ดวงใจภวินท์ - บทที่ 165 ยอมแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงแล้วเหรอ?
จากห้องโถงถึงลิฟต์ แล้วมาถึงชั้นที่พัก ตลอดทางนี้ ญาธิดาหาโอกาสอยากหลุดพ้นจากมือของภวินท์ แต่เขาดันเหมือนรู้ความคิดของเธอดียังไงอย่างงั้น ไม่ให้โอกาสใดๆกับเธอเลย
ในขณะที่เดินผ่านหน้าห้องตัวเอง ฝีเท้าของญาธิดายิ่งอยู่ยิ่งช้า ใช้แรงที่มีจำกัดของตนเองแข็งข้อกับเขา เธอกัดฟัน รวบรวมความกล้าพร้อมพูดว่า “คุณภวินท์พรุ่งนี้ฉันยังต้องตื่นเช้าไปเยี่ยมชมศึกษากับเพื่อนร่วมงานค่ะ……”
ความหมายแฝงก็คือให้เขาปล่อยเธอ
ภวินท์ฟังแล้วยักคิ้ว ดวงตาคมเข้มเหลือบมองมาที่เธอ แล้วย้อนถาม “เกี่ยวอะไรกับผม?”
“นี่คุณ……”
ญาธิดาโกรธจนกัดฟันย่ำเท้า เสียใจกับพฤติกรรมของเมื่อครู่สุดๆ ตอนนั้นเธอทำไมถึงวู่วามไปยั่วโมโหเขาได้นะ?
เธอค่อนข้างโมโห ได้ถามซะเลยว่า “แล้วคุณจะเอายังไง?”
“คุณว่าล่ะ?ไหนคุณว่าผมอดทนกับความเหงาไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
ภวินท์แกล้งพูดจาให้คลุมเครือ ชวนให้คนคิดลึก จากนั้นได้มองใบหน้าที่ค่อยๆแดงก่ำขึ้นมาของผู้หญิง ในใจเขาเกิดความสนุก
เมื้อกี๊ตอนที่อยู่หน้าโรงแรม เธอยังฟันคมปากคล่องเยาะเย้ยเขาเหมือนแมวป่าน้อยตัวนึงอยู่เลย ถ้าเขายังไม่ให้เธอเห็นความเก่งกาจของตัวเองหน่อย เธอไม่ก่อกบฏเลยเหรอ?
เขายกมุมปากขึ้น มือใหญ่ที่กุมหัวไหล่เธอไว้แน่นขึ้นเล็กน้อย คอยดันเธอเดินไปข้างหน้าต่อ
ญาธิดาหน้านิ่วคิ้วขมวด ในที่สุดก็เริ่มกระวนกระวายใจขึ้นมา
ถ้าเธอถูกเขาลากเข้าห้องจริงๆ เกรงว่าคงจะไปแล้วไม่ได้กลับแน่เลย
แต่เธอยิ่งร้อนรนใจ สมองยิ่งว่างเปล่า คิดวิธีใดๆไม่ออกเลย
ถูกภวินท์ดันตัวเดินมาถึงมุมเลี้ยวของริมทางเดิน พอเลี้ยวปุ๊บ ญาธิดาก็เห็นผู้ชายที่ใส่ชุดสูทสีเทาเหล็กกำลังยืนอยู่หน้าห้อง
รูปร่างผู้ชายสูงกำลังดี ผมค่อนข้างสั้น หน้าตาหล่อเหลาและดูสดใส แววตากลับแหลมคมมีพลัง
เขาหันหน้ามองมาทางพวกเขา พอเห็นภวินท์แล้ว แววตาเขามีรอยยิ้มแวบผ่านเสี้ยวนึง จากนั้นได้เคลื่อนย้ายสายตามองสำรวจญาธิดาที่อยู่ข้างกายภวินท์อย่างมีความหมายคิดลึก
ไม่รอให้ญาธิดาดึงสติกลับมา ผู้ชายคนนั้นก็ได้ยักคิ้วและเดินมาหาพวกเขาแล้ว
“วิน นายนี่หลายใจจริงๆเลย นัดกับฉันไว้ ให้ฉันรอนายตั้งครึ่งค่อนวันไม่พอ ทีนี้ยังพาสาวกลับมาคนนึงอีก นายหมายความว่ายังไง?”
