ดวงใจภวินท์ - บทที่ 128 เกิดเรื่องขึ้นกับดร.ยติภัทร
ตั้งแต่ญาธิดาต่อว่าพิชญ์สินีต่อหน้ากลุ่มเพื่อนร่วมงานในแผนกท่าทางของทุกคนที่มีต่อญาธิดาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลังจากเรื่องสงบและเงียบไปสองสามวัน แม้แต่เสียงนกเสียงกาที่นินทาก็น้อยลงมาก
ระหว่างพักเที่ยง ชมพู่พาญาธิดาไปยังจุดพักผ่อนเพื่อพูดคุยกัน
“ธิดาๆ รู้มั้ยว่าตั้งแต่เธอบอกคุณพิชให้หุบปากไปครั้งที่แล้ว ช่วงนี้ก็ไม่มีใครในแผนกกล้าพูดไร้สาระอีกเลย”
ญาธิดาหยิบช้อนคนกาแฟใส่ถ้วยแล้วพูดอย่างเฉยเมย “เหรอ”
เธอไม่ค่อยเชื่อเลย คำว่า “หุบปาก” ที่เธอพูดอย่างไม่ใส่ใจ กลับมาผลขนาดนี้
“จริงสิ!” ชมพู่พยักหน้าอย่างแรง “ฉันคิดว่าเพื่อนร่วมงานของเขาเป็นคนที่กลัวคนจริง ถ้าพวกเขากล้าพูดอะไรอีก ก็ให้ตอกกลับไป!”
หลังจากฟังเธอพูด ญาธิดาก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
เหตุผลที่เธอปฏิบัติกับ พิชญ์สินีครั้งที่แล้วเป็นเพราะความโกรธที่กดทับจิตใจของเธอไม่สามารถระบายออกไปได้ พิชญ์สินีจงใจทำตัวน่ารังเกียจ เธอจึงพูดออกไป
คิดแล้วก็โล่งใจขึ้นบ้างแล้ว
ชมพู่จิบน้ำผลไม้แล้วถอนหายใจ “สิ้นเดือนอีกแล้ว เอกสารที่ต้องเรียบเรียงเยอะเลย น่ารำคาญจัง…”
ญาธิดาแหงนหน้ามองท้องฟ้ามืดครึ้มนอกหน้าต่าง อารมณ์ก็มืดมน
สำหรับเธอ สิ้นเดือนไม่มีอะไรต้องกลัว การรอคอยอย่างไม่รู้จุดหมายเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ตอนแรกเธอสัญญากับภวินท์ว่าจะช่วยโค่นล้มมาร์ติน แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะลงมือเมื่อไหร่หรือมีแผนอย่างไร
“วึ่งง—”
จู่ๆ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้น ญาธิดาหยิบโทรศัพท์ออกมาเห็นว่าเป็นคุณปภาวีที่โทรมา เธอโบกมือให้ชมพู่ ยืนขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างเพื่อรับสาย
“ฮัลโหลค่ะแม่”
คุณปภาวีส่งเสียงเอะอะโวยวายมาจากอีกฝั่ง “ธิดา! ลูกอยู่ที่ไหน! รีบไปโรงพยาบาลเร็ว เกิดเรื่องกับขึ้นพ่อคุณ!”
“อะไรนะคะ!”
หัวของญาธิดามึนตื้บ เธอรีบถาม “พ่อหนูเป็นอะไร! เขาอยู่ที่โรงพยาบาลไหน”
คุณปภาวีพูดอย่างกังวลใจ “เขายังไปสอนอยู่เลยเมื่อเช้านี้ อยู่ๆ ก็หัวใจวายและเป็นลมในชั้นเรียน ลูกรีบมาเลย! อยู่ที่โรงพยาบาลพัฒนา2 ”
“หนู…หนูจะไปเดี๋ยวนี้!”
