ดวงตาของเทพเจ้า God’s eyes - ตอนที่ 42
เจสันสับสนเล็กน้อย และรวบรวมความคิด สรุปได้ว่าเขาโดนทดสอบจากพ่อแม่ของเกร็ก
เกร็กยังคงมองไปรอบ ๆ อย่างไร้เดียงสาโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่ มาร์ค เฟลเลอร์ ยืนขึ้นและเดินไปที่กรงพร้อมกับพูด
“ ภรรยาของเรา ยอมรับคุณ พวกเราแค่อยากทดสอบทัศนคติของคุณเพราะมีความเป็นไปได้ที่คุณอาจจะพยายามหาประโยชน์จากเรานั้นสำคัญมาก เพราะเราไม่ต้องการให้ลูกชายของเราเจ็บปวด
พูดตามตรงเรายังไม่รู้เลยว่าคุณอยากเป็นเพื่อนกับเกร็กจริงๆ หรือเปล่า แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าคุณไม่ได้พูดโกหก เราหวังว่าคุณจะไม่รังเกียจที่ถูกกระทำเช่นนี้ เพราะมีเด็กบางคนที่มาเป้นเพื่อนกับเกร็กและมาเลียเพราะด้วยความมั่งคั่งของเรา ทั้งเกร็กและมาเลียมีการปลุกจิตวิญญาณที่ยอดเยี่ยม
แม้แต่ขุนนางชั้นสูงและทายาทตระกูลใหญ่ก็พยายามมาตีสนิทกับพวกเรา พวกเราจึงไม่เคยได้รับความจริงใจจากใครเลยแม้แต่คนเดียว แต่อย่างน้อยคุณก็กำลังพูดความจริง
เด็กพวกนั้นไม่ได้มีความจริงใจ เราไม่ต้องการเห็นลูกๆ ของเราถูกทำร้ายจิตใจเราจึงต้องปกป้องพวกเขาในระดับหนึ่งที่เราจะสามารถทำได้ และถ้าคุณสามารถสังหารสัตว์ป่าระดับห้าดาวได้
เนื่องจากความช่วยเหลือของสัตว์พันธะของคุณ แสดงว่าความสามารถในการต่อสู้และการทำงานเป็นทีมของคุณนั้นต้องยอดเยี่ยมเมื่อพิจารณาจากระยะเวลาอันสั้นที่คุณทั้งคู่อยู่ด้วยกัน”
กาเบรียลลา ได้พูดเสริม
“ และเมื่อเห็นหมาป่าที่มีเกล็ดตัวนี้ มันควรจะเป็นผู้นำของฝูงที่ใหญ่ เนื่องจากพวกมันติดตามผู้แข็งแกร่งโดยสัญชาตญาณ นอกจากนี้เรายังสามารถทำการทดสอบเกี่ยวกับศักยภาพของหมาป่าตัวนี้ได้ในตอนนี้ “
เมื่อกาเบรียลลาพูดจบ มาร์คก็เปิดกรงเล็ก ๆ และเอาหมาป่าที่หลับใหลออกมา
หลังจากเอาเข็มฉีดยาออกมา เพื่อเอาเลือดออกมัน มาร์คก็ได้หายวับไป
ดวงตาของเจสันเบิกกว้างด้วยความตกใจขณะที่มาร์คเพิ่งหายไปจากสายตาของเขา แม้แต่ดวงตาของเจสันก็ไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวได้ทัน
‘พวกเขายอมรับฉันแล้วหรอ?’
