ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes - ตอนที่ 124
เชนไตร่ตรองว่าจะเริ่มต้นอย่างไร แต่เขาต้องการให้มันเรียบง่ายดังนั้นเขาจึงตอบอย่างตรงไปตรงมา
“เจ้าอยากรู้ใช่ไหมว่าข้าต้องการอะไร ง่ายมากๆ ข้าต้องการเจ้า !! แต่ไม่ใช่ต้องการร่างกายหรืออะไรแบบนั้นนะ แต่มันมากกว่านั้น นั้นก็คือพรสวรรค์รวมถึงดวงตามานาของเจ้า ลักษณะพิเศษและการปลุกวิญญาณที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร
แต่อยากที่เจ้ารู้ข้านั้นห่างไกลจากการเป็นชาวสะมาเรีย และเจ้าจะเปลี่ยนไปเมื่อเจ้ารู้ว่าโลกแห่งความจริงนั้นเป็นอย่างไร
ในตอนนี้เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะรู้ และการพาเจ้าไปที่ฝูงกองทัพของก็อบบลินเพื่อที่เจ้าจะได้เห็นความโหดร้ายของทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งมนุษย์และสัตว์ร้าย และข้าคิดว่านี้เป็นการประสบความสำเร็จบางส่วน เจ้าไม่คิดอย่างนั้นรึ
ข้าตั้งใจที่จะวางแผนเพื่อให้เจ้ารู้สึกติดหนี้บุญคุณข้า แต่เจ้าก็คิดออกแล้ว แต่แน่นอนว่าการที่เจ้าได้พบกับแบล็คออริจิ้นเฟลมนั้นไม่ได้ถูกวางไว้ในแผนของข้า
และสุดท้าย เจ้านั้นโชคดีมากที่ได้พบกับออริจิ้นเฟลม และข้าก็อิจฉาเจ้ามากที่เจ้าได้พบมัน และเจ้าคงรู้ว่าข้านั้นโลภ และมันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ดังนั้นข้าจึงไม่มีอะไรต้องละอาย
หากไม่มีทรัพยากรมากพอเจ้าจะไม่สามารถอยู่รอดได้นานพอในอาร์กอสหรือแม้แต่ในเมืองอันตรายบางแห่ง ความอ่อนแอจะทำให้เจ้าลำบากในอนาคต “
เชนพูดจบและมองเจสัน รอคำถาม แต่ความคำตอบของเชนทำให้เจสันยิ่งมีคำถามมากขึ้น
“ทำไมคุณถึงต้องการผม พลังวิญญาณของผมนั้นอ่อนแอมาก และต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าที่ผมจะสามารถทำพันธะกับสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษได้ และไม่ต้องพูดสัตว์ร้ายที่ระดับสูงกว่านั้นเลย”
เจสันกล่าวและโกหกเกี่ยวกับพลังวิญญาณ ในความจริงเจสันไม่ต้องใช้เวลานานขนาดในเพื่อที่จะให้มีพลังวิญญาณเพียงพอในการทำพันธะกับสัตว์วิเศษ เพราะพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของเจสัน และเขาจะใช้เวลาไม่นานนัก
นอกจากนี้ด้วยพลังวิญญาณที่มากขึ้นและการฝึกฝนแต่ละครั้งด้วยเทคนิค แฮฟเวนเฮล เจสันจะสามารถเพิ่มพลังวิญญาณของเขาได้แบบทวีคูณ
และนอกเหนือจากอัตราการเพิ่มพลังวิญญาณที่ยอดเยี่ยมแล้ว เจสันยังมั่นใจถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของอาร์เทมิส
“ผมได้สังเกตเห็นความโหดร้ายของมนุษย์แล้ว และพวกเราก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกสัตว์ร้าย และที่สำคัญออริจิ้นเฟลมคืออะไรกัน และเห็นได้ชัดว่าผมได้ผูกพันธะเข้ากับมันแล้ว”
