ซุปเปอร์เจ้าสำราญ - บทที่ 68 แอบสุ่มมอง
บทที่ 68 แอบสุ่มมอง
รุ่งเช้าวันต่อมา
หลังจากที่หลินอิ่งออกจากวิลล่าหิมะก็โบกเรียกรถแท็กซี่คันหนึ่งไปทำงานที่บริษัทเป่าติ่งตามปกติ
ยี่สิบนาทีต่อมาก็มาถึงบริษัทเป่าติ่ง
อู่เจิ้งได้จอดรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยูสีส้มคันนั้นริมถนนแล้ว และตอนนี้กำลังรอหลินอิ่งอยู่
“ประธานหลิน คุณมาแล้วหรอ ผู้อำนวยการจางเข้าไปทำงานแล้วครับ” อู่เจิ้งโบกมือทักทาย แล้วรีบเดินมาเปิดประตูรถยนต์
หลินอิ่งนั่งลงที่เบาะหลังของรถยนต์
“ประธานหลิน ทำไมวันนี้คุณถึงไม่มาพร้อมกับผู้อำนวยการจางล่ะครับ เมื่อกี้ผมเห็นสีหน้าของผู้อำนวยการจางไม่ค่อยดีเลยครับ” อู้เจิ้งพูดขึ้น
“ฉันขอบอกเรื่องบางอย่างกับนาย” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น “ฉันไม่สามารถเข้างานเลิกงานในช่วงนี้กับผู้อำนวยการจางได้ ดังนั้นนายต้องช่วยปกป้องผู้อำนวยการจางอย่างดี หากมีอะไรผิดปกติรีบแจ้งฉันโดยด่วนเลยนะ”
“วางใจเถอะครับ! ประธานหลิน ผมจะปกป้องผู้อำนวยการจางอย่างไม่ตกบกพร่องเลยครับ” อู่เจิ้งพูดสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อตัวเองไม่ได้อยู่เคียงข้างฉีโม่ อู่เจิ้งถือเป็นตัวเลือกแรก ถึงแม้เขาจะดูเสเพลไปหน่อย แต่ก็ทำงานใช้ได้เลย
“จริงสิ ประธานหลินครับ วันนี้ผมได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาตรงหน้าประตูบริษัทด้วยครับ แม้แต่พนักงานรักษาความปลอดภัยเองก็พูดถึงเรื่องคุณด้วย” อู่เจิ้งขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “ผมต่อยสั่งสอนหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยให้กับคุณด้วย”
“พูดเรื่องฉันหรอ?” หลินอิ่งซักถามขึ้น
อู่เจิ้งลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า : “ไม่รู้ว่าพวกเขาทราบข่าวมาจากไหน พวกเขาคุยกันว่า ประธานหลินถูกพ่อตาแม่ยายไล่ออกจากบ้าน และยังบอกว่าในตอนนี้ตระกูลจางต้องการกำจัดคุณด้วย อีกอย่างยังพูดอีกว่า คุณชายตระกูลหวางตามจีบผมผู้อำนวยการจาง และไม่นานผู้อำนวยการจางจะได้แต่งงานกับตระกูลใหญ่ ส่วนคุณต้องได้รับบทเรียนจากคุณชายหวางด้วย”
หลินอิ่งยังคงเผยสีหน้าปกติเหมือนเดิม ดูเหมือนข่าวนี้แพร่กระจายเร็วมาก ต้องเป็นเพราะแม่ของฉีโม่ที่ไปพูดระบายกับป้าสองแน่เลย
“ประธานหลินครับ ตระกูลจางคงไม่ใช่พวกคนใจแคบขนาดนี้ และกล้าไล่คุณออกจากบ้านใช่ไหมครับ?” อู่เจิ้งซักถามอย่างสงสัยขึ้น
หลินอิ่งยิ้มแย้ม “คุณไม่ต้องไปสนใจข่าวพวกนั้นหรอก ตั้งใจทำงานก็พอแล้ว”
“ครับ เข้าใจแล้วครับ” อู่เจิ้งพูดขึ้น
หลินอิ่งเปิดประตูรถยนต์ แล้วเดินเข้าไปในบริษัทเป่าติ่ง
อู่เจิ้งหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ พร้อมจ้องมองหลินอิ่งที่เดินจากไปด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ
เขาไม่เข้าใจ คนประเภทประธานหลินที่ทั้งฉลาดและซื่อสัตย์ยังสามารถหาได้ที่ไหนอีก? แต่ตระกูลจางกลับต้องการขับไล่ออกไปหรอ? ไม่กลัวว่าตระกูลจะพังพินาศหรอ?