ผู้ชายเปิดปากถามอย่างจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหมายของการหยอกเล่น แววตาอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองมาที่บนตัวญาธิดา
ฟังน้ำเสียงแบบนี้ของเขาแล้ว ญาธิดา เข้าใจทันทีว่าที่แท้ภวินท์ได้นัดคนเอาไว้ล่วงหน้า ดูท่าครั้งนี้เธอน่าจะสามารถหนีรอดแล้ว
เธอแอบดีใจ แล้วรีบหันไปมองภวินท์
สีหน้าของภวินท์เย็นชาเหมือนที่ผ่านมา เขามองหลุยส์แวบนึง จากนั้นได้ล้วงคีย์การ์ดจากกระเป๋ากางเกงออกมาโยนให้เขา “นายเข้าไปก่อน”
หลุยส์ทำหน้าฉันรู้ฉันเข้าใจ จากนั้นได้ยิ้มมุมปากอย่างชวนคิดลึก พร้อมทั้งรีบตอบว่า “โอเค เร็วหน่อยนะ ฉันรอนาย”
เขาพูดแบบนี้ ยังไม่ลืมแกล้งส่งสายตาไปให้ภวินท์อีก จากนั้นถึงอมยิ้มรูดคีย์การ์ดเข้าไปในห้อง
สำหรับการแอบส่งสัญญาณของเขา ภวินท์ทำเป็นเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ พอประตูห้องปิด เขาถึงหันมามองญาธิดา
ญาธิดาสูดหายใจลึกๆแล้วรีบพูดเสียงเบาว่า “ถ้าคุณมีธุระ ฉันก็ไม่รบกวนคุณแล้วค่ะ……”
ระหว่างพูด เธออยากสลัดแขนของเขาออก แต่ใครจะไปรู้แขนของภวินท์แค่ออกแรงอีกหน่อยก็แข็งเหมือนเหล็กเลย ผลักก็ผลักไม่ออก สลัดก็สลัดไม่ออก
สีหน้าของญาธิดาโกรธจนแดงก่ำ ในขณะที่เธอกำลังจะเคลียร์กับเขา จู่ๆภวินท์ได้โน้มตัวทับมาที่เธอ
จู่ๆทั้งสองได้ใกล้ชิดกัน ญาธิดาไม่ได้เตรียมใจไว้เลย เห็นใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติกำลังขยายอยู่ตรงหน้าตัวเอง หัวใจเธอเต้น“ตุ๊บๆๆ”อย่างเร็ว
จับความลนลานและความร้อนตัวที่แวบผ่านแววตาผู้หญิงได้ เหมือนภวินท์ได้แสยะยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ เขากดเสียงต่ำพร้อมพูดอย่างใจเย็นว่า “งั้นบัญชีของคราวนี้ ครั้งหน้าค่อยคิด”
วันข้างหน้ายังมีเวลาอยู่เหลือเฟือ เขาก็ไม่รีบร้อนในตอนนี้หรอก
ทิ้งท้ายด้วยคำนี้ มือที่เขาวางอยู่บนหัวไหล่ของญาธิดาถึงค่อยๆคลายออกบ้าง
ญาธิดาแอบโล่งอกไปที แต่ร่างกายยังคงเกร็งอยู่ เธอรีบเธอพูดว่า “ดึกมากแล้วฉันไปก่อน……”
พูดคำนี้จบ เธอไม่ทันไปดูสีหน้าของภวินท์ ก็ได้หันหลังวิ่งไปที่ห้องตัวทันที
มองดูร่างเงาที่ขี้ขลาดของผู้หญิง แววตาของภวินท์มีรอยยิ้มที่สังเกตเห็นยากแวบผ่าน เขายิ้มมุมปาก ทีนี้ถึงหันหลังเดินมาที่หน้าห้องตัวเอง และผลักประตูเข้าไป
พอผลักประตูออก ก็เห็นหลุยส์กำลังนั่งอยู่บนโซฟาของเขา พิงอยู่ที่โซฟาอย่างเกียจคร้าน ราวกับว่าเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของห้องๆนี้
เห็นเขาเดินเข้ามา หลุยส์ได้ยักคิ้ว พร้อมแซวด้วยรอยยิ้ม“เสร็จไวขนาดนี้เลย?สมรรถภาพของนาย……”
ภวินท์ชายตามองเขาด้วยสายตาเคร่งขรึมแวบนึง บังคับให้เขากลืนคำพูดที่กำลังจะพูดกลับไปอย่างแข็งกระด้าง
ภวินท์เดินมาที่ฝั่งตรงข้ามเขา นั่งลงด้วยและพูดจาเคร่งขรึมไปด้วย “พูดเรื่องจริงจัง”
