ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes - ตอนที่ 125
พวกเขาใช้เวลาครู่หนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะฟื้นความรู้สึกและเชนได้หัวเราะออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เก่งมาก เก่งจริงๆ ฮ่าๆ ฮ่า”
เชนหัวเราะเพียงครู่หนึ่งก่อนที่จะเขาจะสงบลง
ดาเลียได้สงบสติมากขึ้นและตอบคำถามของเจสัน
“พลังงานวิญญาณของเจ้าจะไม่ถูกใช้จนหมด เจ้าจะยังสามารถได้รับการขยายวิญญาณตามปกติ หากเจ้ามอบพลังวิญญาณ 100 หน่วย แก่ออริจินเฟลม พลังวิญญาณเจ้าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงและได้รับคืน 5 หน่วย”
สำหรับระดับของออริจินเฟลมของเจ้า ข้าเองพูดตามตรงก็ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราไม่รู้ว่ามันมาจากไหน ข้าคิดว่าเจ้าก็คงเห็นด้วยว่ามันไม่สมเหตุสมผลที่สมบัติดังกล่าวจะอยู่ในโรงตีเหล็กของราชาก็อบบลิน โดยไม่มีที่มาที่ไป
พวกทีพวกมันต้องการบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะใช้เปลวเพลิงสีดำนี้ และเป็นไปได้ว่าราชาก็อบบลินต้องการดูดซับเพื่อที่จะเพิ่มระดับของตัวมันเอง ซึ่งนั้นก็เป็นเหตุผลที่เป็นไปได้มากที่สุดเนื่องจากตัวมันเองก็มีธาตุไฟอยู่ในตัส
เราอยากรู้ด้วยว่าใครนั้นที่อยู่เบื้อองหลังเรื่องทั้งหมดนี้ เพราะการที่สนับสนุนราชาก็อบบลินในการทำลายล้างเกาะของมนุษย์นั้นไม่ได้มีปะโยชน์อะไร
หากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะสามารถแทรกซึมเข้าไปในอาณาเขตของพวกมนุษย์ได้โดยไม่ถูกตรวจจับ มันคงจะไม่ดี จะเป็นอันตรายต่อพวกเรา
ระดับออริจินของเจ้าก็เป็นที่ไม่แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาถึงกองของสิ่งสกปรกที่เจ้าได้ขับออกมาในระหว่างการชำระล้าง และการเพิ่มขนาดของแกนมานาและร่างกายแล้ว มันอาจจะมีระดับย่างน้อบก็ A และอาจจะจะเป็นระดับ S ได้ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะ เพราะฉันไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับออริจินเฟลมระดับ S
อาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้ติดต่อกับฝั่งคาเนียร์ในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา แต่นั้นเป็นเรื่องที่ต่างออกไป”
เจสันพยักหน้าและต้องการที่จะรู้ข้อมูลเพิ่มเติม โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับคาเนียร์และเรื่องราวของพวกเขา
“แล้ว คาเนียร์ละ ทำไมพวกคุณถึงต้องซ่อนตัวกันที่นี่ แล้วทำไมถึงไม่ติดต่อกับ”
ในขณะที่กำลังพูด เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยเชน
“หยุดก่อน ! ก่อนที่เจ้าจะถามคำถามต่อไป พวกเราควรบอกเรื่องราวของพวกเราก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าถามคำถาม บางอย่าง ตกลงไหม”
เขาพูดและเจสันพยักหน้าอย่างคาดหวัง
“ข้านจะสรุปสั้นๆ ให้ฟัง การอธิบายทุกอย่าง อย่างละเอียดมันอาจจะใช้เวลานานเกินไป”
เชนกล่าวก่อนที่จะเริ่มเล่า