ส่วนคุณชายหวางคนนั้นไม่รู้ว่าเอาความกล้าหาญบ้าบิ่นมาจากไหน บังอาจมากกล้าคิดต่อกรกับประธานหลิน แม้ว่าไม่เคยได้ยินเรื่องของเขามาก่อน แต่ความสามารถของประธานหลิน เขาเคยเห็นมากับตาของตัวเองแล้ว ซึ่งเขารู้สึกเคารพนับถือมาก
หลัวจากหลินอิ่งเข้าบริษัท เขาแทบไม่สังเกตเห็นว่า บริเวณหนึ่งเมตรมีรถยนต์ยี่ห้อลัมโบว์กีนีสีฟ้าคันหนึ่งจอดอยู่ ข้างในรถมีหนุ่มสามแต่งตัวไม่ธรรมดากำลังแอบสุ่มมองเขาอยู่
“พี่กวาง หลินอิ่งคนนั้นมาทำงานที่บริษัทแล้ว พวกเราขับรถไปจอด และเตรียมเข้าไปกันไหม แล้วทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าทุกคนในบริษัทใช่ไหม” ฉินเฟยพูดขึ้น โดยที่นั่งเบาะคนขับ
“ใช่ รองผู้จัดการกระจอกคนหนึ่ง แค่คุณชายหวางออกหน้าก็เขาก็ไม่มีที่ทรุดแผ่นดินแล้ว ฉันจะคอยดูสิในอนาคตเขาจะหางานในเมืองชิงหยูนที่ไหน และบริษัทยังกล้ารับเขาไหม?” อูฉู่เวินนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น
“ฮ่า ฉันอดทนมาทั้งคืนแล้ว เดียวตอนไปหาเขา ฉันจะฉวยโอกาสต่อยเขาสักสองที!” เสิ่นห้าวพูดชึ้นน้ำเสียงเย็นชาขึ้น
“รีบร้อนอะไรกัน ค่อยๆเล่นสนุกกับไอ้ขยะนั้นหน่อย” หวางจื่อเหวินพูดด้วยท่าทางผ่อนคลาย “บังอาจกล้าต่อกรกับฉัน ฉันได้ติดต่อกับคนของตระกูลจางแล้ว ทางตระกูลจางมีใครบ้างกล้าไม่เห็นหัวของฉัน!”
“ได้ยินป้าสองบอกฉันว่า เมื่อคืนไอ้ขยะนี้ถูกไล่ออกจากบ้านด้วย” หวางจื่อเหวินพูดต่อว่า “แล้วพวกเธอคิดว่า หากฉันตามจีบจางฉีโม่ตอนนี้จะมีอุปสรรค์อะไรไหม?”
“ไม่แน่นอนอยู่แล้ว พี่หวางเก่งอยู่แล้ว ตอนนี้ไอ้ขยะหลินอิ่งไม่สามารถกลับบ้านได้แล้ว ไม่นานคงไม่มีงานทำด้วยแน่ เช่นนั้นจางฉีดโม่ยังจะคิดเสียหายอีกไหม?” ฉินเฟยยิ้มและพูดขึ้น และมีไม่กี่คนพูดสบันสนุนหวางจื่อเหวินขึ้น
หวางจื่อเหวินเผยสีหน้าสะใจขึ้น พร้อมมองดูเวลาลนนาฬิกา “ขับรถตรงไป ใกล้ถึงเวลาแล้ว รอเพียงโทรศัพท์จากจางหงจูนเท่านั้น หากทางนั้นเตรียมการเรียบร้อย ฉันก็จะเข้าไปสั่งสอนไอ้ขยะหลินอิ่งนั้นทันที!”