เจสันตระหนักถึงความโหดร้ายของโลกใบนี้และความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ที่จะแข็งแกร่งขึ้น ด้วยความคิดนี้เจสันนึกถึงออริจิ้นเฟลมที่เขาไม่รู้จัก
“ก่อนที่ข้าจะอธิบายว่าทำไมข้าถึงต้องการเจ้า มันจะดีกว่าถ้าข้าจะบอกเรื่องของออริจิ้นเฟลม แต่ก่อนหน้านั้นข้ารู้เรื่องการปลุกวิญญาณของเจ้า เจ้าไม่ต้องมาบอกข้า
พลังวิญญาณของเจ้านั้นอ่อนแอก็จริง แต่อย่างน้อยเจ้าก็มีพลังวิญญาณ 10 หน่วยและมันก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยนกฮูกเกล็ดหิมะที่ได้กลายพันธุ์ เจ้าก็จะได้รับสัตว์ระดับสัตว์วิเศษภายใน 1 ปี
และข้ายังสามารถสอนให้เจ้าในการฝึกทักษะแอฟเว่นเฮลด้วยด้ายวิญญาณ 5 เส้น มันจะเพิ่มพลังวิญญาณให้กับเจ้าวันลถึง 1.5 % ในแต่ละวัน เพื่อที่จะเพิ่มพลังวิญญาณให้แก่เจ้า”
เชนกล่าวอย่างภูมิใจ เป็นเรื่องยากสำหรับเด็กที่จะสามารถบรรลุการพันเกลียว5เกลียวด้วยด้ายวิญญาณหลังจากที่ได้ปลุกวิญญาณมาเพียงไม่กี่เดือน
“ขอบคุณที่เป็นห่วงเรื่องพลังวิญญาณของผม แต่ผมสามารถฝึกเกลียวพลังวิญญาณ 5 เส้น ได้ด้วยตัวของผมเองแล้ว โดยที่ไม่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคุณ และตอนนี้พลังวิญญาณผมก็เพิ่มขึ้นวันละ 2.5% ด้วยความสามารถของผมเอง”
เจสันไม่มีอะไรต้องโกหก เพราะยังไงเชนก็จะได้รู้เรื่องนี้ไม่ช้าก้เร็ว จึงไม่มีอะไรต้องปิดบัง
“ฮ่าๆ เห็นไหมตอนนี้เจ้าเพิ่มได้แค่ 2.5 % ต่อวัน ….. ห๊ะอะไรนะ”
เชนคิดว่าเขานั้นได้ยินผิดเพราะก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเจสันนั้นเพิ่มพลังวิญญาณได้เพียงวันบะ 0.5% ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติของการฝึกเทคนิคแฮฟเว่นเฮลขั้นสอง
ดวงตาของดาเลียเป็นประกายและสามารถมองเห็นความสุขในดวงตาของเธอ นั่นเป็นเพราะเหตุผล 2 ประการ ซึ่งมันเป็นเวลานานมากแล้วที่เธอไม่ได้เห็นเชนร้องเสียงหลงแบบนี้และท่าทีที่สับสนของเขา และความสำเร็จของเจสันที่ทำได้โดยไม่ได้รับความช่วยจากใครซึ่งมันเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจ
‘บางทีเขาอาจจะเป็นสมบัติที่เราตามหาจริงๆ’ เธอคิดแล้วยิ้มในใจ
เจสันสัมผัสถึงร้อยยิ้มที่ผุดขึ้นมาในใจเขา และเขาไม่สามารถที่จะหันไปมองทางขวาได้ เพราะเขาจะรู้สึกอึดอัดใจเมื่อได้เห็นดาเลียยิ้มให้
เชนใช้เวลาสักครูในการรวบรวมความคิดก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มขรึมเล็กน้อย
“งั้นลืมสิ่งที่ข้าพูดเกี่ยวกับพลังวิญญาณของเจ้าไป โอเคข้าจะบอกต่อ เกี่ยวกับออริจิ้นเฟลม เพราะอะไรมันถึงพิเศษ อย่างที่เจ้าอาจจะสังเกตเห็น ออริจินเฟลม เชื่อต่มกับจิตวิญญาณของเจ้าเหมือนกับสัตว์พันธะตัวอื่นๆ ที่เจ้าได้สร้างสายใยวิญญาณ แต่พวกสัมพันธ์นั้นจะแตกต่างกันเล็กน้อย