เจสันยังคงสับสน
เกร็กและมาเลียเคยชินกับความเร็วของมาร์ค แต่เจสันยังคงนั่งคิดอะไรอยู่บางอย่าง
สถานการณ์ทั้งหมดจบลงอย่างรวดเร็วและเจสันรู้สึกสับสนมากกว่า เมื่อเขาจำสิ่งที่มาร์คได้พูดเมื่อครู่
“ ทำไมเขารู้ว่าฉันไม่ได้โกหก”
เจสันพึมพำ
เกร็กได้ยินที่เจสันพูด และเกร็กก้ได้พูดอย่างภาคภูมิใจ
“ พ่อของฉันได้ทำสัญญากับค้างคาวหยกจิ๋วที่กลายพันธุ์ซึ่งเป็นสัตว์วิเศษที่อ่อนแอมากอย่างไรก็ตามการได้ยินนั้นยอดเยี่ยมมากและเขาสามารถจะฟังการเต้นของหัวใจของคุณเพื่อตรวจจับว่าคุณโกหกหรือเปล่า “
ในขณะที่เกร็กพูด กาเบรียลลาได้มองลูกชายของเธออย่างตกใจ
เธอส่ายหัวด้วยความคิดว่า ทำไมลูกของเธอถึงได้ไร้เดียงสาเช่นนี้
‘เขาเป็นลูกชายของฉันจริงรึเปล่านะ ?’ กาเบรียลลาคิด
เจสันยังประหลาดใจที่เกร็กเปิดเผยความลับของพ่อและเจสันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ในขณะที่เจสันกำลังจะเตือนเกร็กเรื่องนี้ กำปั้นเล็กๆ ก้ฟาดไปที่หลังหัวของเกร็กทำให้เขาตกลงจากโซฟา
“ โอ๊ย … ทำอะไรของเธอหน่ะ มาเลีย”
เกร็กมองพี่สาวของเขาด้วยสายตาเศร้า ทำให้มาเลียโยนกำปั้นอีกครั้งที่ เกร็กหลบเลี่ยงโดยการกลิ้งไปมาบนพื้น
“นายโง่ขนาดนี้ได้ยังไง นายก็รู้ว่าไม่ควรเปิดเผยวิญญาณและลักษณะของพวกมันรวมถึงสิ่งที่สัตว์พันธะแบ่งปันด้วยและไม่ใช่แค่สัตว์พันธะของนายนะ แต่ของคุณพ่อก็ด้วย”
กาเบรียลลามองไปที่ลูกสาวของเธอด้วยความตกตะลึง เพราะความรุนแรงของมาเลีย
เธอไม่รู้ว่าเด็กสาวที่สวยงามและบอบบางเช่นนี้ จะเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรเมื่อน้องชายของเธอทำให้เธอรำคาญ
‘เธอจะหาแฟนไหม’ เมื่อคิดต่อไปเธอก็ตกใจ
‘เธอจะไม่ทุบตีแฟนของเธอใช่ไหม ???’ กาเบรียลลาขมวดคิ้วพลางคิดเรื่องนั้น
ในขณะเดียวกันเจสันก็ยิ้มเมื่อเห็นทั้งคู่ทะเลาะกันเล็กน้อยและอาร์เทมิสที่ยังคงเงียบอยู่บนตักของเจสัน
ก็ลืมตาขึ้นก่อนที่เธอจะกระพือปีกเพื่อทะยานขึ้นไปในอากาศ
เมื่อเห็นทั้งสองพี่น้องเทะเลาะกัน อาร์เทมิสก็ร้องไห้และบินวนไปมาด้านบน จากนั้นส่งเสียงเชียร์พวกเขา
เธอชอบทั้งสองคนขณะที่เจสันถ่ายทอดความรู้สึกสบาย ๆ ให้ทั้งคู่ได้รับรู้
เมื่อมองไปที่จิตวิญญาณของเจสันที่วนเวียนอยู่เหนือพวกเขา ที่บางครั้งก็ร้องไห้ออกมา บางครั้งดูเหมือนจะเป็นเสียงหัวเราะ กาเบรียลลาได้ยิ้มเบา ๆ ก่อนที่จะหันไปจ้องมองไปที่ เจสันซึ่งมองลูก ๆ ของเธอด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน
ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าเจสันไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ใด ๆ จากพวกเขาและมันก็น่าเสียดายที่จะทิ้งเขาไว้ที่นี่ในขณะที่เจสันนั้นเป็นเด็กดีที่น่าสงสาร
การพาเขาไปด้วยไม่น่าจะเป็นปัญหามากนัก
แม้ว่าพรสวรรค์ของเขาจะแย่ แต่เกร็กและแม้แต่ลูกสาวของเธอที่ดูเหมือนจะเป็นผู้หญิงที่เย็นชาในที่สาธารณะก็สามารถเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าเจสัน
พวกเขาไม่ต้องปรับพฤติกรรมเพื่อเอาใจเจสัน แต่อย่างใด
เจสันมองไปที่เกร็กและมาเลีย สักพักก่อนที่เขาจะมองไปที่กรงขนาดใหญ่ที่มีนกอินทรีอยู่ข้างใน
เขาไม่แน่ใจว่าเขาได้รับอนุญาตให้ถามเรื่องนี้หรือไม่ แต่เจสันคงไม่เป็นไรมากนักถ้าจะถาม
“คุณทั้งสองจับนกอินทรีตัวนี้ได้ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาใช่รึเปล่า”
เจสันรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับบางสิ่งและกาเบรียลลา สังเกตเห็นสิ่งนั้นและเธอก็หลีกเลี่ยงการจ้องมองไปที่เขา
“นกอินทรีพายุตัวนี้เป็นสัตว์วิเศษและถูกจับโดยพวกเรา เมื่อสองวันก่อนและมันจะเป็นสัตว์พันธะตัวต่อไปของลูกค้าเรา”
การทำสัญญากับสัตว์วิเศษที่เติบโตเต็มที่เป็นเรื่องอันตรายและไม่คุ้มค่า หากสัตว์ร้ายไม่มีศักยภาพเหลืออยู่
แต่ถ้าเป็นสัตว์วิเศษที่ยังเป็นตัวอ่อน ถ้าทำพันธะในขณะที่ยังเล็กจะสามารถสร้างความสัมพันธ์และป้องการการอาละวาดของสัตว์ร้ายได้
นั่นคือการเพิ่มความจริงที่ว่าลูกสัตว์นั้นเชื่องและเลี้ยงดูได้ง่ายกว่า
การพยายามที่จะทำให้สัตว์วิเศษป่าที่โตเต็มที่เชื่องนั้นเชื่อง เป็นเรื่องของโชคเพราะไม่เพีงที่จะต้องการพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง แต่ยังมีอารมณ์ของสัตว์วิเศษที่โตเต็มวัยอีกด้วย
การแสดงออกทางสีหน้าของเจสันนั้นมีความซับซ้อนแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า เขาจะพูดอย่างไรดี เพราะมันอาจจะไม่ใช่เรื่องของเขา หากลูกค้าต้องการสัตว์วิเศษที่เป็นอันตราย เพราะมันไม่มีโอกาสแก้ไขในอนาคต
เกร็กและมาเลียหยุดทะเลาะกันเมื่อครู่และทั่งคู่มองไปที่เจสันเพราะสีหน้าของเขาดูไม่สบายใจ
กาเบรียลล่าสังเกตเห็นสิ่งเดียวกันและเธอก็ไม่แน่ใจว่าทำไม แต่เธอเองก็อยากจะถามว่ามีอะไรผิดปกติกับสัตว์วิเศษตัวนี้ที่ทำให้เจสันเปลี่ยนสีหน้าการแสดงออกเช่นนี้
เธอรู้ว่า ‘ความรู้สึก’ ของ เจสันที่เขาพูดถึงก่อนหน้านี้เป็นสิ่งอื่นและเธอเองก็อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความคิดเห็นของเขาเมื่อ เกร็กมีจิตวิญญาณแรกที่แข็งแกร่งมากและเห็นได้ชัดว่าสัตว์พันธะครั้งแรกของเจสันก็ดูไม่เหมือนใคร
ตอนนี้ถ้าหมาป่าที่เขานำมาให้พวกเขา มีศักยภาพบางอย่างก็หมายความว่ามันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญอีกต่อไป
เธอยิ้มเบา ๆ ให้เจสันเพื่อให้กำลังใจให้เขา ในขณะที่เธอพูด
“ไม่เป็นอะไรหรอก หากเธอต้องการจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจ”
เจสันครุ่นคิดถึงวิธีการที่เรียบง่ายก่อนที่จะตอบกลับ
“ คือว่า ศักยภาพของสัตว์วิเศษตัวนี้ถูกใช้จนหมดแล้ว และไม่มีศักยภาพเหลือพอที่จะไปถึงอันดับต่อไปได้ การได้ทำสัญญากับมันจะไม่ให้ประโยชน์อะไรมากมาย แต่มันก็น่าจะอันตรายมากใช่ไหม ทำไมบางคนต้องการทำสัญญากับสัตว์ร้ายตัวนี้ “