ขณะที่พูดรถยนต์ยี่ห้อลัมโบว์กินีก็ขับรถตรงไปที่บริษัทเป่าติ่ง
แต่คนของหวางจื่อเหวินกลับไม่เห็นว่า ภายในห้องนิทรรศการชั้นที่ยี่สิบกว่านั้นมีคนกำลังสุ่มมองดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาผ่านกระจกอยู่
ตึกขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างหนึ่งร้อยเมตรชั้นยี่สิบสามนั้น เป็นห้องนิทรรศการที่ถูกซื้อ และมีชายสวมชุดสีดำสองคนกำลังดูพวกเขาด้วยกล้องส่องทางไกลด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่
“คุณหนูครับ รถของหวางจื่อเหวินมาแล้วครับ ดูเหมือนพวกเขาต้องมาสร้างความวุ่นวายต่อหลินอิ่งครับ” ไอ้หก วางกล้องส่องทางไกลในมือลง แล้วหันหลังรายงานขึ้น
หวางหงหลิงเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อย เธอสวมเดรสยาวสีแดงที่หรูหรา และนั่งไขว้ข้างบนเก้าอี้ด้วยท่าทางน่าเกรงขาม โดยที่ด้านข้างมีหูหมิงหยินยืนอยู่ ส่วน ไอ้หก กับ ไอ้เจ็ด กำลังรายงานสถานการณ์อยู่เบื้องหน้า
“คุณหนูครับ คุณบอกว่าครั้งนี้จะมาช่วยหลินอิ่ง แล้วพวกเราสองคนต้องไปปรากฏตัวออกหน้าช่วยเขาใช่ไหมครับ?” ไอ้หก ซักถามด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่ต้องไปอีก” หวางหงหลิงพูดขึ้น พร้อมเผยรอยยิ้มมุมปากเล็กน้อยขึ้น “หวางจื่อเหวินกับจางหงจูนของตระกูลจางคงปรึกษาหากันเรียบร้อยแล้ว คงคิดอยากทำให้หลินอิ่งขายหน้าที่บริษัทแน่”
“ฉันค่อนข้างเข้าใจพฤติกรรมอันเลวทรามของลูกพี่ลูกน้องน่าโง่ฉันดี หลังจากที่พวกเขากลั่นแกล้งหลินอิ่งที่บริษัทเสร็จ ก็ยังคงคิดหาวิธีการเล่นงานเขาอีกแน่ ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยปรากฏตัว และไล่หวางจื่อเหวินไป”
“หืม! ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตายคนนั้นคงคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากแน่เลย” หวางหงหลิงแค่นเสียงประชดขึ้น “รอให้เขาถูกกลั่นแกล้งเสร็จก่อน แล้วรู้ว่าตัวเองอ่อนด้อยแค่ไหน ฉันค่อยออกหน้าช่วยแมลงที่น่าสงสาร!”
“แบบนั้นเขาถึงจะซาบซึ้งในน้ำใจ และเชื่อฟัง แล้วช่วยฉันจัดการงาน” ขณะที่หวางหงหลิงพูดก็เผยสีหน้าพึงพอใจขึ้น พร้อมท่าทางมั่นใจขึ้น
เธอนึกถึงตอนที่หลินอิ่งตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด แล้วตัวเองปรากฏตัวขึ้น จากนั้นเขาก็ร้องไห้ขอบคุณตัวเองด้วยความซาบซึ้งใจ
เมื่อนึกถึงสถานการณ์นี้ หวางหงหลิงก็อดใจหัวเราะออกมาไม่ได้
“อืม….คุณหนูครับ เกรงว่าคงอาจจะไม่เป็นอย่างที่คุณหนูจินตนาการก็ได้ครับ ผมรู้สึกว่าหลินอิ่งไม่ใช่คนธรรมดาครับ” ไอ้หก พูดด้วยสีหน้าลังเลขึ้น และพูดทำลายจินตนาการที่กวางหงหลิงจินตนาการด้วย ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคุณหนูเป็นอะไรไป? ทำไมถึงสูญเสียความเป็นตัวเองแบบนี้….
มือของหลินอิ่งสามารถวางบนตัวของตัวเองและ ไอ้เจ็ด อย่างง่ายดายได้แบบนี้ คงไม่ง่ายดายอย่างที่จินตนาการแน่