ดวงใจภวินท์ - บทที่ 147 ข้าวกล่องที่ทำจากใจ
ตอนที่ญาธิดาหันมาเห็นภวินท์ยืนอยู่หน้าห้อง แผ่นหลังตึงและร่างกายแข็งทื่อ
เดิมทีเธอตั้งใจเลือกมาส่งข้าวกล่องในเวลาที่มีคนอยู่น้อยโดยเฉพาะ ก็เพื่อไม่ต้องเจอหน้าเขา ใครจะไปรู้ว่าเธอจะจ๊ะเอ๋กับเขาโดยตรง
ในมือภวินท์กุมเอกสารไว้ชุดนึง เห็นเธอแล้ว ได้เงยหน้าเหลือบมองถุงใส่ข้าวกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นได้ถามอย่างเรียบเฉย “มีธุระ?”
ญาธิดากุมมือสองข้างไว้แน่น พร้อมพูดจาลวกๆว่า “ไม่มีค่ะ ตอนเช้าฉันทำข้าวกล่องเยอะไปหน่อย……ก็เลยเอามาให้คุณชุดนึงค่ะ”
พอฟังแล้วภวินท์ที่สีหน้าเย็นชาดูอ่อนโยนขึ้นเยอะ เขาเดินมาข้างหน้า มองกล่องอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วได้พูดเสียงสูง “ทำข้าวกล่อง?ทำไมผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็นคนขยันขนาดนี้?”
หลายครั้งนี้ตอนที่เธออยู่บ้านเขา ทุกเช้าเธอล้วนนอนจนกว่าจะตื่นเอง ไม่นึกเลยว่าวันนี้จะตื่นเช้ามาเตรียมข้าวกล่อง สงสัยพระอาทิตย์คงขึ้นจากทิศตะวันตกแล้วมั้ง
ฟังออกว่าน้ำเสียงของผู้ชายมีความเยาะเย้ย ญาธิดาแสยะยิ้มมุมปาก แต่ก็พูดหักล้างไม่ได้ด้วย ได้แต่พูดว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
เห็นผู้ชายไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอได้เดินข้างนอก ตอนที่ยังไม่ถึงหน้าห้อง นึกถึงเรื่องนั้น ก็ได้หยุดฝีเท้าลงอีก
“อ้อใช่ เรื่องของมาร์ติน บริษัทเตรียมจะจัดการยังไงคะ?”
เรื่องที่เกี่ยวกับมาร์ตินถูกศศิผู้เป็นภรรยาจับชู้คาเตียงยังคงแพร่กระจายอย่างไม่ขาดสาย ในโซเชียลคอยรายงานข่าว พาดหัวข่าวยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่เรื่อยๆ เรื่องขัดต่อประเพณีและศีลธรรมอันดีงามของครั้งนี้ ได้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำลายชีวิตคู่ของศศิกับมาร์ติน
ตระกูลธนเสนโวยวายว่าจะหย่าและแบ่งสมบัติกัน ส่วนมาร์ตินก็ไม่ได้ปรากฏตัวมาหลายวันแล้ว
พูดถึงมาร์ติน สีหน้าของภวินท์เคร่งขรึมเล็กน้อย หลายวิผ่านไป ถึงได้พูดอย่างเย็นชาว่า “บริษัทกำลังตรวจสอบบัญชีของDL Trading co.อยู่ ตอนนี้มาร์ตินไม่รู้ไปอยู่ไหน STN Groupเขาอยู่ต่อไม่ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
DL Trading co. เป็นบริษัทลูกของSTN Group
ญาธิดาฟังแล้วพยักหน้าพร้อมทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ พอนึกถึงนีราภาตัวการอีกคนของเรื่องนี้ เธออยากจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไว้
ดูเหมือนรู้ความคิดของเธอเป็นอย่างดี ภวินท์พูดจาเรียบเฉย “นีราภาพักฟื้นอยู่ที่บ้านตลอด ศรุต อาของเธอได้ใช้เรื่องนี้เป็นเหตุผลช่วยเธอยื่นใบลาออกแล้ว”
ญาธิดาฟังแล้วเงียบกริบไม่ได้พูดอะไร จากนั้นได้มองข้าวกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเตือนว่า “อย่าลืมทานข้าวกล่องตอนร้อนนะ”
พูดจบ เธอได้เดินออกจากอออฟฟิศ
