ดวงใจภวินท์ - บทที่ 129 ไม่มีเขาในใจ
ในห้องผู้ป่วย ชายสองคนมองหน้ากัน บรรยากาศก็เงียบอย่างน่ากลัวอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดภวินท์ก็พูดทำลายบรรยากาศแปลก ๆ “อาจารย์ครับ มีอะไรจะสั่งหรือครับ”
ดร.ยติภัทรมองแววตาของเขาลึก ๆ ถอนหายใจแล้วขยับริมฝีปากซีดของเขา “ภวินท์ วันนี้นายก็ได้เห็นแล้วเรื่องร่างกายของฉัน ไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน…”
“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะหาหมอที่ดีที่สุดให้” ก่อนที่ภวินท์จะพูดจบ ดร.ยติภัทรค่อย ๆ ยกมือขึ้นโบกมือให้หยุดพูด
ดร.ยติภัทรแอบถอนหายใจและพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันรู้จักร่างกายของฉันดี ไม่ต้องห่วงหรอก ตอนนี้สิ่งเดียวที่ฉันอดกังวลไม่ได้คือธิดา”
พูดพลางเขาก็เงยหน้าขึ้นมองภวินท์
ก่อนหน้านี้เขาได้มอบบุตรสาวอันล้ำค่าให้ไปอยู่ในมือของภวินท์ และเขาก็เป็นเหมือนลูกบุญธรรมของเขา เดิมเขาคิดว่าทั้งสองคนจะไปได้ดี แต่ใครจะไปรู้…
แววตาของภวินท์สั่นเล็กน้อย แล้วเงยศีรษะขึ้น เมื่อมองดูดร.ยติภัทร เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “อาจารย์ ผมทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับท่านไม่ได้…”
ดร.ยติภัทรส่ายหน้า “เรื่องความรักความรู้สึกน่ะ จะดีตลอดรอดฝั่งได้ยังไง แต่…ฉันก็ยังอยากขอให้เธอดูแลธิดาแทนฉัน ถ้าพวกเธอคืนดีกันได้ นี่เป็นสิ่งที่ฉันอยากเห็นที่สุด แต่ถ้าไม่ ฉันก็จะไม่บังคับ อย่างน้อยก็เป็นช่วยเป็นเพื่อนเธอบ้างเป็นบางครั้งก็แล้วกัน…”
เขารู้ดีถึงนิสัยลูกสาวของเขา รู้ว่าเธอไร้เดียงสา ดื้อรั้น และชอบโดนเอาเปรียบเสมอ และภวินท์สามารถปกป้องเธอได้อย่างเห็นได้ชัด
ภวินท์ขมวดคิ้วนิ่งเงียบไม่ตอบ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดนาน ดร.ยติภัทรจึงถอนหายใจ “ลืมไปเถอะ ภวินท์ ฉันไม่บังคับเธอหรอก…”
ภวินท์ได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วรีบพูดขึ้นว่า “อาจารย์ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ผมรู้ว่าต้องทำอย่างไร”
เขาเป็นหนี้บุญคุณญาธิดา ยิ่งไม่ต้องเลยว่าเขาเป็นสามีเก่าของเธอ ดังนั้นคำขอของดร.ยติภัทรจึงไม่ได้หนักหนาเกินไป
แสงสว่างวาบในแววตาของดร.ยติภัทร”นายยอม… ดูแลเธอแทนฉันไหม”
ภวินท์ยกมุมปากปลอบเขาว่า “ได้ครับ อาจารย์ดูแลตัวเองดีๆ ไม่ต้องกังวล”
เขาให้สัญญาแล้วดร.ยติภัทรก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า น้ำตาไหลออกมา “ดูเหมือนว่าฉันไม่ได้มองคนผิด …”
ให้ภวินท์ดูแลเขาถึงจะโล่งใจ