“ข้าเกิดเมื่อ 250 ปีที่แล้ว ตอนที่มานาระบาดมาได้เพียง 50 ปี เท่านั้น ในขณะที่มนุษย์ชาติยังคงท่วมท้นไม่เพียงแค่เผ่าอัจฉริยะจากมิติต่างๆ เท่านั้น แต่ยังหมายถึงสัตว์ร้ายมากมายที่บุกรุกอาร์กอสด้วย
โชคดีที่ข้าเกิดในคาเนียร์และครอบครัวของข้าก็มีแห่งขุมพลังงานที่แข็งแกร่งกว่า 2-3 แห่ง มันปกป้องเราและหมู่บ้านโดยรอบ
หลายปีผ่านไป เหล่ามนุษย์ได้ปกครองดินแดนคาเนียร์ และข้าก็ได้เสริมกำลังตัวเองด้วยการดูดซับมานา ในขณะที่เติบโตขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนไปสำหรับเหล่ามนุษย์ และปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการมีอยู่ของลูกแก้วปลุกวิญญาณที่เจ้ารู้จักอยู่แล้ว และนั่นเป็นเพียงเพราะเราขโมยลูกแก้วเหล่านั้นจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่เราสามารถค้นพบได้
เรารู้ว่าเผ่าพันธุ์อัจฮริยะนั่นไม่ได้ใช้ลูกแก้วเหล่านี้ในการปลุกวิญญษณเพราะเราไม่เคยเห็นพวกมันใช้สายใยวิญญาณ แต่ลูกแก้วนี้อาจจะใช้สำหรับอย่างอื่นในกรณีของพวกมันตามสายพันธุ์
อย่างไรก็ตามนี้เป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น และยังไม่รู้ความจริง หลังจากการปลุกวิญญาณของฉัน พลังวิญญาณของข้านั้นถือว่าสูงมาก ทำให้คนในครอบครัวต่างสนับสนุนข้าทำให้ตัวข้านั้นแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว
การถูกมองว่าเป็นอัจฉริยะนั้นทำให้ข้ารู้สึกดีและหยิ่งผยองในช่วงเวลานั้น แต่นั้นก็เป็นช่วงที่ครอบครัวของข้าได้จัดตั้งกลุ่มเล็กๆ ขึ้นมา แต่มันก็ถูกทำลายโดยฝูงของสัตว์ร้ายระดับสูงที่มีสิ่งมีชีวิตระดับลอร์ดเป็นผู้นำ
ในช่วงเวลานั้น มนุษย์ที่มีระดับลอร์ดนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันและหากปราศจากความช่วยเหลือจากตระกูลอื่น ครอบครัวของข้าก็จะทำได้เพียงส่งข้าไป
โดยไม่ต้องพึ่งพาใครและความรู้สึกที่ถูกหักหลังจากครอบครัวใกล้ชิด ข้าฝึกฝนอย่างหนักเพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง
โดยที่ไม่สนใจใครเลย ข้ากลายเป็นคนที่ใจดำ ไม่สนใจใคร จนกระทั่งข้าได้พบดาเลียเมื่อ 150 ปีก่อน เธอพาข้ากลับสู่เส้นทางที่ถูกต้อง พวกเราตกหลุมรักกันและแต่งงานกันในอีกไม่กี่ปีต่อมา และต้องขอบคุณความแข็งแกร่งของข้า ข้าได้เป็นที่ยอมรับจากครอบครัวเธอ
ดาเลียมีร่างกายที่พิเศษและเธอไม่สามารถที่จะมีลูกได้ ซึ่งครอบครัวของเธอก็ดูถูกเธอลับหลัง พวกเขาไม่กล้าทำอย่างนั้นต่อหน้าของเธอ เพราะร่างกายที่พิเศษของเธอนั้นมีประโยชน์ต่อพวกเขา และความสามารถของเธอในการเล่นแร่แปร่ธาตุนั้นก็ทำให้ใครๆ ก็มองว่าเธอนั่นสมบูรณ์แบบถ้าหากตัดปัญหาเรื่องการมีลูกไม่ได้ของเธอทิ้ง
เมื่อไม่สามารถมีลูกได้ เหล่าผู้เฒ่าก็ไม่สนใจการมีอยู่ของเธอมากขึ้นและข้าคิดว่าประมาณ 70 ปีที่แล้ว เมื่อข้ากำลังทำภารกิจจากรัฐบาล ดาเลียได้ถูกลักพาตัวไปจากตระกูลซอร์ซึ่งพวกเขาอยู่เบื้องหลังจากที่ดาเลียมีร่างกายที่พิเศษ”