ระหว่างทางกลับแผนก ญาธิดาเหม่อลอยตลอด ถึงแม้เรื่องครั้งนี้ดำเนินการได้ราบรื่นมาก มาร์ติน นีราภา ล้วนเคยทำให้เธอลำบากใจ พวกมันมีจุดจบแบบนี้ก็สาสมแล้ว แต่เธอรู้สึกอยู่เรื่อยเลยว่ามันมีตรงไหนแปลกๆ
พอนึกถึงตัวเองยังมีงานอยู่เป็นกอง ญาธิดาก็ไม่มีกะจิตกะใจไปคิดเรื่องอื่นแล้ว ได้กลับไปทำโอทีที่แผนกอย่างเร่งรีบต่อ
ในออฟฟิศของท่านประธาน ภวินท์เดินมาที่หน้าโต๊ะทำงาน เห็นถุงข้าวกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว สายตาได้หยุดชะงักไว้เล็กน้อย
ผ่านไปไม่กี่วิ เขาวางเอกสารในมือลง แล้วหยิบข้าวกล่องออกมา พอเปิดฝาแล้วก็เห็นซอสมะเขือที่บีบเป็นรูปหน้ายิ้มโง่ๆ
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้องมองหน้ายิ้มนั้นแล้วจ้องมองอีก จากนั้นได้ขยับริมฝีปาก พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ปัญญาอ่อน”
ถึงปากจะพูดแบบนี้ แต่กลับยักคิ้วขึ้นอย่างอารมณ์ดี
ในขณะนี้เอง ประตูได้ถูกคนผลักออก พายุผลักประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบ ในมือหิ้วอาหารที่บรรจุใส่กล่องไว้ “คุณภวินท์ครับ นี่คืออาหารที่คุณ……”
เขายังพูดไม่จบ พอเห็นข้าวกล่องที่อยู่บนโต๊ะแล้วอึ้งไปครู่นึง “นี่……”
ข้าวกล่องอันนี้มาจากไหน?
ภวินท์ปิดฝาข้าวกล่องแล้วยักคิ้ว สีหน้ายังคงเรียบเฉยเหมือนที่ผ่านมา ราวกับไม่ทีอารมณ์อะไรเลย “คนอื่นให้มา”
พายุฟังแล้วได้มองภวินท์ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนมีแต่ฟองสบู่สีชมพู เขายกมุมปากอย่างเข้าใจ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าวกล่องที่ทำจากใจ คุณนิวเป็นคนเอามาให้สินะครับ?”
เขาพูดคำนี้ออกมาปุ๊บ สีหน้าของภวินท์เย็นชาลงจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สายตาที่มองไปที่เขาอีกครั้งเขาก็แฝงด้วยความเย็นชา
ร่างกายพายุหนาวเหน็บจนตัวสั่น เขารีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้ากลับคืนมา มองดูอาหารที่อยู่ในมือแล้วได้ถามว่า “งั้น…ชุดนี้จะทำยังไงครับ?”
ภวินท์เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาแวบนึง เขาที่เม้มปากไว้แน่นได้พูดว่า “นายเอาไปจัดการ”
“ห๊ะ?”สีหน้าพายุลำบากใจ เขากินจนอิ่มแปล้แล้วนะ ขืนยัดอาหารชุดนี้ลงไปอีก กระเพาะไม่แตกเลยเหรอ
ภวินท์ยักคิ้วพร้อมถามว่า “มีปัญหา?”
“ไม่ครับ ไม่มีครับ!”พายุไม่กล้าลังเล ได้รีบตอบตกลงทันที
ให้เขากิน เขาจะกล้ามีปัญหาได้ยังไง
พี่แนนไปทำงานต่างถิ่นหลายวันแล้ว พอเธอไปปุ๊บ แผนกธุรการก็กลายเป็นโลกทั้งใบของพิชญ์สินีเลย เดิมทีประชุมประจำสัปดาห์ละครั้งของแผนกไม่จำเป็นต้องประชุมอีก แต่พิชญ์สินีดันยังแจ้งให้ทุกคนไปประชุม ฉวยโอกาสวางมาดและโชว์ความน่าเกรงขาม ทำให้เพื่อนร่วมงานไม่น้อยในแผนกต่างก็ไม่พอใจ
“เธอว่าไหม ปกติพี่แนนก็ยังไม่ทำแบบนี้เลย หล่อนที่เป็นแค่ผู้ช่วยหัวหน้าถือสิทธิ์อะไรมาทรมานพวกเราแบบนี้ ทั้งประชุมทั้งว่ากล่าวตักเตือน รำคาญจะแย่อยู่แล้ว!”
“ก็นั่นน่ะสิ ฉันว่าคุณพิชคงจะกลั้นไว้นานเกินไปมั้ง พอพี่แนนไปปุ๊บก็เผยธาตุแท้ออกมาเลย!”
