ซ่อนรักเคียงบัลลังก์ - ตอนที่ 110-2 ความรักที่ไม่รู้ประสา
ปิ่นที่ปักอยู่บนวิกผมของแทจองบูอินพลิ้วไหวไปตามแรงลมจนเกิดเสียง แทมุนจังที่ยืนยกยิ้มมองแทจองมุนบูอินที่ถึงแม้จะอายุมากแล้วแต่ก็ยังคงงดงามอยู่ เอ่ยบางอย่างออกมาอย่างระมัดระวัง
“วันนี้จักรพรรดิองค์ก่อนเสด็จมาที่ท้องพระโรงด้วย”
เมื่อได้ฟังดังนั้นแทจองมุนบูอินก็สะดุ้งขึ้น แล้วนิ่งค้างไป
“พระองค์ตรัสว่าอยากจะพบภรรยาของข้าที่ได้รับการประทานบรรดาศักดิ์ แทจองมุนบูอินในรอบหลายสิบปี ตอบแทนคุณความความดีที่ได้ทำมา”
“พระองค์ทรงจำท่านได้หรือ” เสียงของแทจองมุนบูอินสั่นเครือ แทมุนจังทำเพียงพยักหน้า
“ค่ำแล้ว ข้าคงต้องกลับก่อน หากเวลาล่วงไปมากนักก็ไม่ต้องกังวล ข้าจะกลับไปก่อน”
“คงใช้เวลาไม่นานนัก”
“ต้องใช้เวลานานแน่” แทจังมุนรีบเอ่ยตอบคำของแทจองมุนบูอินในทันที สายตาของทั้งคู่ที่สบกันอยู่ครู่หนึ่งนั้น ไม่นานต่างก็ละออกไปมองคนละที่
“ข้ามีเรื่องจะสารภาพ”
“สามี” แม้แทจองมุนบูอินจะเอ่ยขัดแทมุนจัง ทว่าเขาก็ไม่ได้ยี่หระ ยังคงพูดต่อ
“ดอกไม้ที่ถูกเสียบไว้ที่หน้าต่างทุกวันในตอนนั้น ข้าไม่ได้เป็นคนเอาไปให้เจ้า”
ดวงตาของแทจองมุนบูอินสั่นไหว ขอบตาของนางเริ่มแดงขึ้น
“เหตุใด…” นางเอื้อมมือไปจับมือของแทมุนจังไว้แน่น “เหตุใดท่านถึงมาบอกข้า ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“…เจ้ารู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ”
“ในตอนนั้นข้ายังไม่รู้ มารู้เอาตอนหลัง…” แทจองมุนบูอินกัดริมฝีปากตัวเองครั้งหนึ่ง ก่อนจะเบี่ยงสายตาหนี แล้วพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ดอกไม้นั้นท่านจะไม่ได้เป็นคนให้ ข้าก็ไม่สน เพราะทุกครั้งที่ข้าเห็นมัน คนที่ข้านึกถึงคือท่าน คนที่ข้าจับมือคือท่าน ไม่ใช่ใครอื่น” นางยืนกรานหนักแน่น
“จงรออยู่ที่นี่ เดี๋ยวพระองค์ก็คงจะเสด็จมา”
“ข้าไม่อยากรอ”
“เกรงว่าคงจะไม่ทันเสียแล้ว”
แทมุนจังมองข้ามไหล่แทจองมุนบูอินไป แล้วหันหน้าหนีอย่างเศร้าสร้อย แทจองมุนบูอินตัวแข็งทื่อ นางละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหลังไปมอง ชองฮยอลเจ จักรพรรดิองค์ก่อนได้มาถึงแล้ว แทมุนจังน้อมตัวลงทำความเคารพชองฮยอลเจแล้วเดินออกจากสวนไป
สวนหลังวังฝ่ายนอกนั้นไม่ค่อยมีผู้คนแวะเวียนมา ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีผู้ใดมาคอยสอดส่องนัก ในสวนที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ขณะนี้มีเพียงชองฮยอลเจกับแทจองมุนบูอินที่ยืนเผชิญหน้ากันอยู่ หลังจากที่นางเห็นเขา นางก็ไม่อาจหายใจได้อย่างสะดวกเลย ชองฮยอลเจที่ก้มศีรษะให้แทจองมุนบูอินเล็กน้อย ค่อยๆ เดินเข้าไปหานาง ใบหน้าของเขายังคงขาวผ่อง และเย็นชาเหมือนเดิม ดวงตาประกายสีครามคู่นั้นยังคงฉายแววเปล่งประกาย แม้อายุจะมากขึ้นแล้ว
“เป็นเรื่องน่ายินดีนักที่มีผู้ได้บรรดาศักดิ์แทจองมุนบูอินในรอบหลายสิบปี” ชองฮยอลเจเป็นคนเริ่มพูด
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเพคะ” แทจองมุนบูอินที่ตัวแข็งค้างอยู่ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ แล้วก้มศีรษะลง แล้วก็นิ่งค้างไว้อย่างนั้น
“ท่านมีบุตรกี่คนกันหรือ”