เชนหยุดเล่าเรื่องครู่หนึ่ง และมองไปที่ดาเลียก่อนที่เขาจะหันไปหาเจสันและกล่าวว่า
“ข้าจะให้ดาเลียเล่าเรื่องราวเกียวกับร่างกายที่พิเศษให้ฟังทีหลัง”
“กลับไปที่เรื่องราวของข้า เมื่อข้ากลับมาจากภารกิจ และไม่พบเธอและผู้และพระสังฆราชได้บอกข้าว่าเธอนั้นสมัครใจที่จะไปกับตระกูลซอร์ แต่ฉันนั้นรู้ดีและรู้ทันทีว่าเกิดบางอย่างผิดปกติ
เมื่อมาถึงคฤหาสน์ซอร์ ฉันพบว่าดาเลียถูกบังคับให้ให้ออกแรงเพื่อที่จะดึงพลังชีวิตของเธอ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ทำให้ข้านั้นโกรธเป็นอย่างมาก
สรุปสั้นๆ คือ ฉันได้ทำลายล้างตระกูลซอร์และพาดาเลียกลับ และพวกเราก็ถูกผู้เฒ่าโกรธและขับไล่พวกเรา ไม่นานนักข่าวนั้นก็แพร่กระจายและใครๆ ก็มองว่าเราเป็นปีศาจ และลือว่าพวกเราเป็นพันธมิตรกับเผ่าผันธุ์อัจฉริยะและมันก็แพร่กระจายออกไป
พวกเราหนีและเปลี่ยนรูปลักษณ์ในขณะที่ซ่อนตัวอยู่บนเกาะต่างๆ และเมื่อ 20 ปีที่แล้ว พวกเราตัดสินใจที่จะอยู่บนแอสทรกซ์ซึ่งเป็นที่ที่ยังไม่มีใครพบเราจนถึงตอนนี้”
เชนพูดจบและเจสันก็มองเชนอย่างสงสัยและการที่ทำลายล้างตระใหญ่เป็นสิ่งที่แน่นอนว่ามีเพียงแค่เหล่าหัวกะทิเท่านั้นทีจะทำได้ แต่มีบางอย่างทีเจสันนั้นไม่เข้า
“แล้วทำไมคุณถึงต้องการผม คุณต้องการให้ผมแข็งแกร่งกว่าคนพวกเหล่านั้น เพื่อที่จะได้ปลดปล่อยพวกคุณให้พวกคุณได้ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระอย่างงั้นหรอ และยิ่งไปกว่านั้นของร่างกายของคุณดาเลียนั้นพิเศษอย่างไร ผมเห็นแต่แสงสีขาวที่แผ่วเบาไปเปล่งประกายออกมา มันดูบริสุทธิ์แต่ผมก็ไม่เข้าใจ”
เจสันพบว่าข้อมูลที่เชนให้มานั้นมันยังมีส่วนที่ขาดหายไป และอาจจะมีบางสิ่งที่เขาไม่ต้องการที่จะพูดและจากการมองดูสิ่งต่างที่พวกเขานั้นไม่อยากทำในตอนแรก
ถึงอย่างนั้นร่างกายที่พิเศษของดาเลียก็ทำให้เจสันอยากรู้ และด้วยดวงตามานาของเจสัน ร่างกายของดาเลียไม่ได้มีอะไรพิเศษยกเว้นแสงสีขาว คราวนี้ดาเลียเริ่มพูด ในขณะที่เธอสนใจเจสันมากขึ้นกว่าเดิม
ดวงตาของเจสันนั้นมีค่าอย่างยิ่งและมันไม่ใช่ดวงตามานาธรรมดาที่จะมองเห็นได้
“ร่างของข้ามีความพิเศษเพราะบางอย่าง ที่พวกเราเรียกกันว่าผลการชำระล้าง และข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ว่าผู้สร้างสัตว์ร้ายคืออะไรใช่ไหน พวกเขาสามารถทำให้เกิดการวิวัฒนาการของสัตว์ร้ายได้ ตราบใดที่เส้นทางการวิวัฒนาการยังอยู่ในขอบเขตที่สามารถเป็นไปได้
บางทีเจ้าอาจจะได้เคยได้ยินทฤษฎีเกี่ยวกับการชำระล้าง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายได้อย่างมากจากการย่อยสมบัติเวทย์มนต์ ชำระร่างกายของสัตว์ร้ายจากสิ่งสกปรก ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นสาเหตุที่สามารถเพิ่มศักยภาพของพวกมันได้
สมบัติระดับสูงที่สามารถชำระล้างสิ่งสกปรกจากสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์นั้นหาได้ยากมาก และร่างกายของข้าก็เรยกได้ว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่า”
ดาเลียลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ ว่าไม่ค่อยมีใครรู้ความลับของเธอนัก
“ถ้าข้าปลดปล่อยร่างกายที่พิเศษนี้ มันจะสามารถชำระล้างสัตว์ร้ายและเพิ่มศักยภาพได้ในระดับหนึ่ง ในการแลกเปลี่ยน ข้าจะต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาลและมีราคาสูงกว่าสมบัติทั่วๆ ไม่อย่างนั้นข้าจะต้องใช้พลังชีวิตของตัวเอง
ด้วยพลังชีวิตของข้า ปีหนึ่งสามารถเปลี่ยนสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษให้สามารถพัฒนาไปถึงระดับผู้พิทักษ์ได้ ตระกูลซอร์ยังบังคับให้ข้านั้นชำระล้างสัตว์ร้ายระดับสัตว์วิเศษหลายตัว และหากพวกเขารู้ว่าร่างกายที่พิเศษของข้าทำงานอย่างไร ข้าคงตายไปแล้วหรืออ่อนแอมากจนขนาดไม่สามารถพูดคุยกับเจ้าได้
ข้าได้เพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายระดับผู้พิทักษ์ให้กลายเป็นสัตว์ระดับลอร์ดเพียงแค่ครั้งเดียว และมันใช้ทรัพยากรมากเกินไปและสมบัติเวทย์มนต์จะมีราคาที่ตกลง
แบบนั้นฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันจะต้องเสียเวลาอีกกี่ปีเพื่อที่จะเพิ่มศักยภาพของสัตว์ร้ายให้ได้ขนาดนี้…”
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างและตั้งคำถามกับตัวเองว่าร่างกายนั่นมีพลังอำนาจขนาดนี้เลยหรอ แต่คำพูดต่อมาของดาเลียทำให้เจสันนั้นตกใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“บางทีเจ้าอาาจะไม่เชื่อข้า แต่การปลุกวิญญาณของข้านั้นแย่มากและแย่ที่สุดในครอบครัว ข้าตื่นขึ้นพร้อมกับธาตุไฟและไม้ และมีพลังวิญญาณต่ำกว่า 3 หน่วย
และในตอนนี้ก็ยังไม่พบสัตว์ร้ายที่มีธาตุไม้ ชเ่น ทรีแอนท์หรือนางไม้ และด้วยพลังวิญญาณที่ต่ำของข้า ครอบครัวของข้าได้มอบทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของพวกเขาเพื่อที่จะได้รับออริจินเฟลมระดับ B
ร่างกายที่พิเศษอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ได้รับออริจินเฟลมเพื่อที่จะเพิ่มอายุขัย ซึ่งร่างกายของข้าสามารถเผาผลาญมันได้
หลายปีผ่านไปและข้าได้แต่งงานกับเชน แต่พวกเราก็ยังไม่พบต้นไม้ที่มีความรู้สึกแม้แต่ต้นเดียวหรือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายคลึงนี้ แต่เมื่อเชนกลับมาพร้อมสมบัติพิเศษที่น่าจะทำให้ป่านั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกจากมานา
ข้าใช้มันกับกิ่งก้านสองกิ่งแทนที่จะเป็นต้นไม้ต้นเดียวเพราะกลังวิญญาณของข้ายังน้อยมากและยิ่งไปกว่านั้นข้ายังสามารถสร้างสายใยวิญญาณได้เพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น
และเมื่อไม่มีความปราถนาที่จะต่อสู้ ข้าจึงได้สร้างพันธะที่เป็นไม้ 2 ตัว”
เมื่อกล่าวเธอก็เรียกนางไม้ระดับผู้พิทักษ์ 2 ตัว
“นี้คือสายใยวิญญาณทั้ง 2 ของข้า นอกจากทรัพยากรจำนวนมหาศาล ข้าจึงเพิ่มศักยภาพของพวกมันและพัฒนาพวกมันทั้งสองให้กลายเป็นนางไม้”
เจสันรู้สึกสับสนกับร่างกายที่พิเศษนี้ แต่ดูเหมือนมันก็อันตรายเช่นเดียวกัน
