ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 667 หลินอิ่งฟื้นแล้ว
โรงพยาบาลที่หนึ่งอำเภอในมณฑลเจียงเยว่
บนชั้นแปด ในห้องพักผู้ป่วยของหลินอิ่ง
จางฉีโม่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย เอนหลังพิงเก้าอี้ หลับตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าง่วงจนหลับไปแล้ว
เธอนอนเฝ้าอยู่ข้างเตียงหลินอิ่งทุกวัน และหลายวันมานี้เธอรู้สึกทรมานมาก และรู้สึกไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก
ความทรมานของจางฉีโม่นั้นไม่สามารถจินตนาการได้
ถ้าหลินอิ่งไม่สามารถฟื้น และกลายเป็นเจ้าชายนิทราจริง ๆ แล้วเธอจะเผชิญชีวิตในอนาคตอย่างไร
เธอต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ จางฉีโม่คิดมาก คิดจนรู้สึกสับสน ทำให้ร่างกายของเธอซุบผอมลงไปมาก
ในเวลานี้ แพทย์ชายวัยกลางคนใส่เสื้อคลุมสีขาวเคาะประตูแล้วเดินเข้ามา เขาเหลือบมองจางฉีโม่ที่กำลังหลับ และไม่ได้รบกวนการพักผ่อนของเธอ
เขาวางเครื่องมือและขวดยาลง เตรียมที่จะเปลี่ยนยาให้หลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย
เมื่อเห็นฉากนี้ คุณหมอหลิวถอนหายใจด้วยความประทับใจ
เขาสามารถเห็นความรักลึกซึ้งที่คุณจางมีต่อหลินอิ่งสามีของเธอ
เป็นที่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของหลินอิ่งนั้นยากต่อการรักษาฟื้นฟูด้วยเทคโนโลยีที่สมัยนี้
“อืม?”
คุณหมอหลิวกำลังถือขวดยาอยู่ ขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนขวด
ทันใดนั้น เขาก็แสดงท่าทางประหลาดใจและตกใจเป็นอย่างมาก
เพราะว่าหลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียง ขณะนี้นิ้วของเขาก็ขยับขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นี่ นี่มัน…….”
คุณหมอหลิวสูดลมหายใจ และแสดงท่าทางที่ไม่อยากจะเชื่อ
ซึ่งมันขัดกับความรู้ทางการแพทย์ทั่วไป เขาเป็นแพทย์มาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
อาการบาดของหลินอิ่งนั้นสาหัสมาก ตามปกติแล้วยังไม่สามารถเคลื่อนไหวด้วยตนเองได้
หลินอิ่งที่นอนอยู่บนเตียงค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มีแสงที่น่าเกรงขามประกายอยู่ในดวงตาของเขา
“ที่นี่คือที่ไหน?”
มีความสงสัยเล็กน้อยอยู่ในดวงตาของหลินอิ่ง และเขามองไปสภาพแวดล้อมโดยรอบ
เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย
ในความทรงจำของเขา หลังจากที่ฆ่าท่านมังกรดำแล้ว เขาก็กอดฉีโม่……
สภาพแวดล้อมตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นโรงพยาบาล?
ตนเองหมดสติไปนานแค่ไหน?
หลินอิ่งขยับไหล่ มือและเท้า รู้สึกว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่กล้ามเนื้อแข็งเล็กน้อย ซึ่งส่งผลต่อการเคลื่อนไหว
อย่างไรก็ตาม กำลังภายในเส้นลมปราณในร่างกายดูเหมือนจะอยู่ในสภาวะนิ่ง ทำให้ตอนนี้ยังไม่สามารถใช้กำลังภายในได้
“หลังจากการต่อสู้คราวนี้ ระยะวัฏจักรยิ่งทำให้ร้ายแรงขึ้นไปอีก……” หลินอิ่งกล่าวพึมพำกับตนเอง
หลินอิ่งรู้สึกว่า ถึงแม้อาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่ในร่างกายของเขาจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ทำให้ร่างกายของเขาอ่อนแอลงไปอีก
ก่อนที่จะต่อสู้กับท่านมังกรดำ ยังสามารถระเบิดความแข็งแกร่งของการต่อสู้ได้
ตอนนี้เขาไม่สามารถใช้กำลังภายในได้ระยะหนึ่ง ทำให้เขากลับไปเป็นเหมือนช่วงเวลาที่อยู่เมืองชิงหยูน และไม่ต่างจากคนปกติทั่วไป
ทำให้สีหน้าของหลินอิ่งกลายเป็นเคร่งขรึม
โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติ แต่ไม่สามารถใช้พลังได้นั้นถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเขา
ในช่วงเวลาของระยะวัฏจักรนี้ บางทีเขาอาจต้องปรับแผนกลยุทธ์ใหม่ และอาจจะซ่อนเร้นความสามารถ
หลังจากตัดสินใจ หลินอิ่งมองไปด้านข้าง เห็นฉีโม่นอนพิงอยู่บนเตียง เขาอดไม่ได้จนเกิดรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก
เขาเอื้อมมือไปดึงเข็มออก แล้วค่อย ๆ ถอดอุปกรณ์ทางการแพทย์ออกจากร่างกาย จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ และลงจากเตียงผู้ป่วย
“คุณหลิน คุณ คุณ?”