ชั่วครู่ หัวใจของเธอก็เต้นแรงไม่หยุด เธอวางสายแบบตัวสั่น และน้ำตาก็ไหลออกมาทันที
ญาธิดามองดูชมพู่ด้วยสีหน้างุนงง พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “พ่อฉันประสบอุบัติเหตุ ชมพู่ ช่วยขอลากิจให้ฉันหน่อย…”
ชมพู่ก็ผงะไปเช่นกัน “โอเค โอเค..เธอรับไปเถอะ!”
ญาธิดาไม่สนใจสิ่งอื่นใด รีบวิ่งไปที่ทางเข้าลิฟต์
ดร.ยติภัทรป่วยเป็นโรคหัวใจ ต้องกินยาตลอดปี เธอนึกว่าจะอาการจะคงที่แล้ว แต่สิ่งที่เธอกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น!
เมื่อลิฟต์ไปถึงชั้นหนึ่ง เธอก็รีบออกไปทันทีที่ประตูเปิด
ในเวลานี้ เธอแค่อยากจะรีบไปโรงพยาบาลและอยู่เคียงข้างดร.ยติภัทร!
ภวินท์เพิ่งกลับมาที่บริษัทหลังจากทานอาหารกับลูกค้าเมื่อเช้า พอเดินไปที่ประตู ก็เห็นญาธิดาวิ่งมาแต่ไกล
เมื่อเห็นดวงตาสีแดงของเธอ ตื่นตระหนกจนแม้จะไปชนใครก็ไม่ได้หยุด เขาหันไปถามพายุว่า “เธอเป็นอะไรไป”
พายุทำหน้างง “ไม่ทราบครับ…”
ภวินท์ขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าญาธิดากำลังจะวิ่งผ่านจากด้านข้าง เขาก็ก้าวไปข้างหน้า เอื้อมมือออกไปคว้าเธอไว้ “ญาธิดา!”
ญาธิดาหันกลับมาเห็นว่าเป็นภวินท์ก็สะบัดมือเขาออก “ปล่อยฉันนะ!”
ภวินท์คว้าแขนไม่ยอมปล่อย “คุณรีบร้อนไปไหน”
ญาธิดารีบบร้อนจนจะร้องไห้ออกมา เสียงสั่นเครือ “พ่อฉันประสบอุบัติเหตุ ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล!”
แววตาของภวินท์มืดลงโดยไม่พูดอะไร เขาเดินตามเธอและเดินออกไปทันที “โรงพยาบาลไหน ฉันจะพาเธอไป!”
ยังไงซะ ดร.ยติภัทรก็เป็นอดีตครูของเขา ในตอนนี้ เขาควรจะช่วยทำอะไรด้วย
เมื่อเห็นรถของภวินท์จอดรถไว้หน้าประตูบริษัท ญาธิดาก็รีบพูดขึ้นว่า “โรงพยาบาลพัฒนา2!”
ในเวลานี้ตราบเท่าที่เธอจะสามารถไปโรงพยาบาลได้โดยเร็วที่สุด ไม่ว่ารถของใครเธอก็ยินดี!
หลังจากรีบไปถึงโรงพยาบาลแล้ว ญาธิดาก็รีบไปที่ห้องผ่าตัด เห็นคุณปภาวียืนอยู่นอกประตู ก็เดินไปอย่างกังวลใจ
“แม่!”