และเจสันไม่คิดที่จะต้องการร่างกายแบบนี้ เพราะเขาไม่คิดว่าดาเลียจะสามารถระงับร่างกายของเธอได้อย่างสมบูรณ์เพื่อป้องกันไม่ให้ใครพบโดยสัมผัสผ่านตัวเธอ
‘ก็ ไม่ใช่ว่าดวงตามานาของผมจะไม่ค่อยชัด’ เจสันครุ่นคิด และเชนก็ตัดสินใจนำการสนทนาอีกครั้ง
“พูดตามตรงนะ ข้าติดตามเจ้าตั้งแต่ที่เจ้าได้ปลุกวิญญาณแล้ว และข้าได้ตรวจสอบว่าเจ้านั้นเหมาะสมกับพวกเราหรือ
ไม่และมันก็เกินความคาดหมายของข้าและอาจจะรวมถึงดาเลียด้วย
พวกเราไม่ได้ต้องการให้เจ้าต่อสู้เพื่อพวกเราหรืออะไรแบบนั้น แต่สิ่งที่สำคัญนั่นคือสิ่งสำคัญที่มนุษย์จะได้เห็นแสงแห่งความหวัง
เจ้าอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงความสามารถ แต่การปลุกวิญญาณของเจ้าเพียงอย่างเดียวนั้นดีพอที่จะถือว่าเจ้านั้นเป็นคนพิเศษ
ข้าไม่รู้หรอกว่าจำนวนพันธะที่เจาจะสามารถทำได้นั้นมีจำนวนเท่าไหร่ และดเหมือนว่าพลังวิญญาณของเจ้าจเพิ่มขึ้นหลายเท่าในอีกม่กี่เดือนหรือเมื่อหลายปีผ่านไป
ข้ามั่นใจในความสามารถในการต่อสู้ของเจ้าแและข้อเท็จจริงเหล่านี้ ข้าคิดว่าเจ้าสามารถช่วยให้มนุษยชาติรวมกันเป็นหนึ่งเดียวหรืออย่างน้อยก็อาจจะสร้างแนวป้องกันสำหรับคาเนียร์
เจ้าอาจจะไม่รู้ถึงความอันตรายที่เหล่ามนุษย์จะต้องเผชิญในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่แม้กระทั่งก่อนที่พวกเราจะหนีจากคาเนียร์ สัตว์ร้ายก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บุกมาจากรอยแยกที่เกิดขึ้นในช่วงที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะเข้ามาในคาเนียร์
ในขณะที่ทุกคนเชื่อว่ามนุษย์นั้นรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวในสหพันธ์ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เจ้ารู้อยู่แล้วว่าหมนู่เกานะนั้นแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ครอบครัว องค์กร ในคาเนียร์ประเทศส่วนใหญ่ปกครองโดยกลุ่มและแทนที่จะต่อสู้กับภัยคุกคามที่พวกเราเผชิญ พวกเขากลับแย่งชิงกันเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินและทรัพยากรมากขึ้น
สิ่งนี้ทำได้โดยอุบาย เลห์กล แม้แต่การสู้แบบเปิดโล่ง และแม้ว่าประเทศจะถูกทำลายเนื่องจากการรุกรานของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ข้าก็สงสัยว่ากลุ่มอื่นก็อาจจะช่วยได้
พวกเขาอาจจะรอจนกว่าทุกคนจะอ่อนแอลงก่อนที่จะเริ่มการพิชิตและทำลายล้างเผ่าพันธุ์ต่างชาติ
เมื่อพิจารณาถึงศักยภาพที่คาดไม่ถึงของการปลุกจิตวิญญาณของเจ้า เราคิดว่าด้วยการสนับสนุนของเรา เจ้าจะสามารถเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างได้ และตามการวิจัยของเราเกี่ยวกับตัวเจ้า เราคิดว่าเจ้าต้องการเปลี่ยนสังคมนี้ได้ และมันจะช่วยคนที่อ่อนแอกว่าได้ก็ต่อเมื่อทุกคนทำงานร่วมกัน . “
เจสันมองเชนด้วยสีหน้าที่ซับซ้อน ก่อนที่เขาจะโพล่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
“เมาหรือเปล่าเนี่ย?!”