่างไร” ลู่หย่าฮุ่ยที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัย
ลู่หย่าฮุ่ยและสามีของเธอยังไม่เข้าใจสถานการณ์
คืนนั้นหลังจากที่พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากหลินอิ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกแปลกใจ และพวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินว่าหลินอิ่งกลับมาที่อำเภอเจียงเยว่
อย่างไรเสีย ฉีโม่ลูกสาวของตนเองอยู่ที่นี่ หลินอิ่งไม่สามารถทนเห็นลูกสาวของตนเองถูกรังแกได้อย่างแน่นอน
ลู่หย่าฮุ่ยยังจินตนาการว่า เมื่อหลินอิ่งมาอำเภอเจียงเยว่แล้ว จะรับครอบครัวพวกเขากลับไปใช้ชีวิตเสพสุขในตี้จิง
แต่เธอไม่คาดคิดว่า สถานการณ์จะกลายเป็นเช่นนี้?
หลินอิ่งเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลในอำเภอ ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสและหมดสติ?
ช่วงหลายวันนี้ลูกสาวของตนเองหายตัวไป มันเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
“ลูกอย่าโศกเศร้ามากนัก ช่วงหลายวันที่ผ่านมามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? แม่รู้สึกว่าร่างกายลูกทรุดโทรมไปมาก?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม
“หลินอิ่งเป็นคนที่มีเส้นสายอยู่ในเมืองชิงหยูน และมีผู้คุ้มกันคอยติดตาม แล้วทำไมเขาถึงถูกคนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ และรับการรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลด้วยอาการโคม่าได้อย่างไร” จางซิ่วเฟิงถามด้วยความสงสัย
จางฉีโม่อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากตรงไหน
เรื่องที่เกิดขึ้นในภูเขาเจียงเยว่ ได้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติต่อโลกของเธอไปแล้ว
มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
ไม่เพียงแต่ความโหดเหี้ยมชั่วร้ายของกลุ่มเหวินเทียนเฟิ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวที่คนเหล่านั้นแสดงออกมา
แค่คนธรรมดาประสบกับเรื่องราวนั้น ก็รู้สึกตกใจกลัวจนหัวใจแทบวาย
จางฉีโม่ต้องการเล่าเรื่องทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง แต่เธอกลัวว่าพ่อแม่จะไม่เข้าใจ
นอกจากนี้ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับความลับของหลินอิ่งด้วย
แม้แต่ชายชราที่แซ่กู่ก็กล่าว ขอให้คุณนายหลิน อย่าเปิดเผยเรื่องของคุณหลินให้คนภายนอกรู้ เพื่อไม่ให้เกิดความหายนะ
โดยเฉพาะขณะที่หลินยังไม่ได้สติ จะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
“ไม่มีเรื่องอะไรคะ หลินอิ่งมีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น หลังจากนั้นก็เกิดปัญหา…….มันจึงกลายเป็นเช่นนี้” จางฉีโม่นึกข้อแก้ตัวและกล่าวอย่างคลุมเครือ
“มีเรื่องขัดแย้งกับคนอื่น? เขาเป็นคนที่ไหน? แจ้งตำรวจหรือยัง?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม
“เรื่องนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องกังวล คนของหลินอิ่งกำลังจัดการเรื่องนี้อยู่…..” จางฉีโม่กล่าว
“อ้อ คนของหลินอิ่งสามารถจัดการกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยพยักหน้าเล็กน้อย
หลังจากได้เห็นพลังอำนาจของหลินอิ่งด้วยตนเองแล้ว ลู่หย่าฮุ่ยก็ไม่กล้าที่จะใช้ทัศนคติก่อนหน้านั้นมองหลินอิ่งอีก
เพราะอย่างไรเสีย ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ชอบหลินอิ่ง แต่เธอก็ต้องอาศัยความมั่งคั่งของหลินอิ่ง
“เมื่อสักครู่ พ่อได้ยินคุณหมอบอกว่า หลินอิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เป็นเช่นนั้นหรือเปล่า?” จางซิ่วเฟิงถาม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จางฉีโม่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ค่ะ คุณหมอกล่าวเช่นนั้น…….. ”
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าหลินอิ่งจะสามารถตื่นได้ไหม” ลู่หย่าฮุ่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย ลูกช่างโชคร้ายจริง ๆ เมื่อก่อนแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่ง และต้องใช้ชีวิตที่ทุกข์ทรมานหลายปี”
“มันไม่ง่ายเลยที่หลินอิ่งจะโชคดี กลับไปสู่ครอบครัวที่ร่ำรวย แต่สุดท้ายก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา เฮ้อ….”
ลู่หย่าฮุ่ยถอนหายใจ ซึ่งดูเหมือนกำลังเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
“ฉีโม่ ถ้าคนในครอบครัวของหลินอิ่งตามมา ลูกต้องทำตัวดี ๆ เพราะไม่ว่าจะยังไง ตระกูลหลินนั้นก็มีทรัพย์สมบัติเป็นมากมาย ขอแค่ลูกทำให้ครอบครัวพวกเขาพอใจ ชีวิตที่เหลือของครอบครัวพวกเราก็มีหลักประกันแล้ว……”
ลู่หย่าฮุ่ยยังคงคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรต่อ
“คุณแม่ จนถึงขณะนี้แล้ว แม่ก็อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทองพวกนั้นอีกได้ไหม?” จางฉีโม่กล่าวด้วยความโกรธเล็กน้อย
“หย่าฮุ่ย ซิ่วเฟิง พวกคุณอยู่ที่นี่เอง”
ขณะนี้ เสียงหยอกเย้าของผู้หญิงคนหนึ่งดังจากทางเดิน
ครอบครัวลู่ฉ่ายเชียมาแล้ว เธอซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องของลู่หย่าฮุ่ย
ถือตะกร้าผลไม้อยู่ในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความที่เย้ยหยันและรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของคนอื่น