“……”
เพื่อนร่วมงานผู้หญิงสองคนสุมหัวนินทากัน แถมยังหัวเราะเป็นครั้งคราว ไม่รู้เลยว่านางเอกที่อยู่ในประเด็นได้ยืนอยู่ข้างหลังพวกเธอเอง
พิชญ์สินีได้ยินคำพูดของเธอสองคนหมดไม่มีตกหล่นแม้แต่คำเดียว เธอกัดฟันแน่น สีหน้ายิ่งอยู่ยิ่งแย่
เธอยื่นมือสองข้างออกมาวางอยู่บนเก้าอี้ของพวกเธอสองคน มองพวกเธอจากที่สูงลงมาที่ต่ำ “ทำไม ว่างขนาดนี้เลยเหรอ?งานที่ให้พวกเธอสองคนทำน้อยเกินมันไปใช่ไหม?”
ผู้หญิงสองคนนั้นหันกลับมาดู เห็นว่าคือเธอ ทันใดนั้นตกใจจนหน้าซีดเหมือนไข่ต้ม
“คุณ……คุณพิช……”
พิชญ์สินีขมวดคิ้ว มุมปากเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา พร้อมย้อนถามว่า “เมื่อกี๊กำลังนินทาฉันอยู่ไม่ใช่เหรอ?ทำไมไม่นินทาแล้วล่ะ?”
เพื่อนร่วมงานหญิงสองคนตกใจจนตัวสั่นเล็กน้อย ตอนนี้อยู่ในยามคับขันแบบนี้ จะขัดใจใครก็ห้ามขัดใจพิชญ์สินี ไม่งั้นคนที่ซวยก็คือพวกเธอเอง
ญาธิดาเดินผ่าน เห็นบรรยากาศของโซนสำนักงานสาธารณะมีความกดดัน และทางนี้พิชญ์สินีกำลังเค้นถามเพื่อนร่วมงานผู้หญิงสองคนอย่างกัดไม่ปล่อยเดิมทีอยากไปพูดเกลี้ยกล่อมสักสองคำ ใครจะไปรู้ว่าอีกฝั่งนึงก็มีเสียงก้องมาอีก
ในมือชมพู่ถือใบเสร็จไว้ปึกนึง เบ้าตาแดงก่ำ เช็ดน้ำตาไปด้วยพร้อมเดินมาทางนี้ด้วย
“จบเห่แล้ว……”
ญาธิดาเห็นสถานการณ์นี้แล้ว ได้รีบเดินไปถามทันที “ชมพู่ เป็นอะไร เธอไปเคลียร์บัญชีที่ฝ่ายบัญชีแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ชมพู่เช็ดน้ำตาอย่างกล้ำกลืนฝืนทน “พวกเขาไม่อนุมัติให้พวกเรา บอกว่าใบเสร็จของเราไม่ครบ แต่เมื่อกี๊ฝ่ายการตลาดเอาใบเสร็จแบบเดียวกันไปเคลียร์บัญชี พวกเขาก็ยังอนุมัติเลย”
บัญชีที่ต้องเคลีย์ครั้งนี้สำคัญมาก เพราะช่วงนี้กำลังประเมินผลงานรายไตรมาสอยู่ พวกเขามีภารกิจอย่างนึงที่ต้องทำให้สำเร็จ ฝ่ายบัญชีไม่อนุมัติเงิน พวกเขาก็จะไม่มีงบ ทำภารกิจไม่สำเร็จ การตรวจสอบแผนกก็จะไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน โบนัสประจำไตรมาสของทั้งแผนกก็จะสูญไปเปล่าๆ
พอได้ยินชมพู่บอกว่าฝ่ายบัญชีไม่อนุญาตงบให้ ผู้คนที่เดิมทีก็ค่อนข้างกระสับกระส่ายอยู่แล้วต่างก็ทยอยเดินมาห้อมล้อม ทุกคนต่างก็มาถามสถานการณ์ ตึงเครียดจะแย่อยู่แล้ว
นี่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของทั้งแผนก ทุกคนย่อมใส่ใจมากๆอยู่แล้ว
“ชมพู่ เธอนี่อะไรกัน?ความสัมพันธ์ของเธอกับเพื่อนร่วมงานฝ่ายบัญชีก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?ทำไมครั้งนี้ถึงไม่อนุมัติ?”
“ใช่ๆ โบนัสก็จะอนุมัติลงมาอยู่แล้ว ถ้าเพราะเรื่องนี้แล้วติดค้างอยู่ตรงนั้น พวกเราจะทำยังไงดีเนี่ย?”
“ฉันยังคาดหวังว่าได้โบนัสครั้งนี้แล้ว จะเอาไปซื้อแหวนให้เมียฉันเสียอีก!”
“……”
เสียงต่างๆดังขึ้นพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ชมพู่ที่เดิมทีก็ทุกข์ใจอยู่แล้ว ฟังพวกเขาพูดแบบนี้ น้ำตายิ่งไหลพรากลงมาอย่างหยุดไม่ได้