คุณหมอหลิวมองหลินอิ่งที่ยืนขึ้น ตกตะลึงพร้อมกับประหลาดใจ
“คุณเพิ่งฟื้น อาการบาดเจ็บของคุณยังไม่หาย คุณอย่าเพิ่งเคลื่อนไหว!” คุณหมอหลิวเดินเข้าไปหยุดเขาไว้ เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับหลินอิ่ง
หลินอิ่งยิ้ม แล้วทำสัญญาณมือ เพื่อบอกให้คุณหมอหลิวพูดเสียงเบา ๆ
หลังจากคุณหมอหลิวมองตามหลินอิ่ง เห็นจางฉีโม่งกำลังนอนหลับสนิทอยู่ด้านหนึ่ง ทำให้คุณหมอหลิวเข้าใจทันที
เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ วินาทีแรกที่คุณหลินฟื้น คนที่เขาห่วงใยคือคุณนายหลิน
“คุณหมอ ตอนนี้อาการของผมไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว” หลินอิ่งกล่าวเบา ๆ “ช่วงนี้ทำให้คุณหมอต้องลำบากในการดูแลผม อีกสักครู่ผมจะไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล”
คุณหมอหลิวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่หลินอิ่งที่เหมือนร่างกายจะหายเป็นปกติแล้ว พยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นผมก็ไม่รบกวนคุณหลินแล้ว หากคุณมีปัญหาอะไร สามารถกดกริ่งเรียกได้ทันที อีกสักครู่ผมจะให้คุณไปตรวจร่างกายแบบครบวงจร”
“อืม” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย
คุณหมอหลิวเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ยังคงตกใจกับการฟื้นของหลินอิ่ง เพราะมันล้มล้างความรู้ทางการแพทย์ของตนเอง
หลินอิ่งค่อย ๆ เดินไปอยู่ข้างฉีโม่ และมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ที่มุมปาก เขามองเธออย่างเงียบ ๆ
เขาสามารถเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาที่ตนเองนอนไม่ได้สติ ฉีโม่จะต้องวิตกกังวลแน่นอน และใบหน้าของเธอก็ซุบผอมไปไม่น้อย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลินอิ่งก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาและลูบใบหน้าของจางฉีโม่
ดูเหมือนว่าจางฉีโม่จะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง และลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง
เมื่อเธอลืมตาขึ้นแล้วเห็นหลินอิ่ง ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“หลินอิ่ง คุณ คุณฟื้นแล้วหรือ? ฉัน ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?” จางฉีโม่ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หลินอิ่งยิ้มแล้วใช้มือบีบหน้าของฉีโม่เล็กน้อย และกล่าวว่า “นี่ยังไม่สามารถปลุกคุณได้หรือ คุณยังคิดว่ากำลังฝันอยู่อีกไหม?”
“คุณทำอะไร?”
จางฉีโม่ฮึ่มประโยคหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ทันใดนั้นเธอก็เดินไปกอดหลินอิ่ง กอดแน่นราวกับว่าไม่เต็มใจที่จะปล่อย
จางฉีโม่กอดหลินอิ่งโดยไม่พูดอะไร ในใจของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย
เบ้าตานั้นเต็มไปด้วยน้ำตา
ความกังวลของจางฉีโม่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เธอรู้สึกว่าสวรรค์คุ้มครอง ทำให้หลินอิ่งฟื้น และเขาปรากฏตัวต่อหน้าเธอในสภาพเดิม
หลินอิ่งก็ไม่ได้พูดอะไร และกอดเธออย่างเงียบ ๆ
“หลินอิ่ง ในช่วงสองสามวันมานี้ฉันกลัวมาก ฉันกลัวจริง ๆ…” จางฉีโม่กล่าวด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
หลินอิ่งหรี่ตาลงและกล่าวว่า “ผมไม่ดีเอง ผมจะไม่ทำให้คุณเป็นห่วงเช่นนี้อีกแล้ว”
“ไม่ ฉันไม่ดี คุณอย่าบอกว่าตนเองไม่ดี” จางฉีโม่โน้มศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของหลินอิ่งและกล่าวด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิด “ฉันจะไม่สงสัยคุณโดยไม่มีเหตุผลอีก คราวที่แล้วที่ฉันไม่อยากสนใจคุณ นั้นเป็นเพราะฉันคิดผิด……”
“แต่ฉันกังวลว่าคุณจะทิ้งฉันไป ไม่รู้ว่าคุณยังแคร์ฉันอยู่หรือเปล่า ดังนั้นฉันจึงทำเช่นนั้น……”
จางฉีโม่กล่าวเบา ๆ และยิ่งเธอพูดมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งกอดหลินอิ่งแน่นขึ้นมากเท่านั้น
หลินอิ่งหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ฉีโม่ คุณวางใจเถอะ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ คุณไม่ต้องคิดฟุ้งซ่านอีก”
“อืม….” จางฉีโม่พยักหน้าอย่างเชื่อฟังและเอนศีรษะของเธอลงบนไหล่ของหลินอิ่ง
หลังจากหยุดไปชั่วคราว จางฉีโม่มองไปที่หลินอิ่งอย่างกังวลและกล่าวว่า “หมอบอกว่าอาการบาดเจ็บของคุณรุนแรงมากและกระดูกของคุณหักมากมาย ตอนนี้ร่างกายของคุณยังเจ็บปวดอยู่อีกไหม จะมีอันตรายภายหลังอีกหรือไม่?”
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล” หลินอิ่งกล่าว
“ฉีโม่ คุณรู้ว่าผมไม่ใช่คนธรรมดา”