พร้อมกันนั้น ญาธิดาก็ยืนอยู่หน้าประตูห้อง เดินวนไปมาอย่างร้อนใจ
เมื่อเห็นเช่นนี้ คุณปภาวีก็อดไม่ได้ที่จะบ่นว่า “ธิดา ตั้งสมาธิไว้หน่อยได้ไหม”
ญาธิดาขมวดคิ้ว หงุดหงิดเล็กน้อย “แม่คะ แม่ว่าพ่อกับภวินท์จะไม่พูดจาไร้สาระไร้สาระกันใช่ไหม”
คุณปภาวีถามกลับทันทีว่า “ไร้สาระแล้วจะเป็นไรไป พวกเธอสองคนหย่ากันแล้ว จะกลัวอะไร”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ญาธิดาก็ตะลึง
ถูกแล้วเธอกับภวินท์หย่ากันแล้วจะกลัวอะไร
เมื่อเห็นลูกสาวยืนอยู่ตรงนั้นทื่อๆ คุณปภาวีก็ก้าวไปข้างหน้าและถามว่า “ลูกยังมีเขาอยู่ในใจใช่ไหม”
ประโยคนี้ทำให้ญาธิดาแก้มร้อน หัวใจของเธอก็ว้าวุ่น
ไม่กี่วินาทีต่อมา เธอจงใจขึ้นเสียงแล้วพูดว่า “เป็นไปได้ยังไง! หนูจะมีเขาอยู่ในใจได้ยังไง! หนูหย่าขาดจากเขาแล้ว!”
ก่อนที่เธอจะจบประโยค จู่ๆประตูก็ถูกดันเปิด “เอี๊ยด” เสียงหนึ่ง ญาธิดาชะงัก
หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง เธอก็หันกลับมาทันทีทันใดก็พบกับดวงตาอันลึกล้ำของภวินท์
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูมืดมนลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาได้ยินสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้!
ขณะนั้น ญาธิดาอยากจะหารูมุดเข้าไป! น่าอายจัง!
ภวินท์เพ่งมองเธออยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าก็กลับเป็นปกติ เขาปิดประตูวอร์ดเบาๆ มองคุณปภาวีแล้วพูดว่า “ป้าครับ อาจารย์เพิ่งจะหลับไป ถ้าไม่มีอะไร ผมไปก่อนนะครับ”
คุณปภาวีพยักหน้า แล้วมองดูญาธิดาที่อยู่ข้างๆ แล้วสั่งว่า “ลูกก็ไปเถอะ ตอนบ่ายยังต้องไปทำงาน ฉันอยู่ที่นี่กับพ่อคนเดียวก็ได้”
เดิมทีญาธิดาก็อยากจะอยู่ด้วย แต่ท่าทีของคุณปภาวีแน่วแน่ ไม่อยากจะมีปัญหาอะไรเลยต้องพูดว่า “แม่งั้นหนูจะมาหาพ่อวันหลังนะ”
คุณปภาวีโบกมือ “ไปเถอะ ไปเถอะ”
ญาธิดาเดินตามหลังภวินท์ ทั้งสองเข้าไปในลิฟต์ทีละคนโดยไม่พูดกัน
ระหว่างที่ลิฟต์กำลังจะลง ลิฟต์นั้นก็หยุดอยู่ที่ชั้นกุมารเวชศาสตร์ ผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับลูกๆ เติมเต็มลิฟต์ที่ว่างเปล่านั้นทันที
ญาธิดาถูกบีบไปที่มุม ถัดจากลุงวัยกลางคนที่มีพุงใหญ่ พุงของเขาดันไปด้านข้างของเธอ และเมื่อเขาสัมผัสมือของเธอ ลุงก็ยิ้มให้เธอ
ญาธิดารู้สึกอึดอัด จึงย่อตัวเข้ามุมให้ได้มากที่สุด แต่ใครจะรู้ว่าลุงวัยกลางคนคนนั้นก็เข้าหาเธอเช่นกัน
ไม่คิดเลยว่า ในลิฟต์ของโรงพยาบาล เธอจะได้พบกับพวกโรคจิต เธอขมวดคิ้ว เมื่อไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จู่ๆ ก็มีมือยื่นออกมาข้างๆ จับไหล่เธอเบาๆ แล้วภวินท์ก็ดันคนที่อยู่ข้างๆเธอและเดินไปตรงหน้าเธอ