“ธิดา ในที่สุดลูกก็มาแล้ว!” เมื่อเห็นญาธิดา คุณปภาวีรีบเข้าไปกอดเธอ ดวงตาของเธอเปลี่ยนไปเป็นสีแดง
ฟังเสียงแหบเล็กน้อยของแม่ ญาธิดาก็หลั่งน้ำตาออกมาอย่างอดไม่ได้ “แม่ ไม่ต้องห่วง พ่อจะไม่เป็นไร…”
คำพูดเหล่านี้ไม่เพียงเป็นการปลอบโยนคุณปภาวี แต่ยังปลอบใจตัวเองด้วย
ภวินท์ก้าวไปข้างหน้า มองคุณปภาวี พยักหน้า “คุณป้า”
เมื่อเห็นภวินท์ คุณปภาวียกมือขึ้นปาดน้ำตาทันที น้ำเสียงสงบลงเล็กน้อย “ภวินท์ก็มาด้วยหรือ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองญาธิดาอีกครั้ง ลังเลที่จะพูด
ญาธิดาเข้าใจความหมายจึงพูดเบาๆ ว่า “หนูเจอเขาที่ประตูบริษัท เขาแค่ส่งหนูมาโรงพยาบาล”
นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีอะไร
คุณปภาวีถอนหายใจ กำมือของญาธิดาไว้ และก็ไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ไฟสีแดงด้านนอกห้องผ่าตัดก็หรี่ลง ประตูก็เปิดออก และหมอก็เดินออกมา
ญาธิดาพาคุณปภาวีไปพบหมอแล้วรีบถามว่า “หมอคะ พ่อของฉันเป็นไงบ้าง”
“พ้นขีดอันตรายแล้วครับ แต่ยังต้องเฝ้าดูอาการอีก คนในครอบครัวก็เตรียมของใช้ในชีวิตประจำวันได้เลย ต้องแอดมิทที่โรงพยาบาล”
“ได้ค่ะ!”
ญาธิดาโล่งใจที่ได้ยินว่าดร.ยติภัทรไม่เป็นอะไร
หลังจากที่พยาบาลเข็นเขาไปที่ห้องผู้ป่วยแล้ว ญาธิดาและคุณปภาวีถึงจะเข้าไปเยี่ยมได้
ดร.ยติภัทรนอนอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว แล้วยิ้มให้พวกเธอ “ไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง…”
ญาธิดามองดูพ่อที่เป็นแบบนี้ ก็รู้สึกเจ็บปวดในใจและน้ำตาก็ไหลไม่ได้หยุด
โดยปกติตอนที่ดร.ยติภัทรสบายดี เธอไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้เขานอนอยู่บนเตียง ซีดเซียวและเปราะบาง เธอรู้สึกกลัวจริงๆ
ญาธิดาไม่อยากปาดน้ำตาต่อหน้าพ่อ ช่วยไม่ได้ เธอจึงต้องหันหลังเดินออกจากห้องไป เมื่อเดินออกไปก็ต้องพบกับอ้อมกอดกว้าง
เธอเงยหน้าขึ้นด้วยน้ำตาและมองไปที่ชายคนนั้น
ภวินท์เห็นใบหน้าของญาธิดาที่เต็มไปด้วยน้ำตา จึงเอื้อมมือหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงยื่นให้เธอ “เช็ดเถอะ”
ญาธิดาลังเลเล็กน้อย แล้วรับมา เห็นในมือของชายหนุ่มเต็มด้วยของมากมาย กระติกน้ำร้อน อ่างล้างหน้า กล่องข้าว และของเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
เธอชะงัก “คุณ…”
มิน่าหล่ะเมื่อกี้เขาถึงหายตัวไปทันทีที่เธอหันหลังกลับ กำลังไปซื้อของนี่เอง
ภวินท์มองดูเธอแล้วพูดเบาๆ “เช็ดหน้าซะ ผมจะไปหาอาจารย์”
พูดจบก็ผลักประตูห้องเดินเข้ามา
ญาธิดาหยิบผ้าเช็ดหน้าปาดน้ำตาแล้วหันกลับมาที่ห้อง ทันทีที่เธอเดินเข้าไปในห้อง เธอก็เห็นดร.ยติภัทรนอนอยู่บนเตียง กำลังมองมาที่เธอและคุณปภาวี “เธอสองคน…ออกไปก่อน ฉันมีอะไรจะพูดกับภวินท์…”
ญาธิดามองภวินท์แล้วมองดูพ่อที่อยู่บนเตียง ร้องออกมาด้วยความไม่สบายใจว่า “พ่อ…”
ดร.ยติภัทรพูดอีกครั้งว่า “พวกเธอ…ออกไปก่อน!”
ญาธิดาได้ยินคำนั้น มองไปที่คุณปภาวี และเดินออกไปด้วยกัน
เมื่อประตูปิดลง เธอก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นเรื่อยๆ พ่อของเธอต้องการจะพูดอะไรกับเขา ถึงได้อยากอยู่กับภวินท์ตามลำพัง