“มีบุตรสาวคนโตหนึ่งคน บุตรชายที่ทำงานอยู่ฝ่ายพลเรือนหนึ่งคน และบุตรสาวคนเล็กอีกหนึ่งคนเพคะ”
“ชายหนึ่ง หญิงสองอย่างนั้นหรือ”
แทจองมุนบูอินที่เอ่ยตอบออกไปอย่างยากลำบากด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือค่อยๆ พยักหน้ารับ ชองฮยอลเจที่ยืนลูบเคราตัวอยู่นั้น อยู่ๆ ก็พูดขึ้นราวกับนึกสิ่งใดออก
“เหมือนว่าจะมีบุตรชายอีกคนไม่ใช่หรือ บุตรชายผู้ที่อยู่ในที่ที่สูงส่งในแผ่นดินมกกุกแห่งนี้”
แทจองมุนบูอินที่ก้มหัวค้างไว้ พลันเงยหน้าขึ้นมาสบตากับชองฮยอลเจทันที สายตาของชองฮยอลเจนั้นยังคงเย็นชาดังเดิม กลับกันดวงตาของแทจองมุนบูอินนั้นร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ และผู้ที่ทำลายความเงียบระหว่างคนสองคนที่ยืนจ้องหน้ากันอยู่นั้นก็คือ ชองฮยอลเจ
“ครั้งที่เราได้ยินว่าผู้ที่คอยช่วยเหลือดงยองเจมีสกุลว่า ยู เราก็เพียงแค่ฟังผ่านๆ ไป”
แทจองมุนบูอินสะดุ้งตัว ทว่านางก็ไม่อาจละสายตาไปจากชองฮยอลเจได้
“และครั้งที่เราได้ยินว่าอาจารย์ที่รับหน้าที่สอนสตรีฝ่ายในคือมุนจังบูอิน ผู้เป็นภรรยาของเขา และมีสกุลว่า ฮวา เราก็เพียงแค่ฟังผ่านๆ ไปเช่นกัน ครั้งที่ได้ยินว่ามีขุนนางฝ่ายพลเรือนที่อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ได้ทำให้ตระกูลของตนที่ไร้ชื่อเสียงเป็นตระกูลที่มีอิทธิพลขึ้น ทั้งยังได้เป็นแทมุนจังอีกด้วย และครั้งที่เราได้ยินว่าภรรยาของเขานั้นมีฝีมือในด้านการเขียนจึงทำให้เป็นที่เลื่องลือจนได้เข้ามาในพระราชวัง เราก็ไม่ได้คิดอันใด จนกระทั่งเราได้รู้ว่าชื่อของแทมุนจังนั้นคือ อึลจิน จากสกุล ยู และภรรยาของเขานั้นชื่อ อูรึม จากสกุล ฮวา”
แทมุนจัง ยูอึลจิน แทจองมุนบูอิน ฮวาอูรึม ทั้งคู่คือฮวางเซจา รูแฮ และพระชายาฮวางแทจา กโยซึลที่หายตัวไป แม้ว่าจะผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ทว่าแทจองมุนบูอิน ไม่สิ อูรึมนั้น นอกจากใบหน้าที่มีรอยเหี่ยวย่น นางไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย ยังคงมีใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และงดงามเช่นเคย อีกทั้งยังคงมีน้ำตามากมายนัก หยดน้ำที่คลอหน่วยขึ้นมา ในที่สุดก็ไหลรินลงมาจนเกิดเสียง และฝ่ามือใหญ่ของชองฮยอลเจก็เอื้อมไปเช็ดมันออก มือของเขายังคงอบอุ่นเช่นเคย
“ครั้งแรกที่ข้าได้พบเจ้า เจ้านั้นยังเยาว์นัก”
“เพราะหม่อมฉันอยู่ในวัยที่ยังไม่รู้ความ”
เขาส่ายหน้าให้กับน้ำเสียงปนสะอื้นนั่น
“ไม่ใช่ ข้าพบกับเจ้าก่อนหน้านั้นอีก แม้เจ้าจะจำไม่ได้ ทว่าข้านั้นไม่เคยลืม”
ตาของอูรึมเบิกโตขึ้นดั่งในตอนนั้น เคยพบกันมาก่อนหน้านั้นอย่างนั้นหรือ อูรึมไม่มีความทรงจำว่าเคยพบกับเขามาก่อนพิธีอภิเษกเลย
“เจ้านั้นยังเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่อายุได้เพียงสิบสามปี และเราทั้งคู่ต่างก็ไม่รู้สถานะของกันและกัน ใช่แล้ว เจ้านั้นยังเด็กมาก เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงได้ไม่รู้ถึงความรู้สึกของข้า”
“…สิบสามปีอย่างนั้นหรือเพคะ”
“เจ้าที่ใส่เสื้อตัวนอกสีครามที่เก่าคร่ำครึดั่งเช่นนางในคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาเราพร้อมกับรอยยิ้มที่เปรียบดั่งบุปผา เจ้าทำให้คนที่เย็นชาไร้ความรู้สึกอย่างข้ามองเพียงแต่เจ้า หลังจากนั้นเจ้าก็ร้องไห้ แล้วจากไป และเมื่อเวลาผ่านไปเจ็ดปี เจ้าก็ลืมข้า และมอบใจให้ชายอื่นไปเสียแล้ว”
เสียงที่ยานคางนั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกเย็นชาเลยแม้แต่นิด มันเป็นน้ำเสียงอบอุ่นที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน อดีตจักรพรรดิ ชองฮยอลเจ ไม่สิ บีพาอันที่ผมขาวโพลนเริ่มพูดถึงเรื่องราวทั้งหมดให้อูรึมฟัง ในที่สุดเขาก็สารภาพความรู้สึกอันแสนอบอุ่นและอ่อนโยนของตนออกมา
“ในครั้งแรกที่เราได้พบกัน ตัวข้าเองก็ยังเยาว์วัยเช่นเดียวกับเจ้า ข้าจึงไม่สามารถละทิ้งบ่วงคล้องคออย่างการที่ต้องเป็นจักรพรรดิให้ได้ออกไปได้ และข้าเองก็หวาดกลัวว่าจะทำให้เจ้าที่เกรงกลัวข้านักต้องเจ็บปวด จึงยิ่งไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ข้านั้นไม่อาจบอกความรู้สึกของตนออกไปได้ คิดเพียงว่าอยากจะทำให้คนที่ข้ารักมีความสุขเพียงเท่านั้น เจ้าจะอภัยให้ข้าที่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างเย็นชาในอดีตได้หรือไม่”
ท้ายที่สุดเสียงของบีพาอันก็สั่นเครือ อูรึมที่หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัวจ้องมองใบหน้าของบีพาอันอย่างสับสน แล้วนางก็ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเป็นครั้งแรก บีพาอันที่ใบหน้าเหี่ยวย่น เส้นผมขาวโพลน กำลังยกยิ้มอบอุ่นอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนให้อูรึม
“เจ้าจะยกโทษให้กับความรักที่ยังไม่ประสาของข้าได้หรือไม่”
บีพาอันเช็ดน้ำตาให้อูรึมทั้งที่ยังยกยิ้มอ่อนโยน ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงสีแดงย้อมไปทั่วฟ้าลับขอบฟ้าไป เงาดำของทั้งสองยืนอยู่อย่างนั้นโดยไร้คำพูดอยู่ภายในสวนหลังวังฝ่ายนอก
***
มันเป็นความรักในวัยเยาว์ เป็นความรักที่ยังไม่ประสีประสา
ความรักโง่เง่าเพราะยังเยาว์นั้น นานวันเข้ายิ่งเพิ่มพูนขึ้น แม้จะคิดถึง อยากพบหน้า และอยากโอบกอดเพียงใด เด็กผู้โง่เขลาก็ไม่อาจทำได้ คิดเพียงแต่ว่าตนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ อาจเพราะเหตุนี้จึงทำให้เจ็บปวด เพราะเหตุนี้จึงทำให้ต้องปล่อยไป
เด็กคนที่หนึ่ง
ที่ไม่อาจลืมคนที่ตนรัก ผู้ที่ซึ่งเข้ามาทลายน้ำแข็งที่แช่แข็งหัวใจตนเอาไว้ได้ แต่ถึงแม้เขาจะได้พบนางอีกครั้ง ก็ไม่อาจได้ทักทายกัน ทั้งยังเอาแต่จมอยู่กับความหวาดกลัว และไม่มั่นใจในตัวเอง จึงทำให้ต้องปล่อยนางไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้แม้แต่จะบอกความในใจของตน
เด็กคนที่สอง
เขาถูกดึงดูดตั้งแต่แรกพบด้วยกลิ่นของน้ำตา เขานั้นลืมสิ้นทุกสิ่ง ยึดมั่นเพียงแค่คนรักของตน จนกระทั่งทั้งได้ครองรักกัน ทว่าเขากลับต้องละทิ้งทุกอย่าง
เด็กคนที่สาม
เขาเกิดมาพร้อมกับความรัก และมักเอาแต่ร้องไห้ เขาถูกทำให้หวั่นไหว ไม่รู้ว่าควรต้องทำอย่างไร จนมองไม่เห็นถึงความรักที่ถูกปิดซ่อนเอาไว้ และโผเข้าหาคนรักที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทน
ความรักอันโง่เขลาของเด็กเหล่านี้ ทั้งอบอุ่น อ่อนโยน อ่อนหวาน ทว่าก็แสนเศร้า เสียใจ และเจ็บปวด
มันเป็นความรักที่ยังไม่รู้ประสา
<จบ>