สัตว์ร้ายนั้นให้มอบความแข็งแกร่งทางกายภาพ และความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์ร้ายและผู้ผูกพันธะ แถมยังสามารถเรียกออกมาเพื่อช่วยในการต่อสู้ได้อีกด้วย
ซึ่งออริจินนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะเมื่อพวกมันถูกปลุก มันจะทำการชำระล้างผู้ผูกพันธะซึ่งจะชำระเอาสิ่งสกปรกจำนวนมากออกไปซึ่งผู้ผูกพันธะจะได้รับความสามารถในการรวบรวมมานา การกลั่น และดูดซับ เนื่องจากสิ่งสกปรกได้ออกไปแล้ว จึงไม่มีอุปสรรคใดที่มากั้นในการดูดซับมานา และเจ้าจะเพิ่มระดับแกนมานาได้อยากรวดเร็วมากๆ
นอกจากนี้ หลังจากการชำระล้างเสร็จในตอนแรกมันจะช่วยเพิ่มขนาดของแกนมานาและเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้า
นอกเหนือจากนั้น เจ้าจะดูดีขึ้นมากและการบวนการการชราภาพของเจ้าก็จะลดต่ำลงอย่างมากเนื่องจากสิ่งสกปรกภายในตัวถูกกำจัดออก ทำให้โอกาสที่จะใช้มานาในการฟื้นฟูเซลล์นั้นง่ายขึ้นอยากมาก
และเจ้าจะได้รับความพลังจากออริจินเฟลม ซึ่งมันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าความสามารถจากเปลวไฟส่วนใหญ่จากสัตว์ร้าย
ข้อเสียของออริจินเฟลมนั้นมีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ออริจินเฟลมนั้นใช้จุดสำหรับสัตว์วิญญาณ ซึ่งมีมนุษย์น้อยคนนักที่จะได้พบ และพวกเขานั้นสามารถที่จะขายออริจินเฟลมที่ยังไมไ่ด้ถูกปลุกด้วยราคาที่คิดไม่ถึง เพราะคุรสมบัติแห่งการชำระล้างนั้นมีค่ามากเกินกว่าจะตีราคาได้
อย่างที่สอง มันเป็นทั้งข้อเสียและข้อดีรวมกัน เพราะเจ้าจะต้องหล่อเลี้ยงออริเจนเฟลมด้วยพลังวิญญาณโดยเจ้าจะต้องหลอมรวมเข้ากับมันมากขึ้น ตอนนี้ออริจินเฟลมของเจ้าไม่ควรใหญ่ขนาดนั้น ในขณะที่พลังวิญญาณที่มันต้องาการนั้นน้อยกว่า 1 หน่วย มันจะเพิ่มขนาดและแข็งแกร่งขึ้นตามพลังวิญญาณที่มันได้หลอมรวมเข้า
เมื่อออริจินเฟลมถึงขีดจำกัด มันจะพัฒนาขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น และเจ้าจะได้รับการชำระล้างอีกครั้ง มันจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกที่หลงเหลือและเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเจ้าอีกครั้ง
ออริจินเฟลมนั้นมีระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับ E ถึงระดับ S
ตอนนี้เปลวไฟของเจ้ายังไม่มีระดับและหลังจากที่มันพัฒนาในครั้งแรกจะเรียกว่าระดับ 1 มีออริจินเฟลมหลายสิบชนิด ซึ่งที่พบบ่อยที่สุดก็จะเป็นสีแดงทั่วไป ซึ่งจะบ่งบอกว่าอยู่ในระดับ E การชำระล้าง และเสริมความแข็งแกร่งนั้นไม่ได้ยอดเยี่ยมแต่มันก็หาได้ยากและมีค่ามาก
ออริจินเฟลมที่มีระดับจะให้การชำระล้างมากกว่าและมีคุณภาพที่สูงขึ้นมากในทุกด้าน ”
เชนพูดจบและให้โอกาสดาเลียได้พูดอะไรบางอย่าง และพยายามที่จะปลอมเพราะคิดว่าเจสันนั้นถูกเผาทั้งเป็นในตอนที่ถูกชำระ