พอพูดถึงเรื่องจริงจัง สีหน้าของหลุยส์ก็เปลี่ยนไปทันที ความทะเล้นกับความเฮฮาบนใบหน้าหายไปในพริบตา สิ่งที่มาแทนที่คือความเย็นชากับความเคร่งขรึม
“สิ่งที่สามารถแน่ใจได้ในตอนนี้คือมาร์ตินก็อยู่ที่สิงคโปร์เนี่ยแหละ ใกล้ชิดกับเคเจ้าถิ่นของทางนี้มาก ฉันให้ลูกน้องไปสำรวจดูรอบนึง เห็นแค่ลูกน้องไม่กี่คน ยังไม่พบเห็นที่กบดานของพวกมัน”
ภวินท์ฟังแล้ว แววตาคมเข้มมองไปที่ยังท้องฟ้ามืดมิดของนอกหน้าต่าง แล้วพูดจาซีเรียส “ขอแค่แน่ใจว่ามาร์ตินอยู่ ทุกอย่างก็พูดง่ายแล้ว ไปตรวจสอบความเคลื่อนไหวของมัน หลักๆคือรวมตัวกันอยู่ในคาสิโน ไนต์คลับกับผับสถานที่แบบนี้ นิสัยมาร์ตินเป็นคนที่ทนต่อความเหงาไม่ได้ มันอยู่นี่จะต้องกลั้นไม่ไหวแน่นอน”
หลุยส์พยักหน้าพร้อมพูดว่า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังจากเงียบกริบไปครึ่งค่อนวัน ภวินท์หรี่ตาถาม “ทางฝั่งอาทิตย์มีอะไรผิดปกติมั้ย?”
หลุยส์ตอบตามความจริง “ไม่มี คนๆนั้นยังต้องจับตาดูอยู่มั้ย?”
“จับตาดูต่อ”
ระหว่างที่ภวินท์พูด แววตาได้มืดมนขึ้นเยอะ
เขารู้ดี ครั้งนี้มาร์ตินสามารถหายตัวไปจากการจับตาดูของเขาโดยที่ไม่รู้ตัว จากในประเทศหนีมาที่สิงคโปร์ จะต้องมีคนคอยช่วยเหลืออยู่ลับๆแน่นอน เขามาครั้งนี้ ไม่เพียงเพื่อจับมาร์ตินกลับไป ในขณะเดียวก็เพื่อหยั่งเชิงดูว่าข้างกายเขามีผู้สมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆอีกหรือเปล่า
มาร์ตินอาศัยชื่อเสียงของบริษัททำเรื่องสกปรกมามากแค่ไหน แม้กระทั่งยังลากSTN Groupลงน้ำด้วย เขาจะปล่อยมันไปง่ายๆได้ยังไง?
พอเขาดึงสติกลับมา ได้หันไปมองหลุยส์อย่างเย็นชาแวบนึง พร้อมพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “ไม่มีเรื่องอะไรแล้ว นายก็กลับไปเถอะ”
ดูเหมือนหลุยส์ฟังแล้วค่อนข้างไม่สบอารมณ์ เขานั่งไขว่ห้างไว้และพูดจาเกียจคร้าน “นี่ก็จะไล่ฉันไปแล้วเหรอ?”
แววตาเย็นชาของภวินท์จ้องไปที่เขา “ไม่งั้นล่ะ?นายยังอยากพักอยู่ที่นี่รึไง?”
หลุยส์หัวเราะแหะๆ ยังคงไม่คิดที่จะไป กลับกันได้หาท่าทางที่สบายกว่า และถามด้วยน้ำเสียงหยอกเล่น “วิน ช่วงนี้นายเปลี่ยนไปไม่น้อยเลยนะ……”
ภวินท์ฟังแล้วไม่ได้พูดอะไรเลย แค่ยื่นมือมาปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตตรงข้อมือออก
หลุยส์เห็นเขาไม่พูด ได้ใจกล้าถามต่อ “ทำไมช่วงนี้ตบะแตกแล้วเหรอ?ยอมแตะเนื้อต้องตัวผู้หญิงแล้ว?”
ต้องรู้ไว้นะว่าน้อยมากที่ข้างกายภวินท์จะมีผู้หญิงปรากฏ ยิ่งไม่ถูกเนื้อต้องตัวผู้หญิง แต่วันนี้ เขาถือว่าตาสว่างสักที
ภวินท์ย่อมเข้าใจความหมายของเขาอยู่แล้ว เขาลุกมาขึ้นจ้องหลุยส์จากที่สูงลงมาที่ต่ำ “หลุยส์ อย่ารอให้ฉันโยนนายออกไปเอง”
ไม่ได้เจอกันแค่ช่วงนึง หลุยส์หน้าด้านขึ้นไม่น้อยเลย