ญาธิดาเอนหลังพิงมุม ถูกภวินท์ขวางไว้ด้านหน้า ลุงคนข้างๆเห็นดังนั้น จึงเอามือแตะจมูกด้วยความอาย ไม่เข้ามา
ระหว่างที่ลิฟต์กำลังจะลง ลิฟต์นั้นก็หยุดอยู่ที่ชั้นกุมารเวชศาสตร์ ผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งก็รีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับลูกๆ เติมเต็มลิฟต์ที่ว่างเปล่านั้นทันที
ญาธิดาและภวินท์หันหน้าเข้าหากันและใกล้ชิดกันมาก เธอไม่เพียงได้กลิ่นไม้หอมอ่อนๆ ที่เล็ดลอดออกมาจากเขาเท่านั้น แต่ยังสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผดเผาจากเขาผ่านผ้าบางๆ
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าผากของเธอแตะกับคางของชายหนุ่ม ลมหายใจอุ่น ๆ ของเขาก็พ่นไปที่หน้าผากของเธอ คันๆ ชาๆ และร้อน
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับภวินท์ขนาดนี้
ไม่ทันไร ญาธิดาก็แก้มแดงบางๆ ลมหายใจก็ร้อนผ่าว
เมื่อตอนที่เธอทำอะไรไม่ถูก ภวินท์ก็ก้มศีรษะลงและพูดเบา ๆ ว่า “เมื่อกี้ที่หน้าประตูห้อง…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ญาธิดาก็ตอบทันควัน รีบพูดขึ้นว่า “ฉันไม่ได้พูดอะไร!”
ตอนนั้น เธอไม่คิดว่าสิ่งที่เธอพูดจะถูกเขาได้ยินเข้า ราวกับว่าเธอทำอะไรผิดและถูกจับได้อย่างนั้น
เมื่อเห็นกิริยาของญาธิดา ภวินท์เลิกคิ้ว “จริงเหรอ”
เขาได้ยินชัด จำได้ชัดเจน
คำสองคำที่ชายหนุ่มพูดจบ โดยมีเสน่ห์อย่างอธิบายไม่ถูก หัวใจของญาธิดาตื่นเต้น หัวใจเต้นเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุด เมื่อลิฟต์มาถึงชั้นหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียง “ติ้ง” ญาธิดาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ออกจากลิฟต์แล้ว ญาธิดาเดินตามภวินท์ไปทางด้านหลัง พอไปถึงประตูโรงพยาบาลก็ยังงงๆ อยู่ว่าควรกลับไปบริษัทกับเขากับรถภวินท์ดีไหม
ภวินท์ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว ทันใดนั้นก็รู้ว่าหญิงสาวไม่ได้ตามมาติดๆ เขาหยุดและหันไปมองที่เธอ
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก้าวไปข้างหน้า สบตา พูดด้วยความกล้าว่า “ถ้าคุณมีธุระอะไร ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ฉันเรียกรถกลับบริษัทได้”
ภวินท์พูดอย่างเย็นชา “ผมจะกลับบริษัท”
ญาธิดาได้ยินคำพูดนั้นก็ยังลังเลเล็กน้อย
ภวินท์ดูเหมือนจะเข้าใจความร็สึกของเธอ “ทำไม คุณกลัวผมหรอ คุณไม่กล้าแม้แต่จะนั่งในรถของผม”
ญาธิดาชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด “ใครว่า…ว่าฉันไม่กล้า”