“เจสัน เจ้าไม่ต้องกลัวเรื่องการถูกชำระ เพราะมันจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจ้าต้องการให้เปลวไฟนั้นวิวัฒนาการขึ้นเท่านั้น
หากการชำระล้างครั้งแรกนั้นน่ากลัวเกิดไปสำหรับเจ้า เจ้าสามารถที่จะทิ้งออริจินเฟลมได้ แต่จำควรจำไว้ว่าการที่ได้รับมันมานั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากออริจินเฟลมจะพบได้เฉพาะในภูเขาไฟที่มีความเข้มข้นสูงมากที่สุดเท่านั้นและที่นี่นต้องีจำนวนมานาที่หนาแน่นอยากมาก ซึ่งจะพบได้ในรอยแยกพิเศษและในทวีปหลัก
เป็นเรื่องยากมากที่เปลวเพลงจะสร้างความรู้สึกนึกคิดและสร้างคริสตัลรอบๆด้วยเพื่อทำให้ตัวมันมีสติและความคิดได้
หากปราศจากคริสตัลพวกมันจะถูกมานาและลาวาปกคลุม ซึ่งจะใช้เวลาอีกหลายปีนับไม่ถ้วนที่จะสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่”
เมื่อพูดจบก็มีเปลวไฟสีเงินปรากฏขึ้นบนมือของเธอ และลอยไปรอบๆ ราวกับว่ามันกำลังเล่นกับเธอและเจสันก็เปิดดวงตามานามองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
`สีเทาอ่อน?`
เจสันเห็นแสงที่เปล่งออกมาและสงสัยในความหมายว่ามันคืออะไร จิตใจของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
“เลดี้เบลล์…” เขาสัมผัสถึงแสงจ้าจากดาเลีย
“ดาเลีย เปลวไฟสีเงินนี้เป็นออริจินเฟลมใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นนั้นเป็นออริจินระดับ 2 ใช่ไหมครับ !”
เจสันถามหลังจากที่เห็น ทำให้ดาเลียประหลาดใจ
‘เขารู้ได้ยังไง’
ก่อนที่เธอจะพูดอะไร เจสันก็พูดต่อ
“สายตาของผมสุดยอดมาก ผมแค่เดาหน่ะ อย่าถือสากับความหยาบคายของผมเลยนะครับ ผมขอโทษ”
เจสันหันไปหาเชนและคงถามคำถามต่อ
“ถ้าผมปล่อยให้ออริจินเฟลมนั้นดูดซับพลังวิญญาณมากขึ้น มันจะเพิ่มพลังวิญญาณที่ใช้ร่วมกันในโลกวิญญาณของผมหรือเปล่า หรือพลังวิญญาณที่ถูกดูดซับไปมันจะหายไป นอกจากนี้ ออริจินเฟลมของผมอยู่ในระดับไหน มันเพิ่งถูกปลุก ? แต่ความแข็งแกร่งของแกนมานาของผมเพิ่มขึ้นตลอดในระหว่างการชำระ ผมรู้สึกเหมือนพลังของความสัมพันธ์กับเปลวไฟสีดำนั้นเมื่อเทียบกับสัตว์ร้ายธาตุไฟ มันก็อาจจะเทียบกับสัตว์ร้ายที่มีระดับสูงสุดที่มีธาตไฟ”
ก่อนหน้านี้ ทั้งเชนและดาเลียคิดว่าพวกเขาจะทำให้เจสันนั้นมึนงงกับข้อมูลต่างๆ แต่ดูเหมือนเจสันจะสามารถเข้าใจและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ข้อมูลที่เจสันให้มานั้นมันน่าตกใจมากกว่าข้อมูลของพวกเขา
ตาของเจสันสามารถตรวจพบเปลวไฟของดาเลียได้ และการชำระก็เพิ่มระดับแกนมานาของเจสันมากกว่าปกติ และยังเทียบได้กับสัตว์ธาตุไฟที่แข็งแกร่งที่หลังจากที่มันตื่นขึ้น …
นี้คงเป็นเป็นเราตลกที่ไม่ค่อยดี และเจสันมองเชนและดาเลียอย่างมีความหวัง ในขณะที่พวกเขานั้นไม่รู้จะคิดอย่างไรกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา