ดวงใจภวินท์ - บทที่ 178 เหตุผลของการหย่าร้าง
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น ได้แต่กัดฟัน เริ่มรู้สึกถึงความหงุดหงิดเงยหน้าและจ้องมองเขา ถามกลับด้วยอารมณ์ที่เข้มขรึมว่า “ต้องทำยังไงถึงจะเรียกว่าจริงใจละ จะให้ฉันคุกเข่าอ้อนวอนคุณใช่ไหม ”
เขารับปากที่จะให้เธอ หากวันนี้ตั้งใจจะทำให้เธอไม่สบายใจอีก จะให้คิดว่ายังไงดีละ
คนอย่างเขาดูเหมือนเป็นคนที่ชอบสนุก ชอบล้อเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นใช่ไหม หรือเขากำลังคิดว่าเธอจะเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ
เมื่อเห็นสายตาที่เย็นชาและความห่างเหิน ภวินท์ถึงกับตกใจเล็กน้อย ในช่วงเวลานั้นเอง เธอดูเหมือนตัวเม่นที่มีหนามเต็มตัว ท่าทีที่เย็นชา รับรู้ถึงความอันตราย เหมือนถูกหนามที่อยู่บนร่างกายทิ่มแทงมาที่เขา
เสี้ยววินาทีผ่านไป สายตาที่เป็นประกายของเขา ก็เริ่มคลายสีหน้าลง
เขาทำให้เธอโกรธหรือเปล่า ทำไมวันนี้เธอเย็นชาได้ขนาดนี้ เหมือนมีหนามทิ่มแทงออกมาอยู่ตลอดเวลา
ท่าทีของเขาทั้งสองดูจะเย็นชาลง ในพริบตาเดียว บรรยากาศในห้องทำงานเหมือนเย็นยะเยือก เงียบเกินไปแล้ว
และในตอนนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ได้ดังขึ้นมา “ ก๊อกๆ ” เสียงดังขึ้นสองครั้ง เป็นเสียงที่ดังขึ้นจากนวิยานั่นเอง “ คุณภวินท์ มีเอกสารจะให้คุณเซ็นค่ะ ”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็ไม่พูดอะไร ได้แต่ยกมือที่กดนามบัตรแผ่นนั้นออก
เมื่อญาธิดาเห็นดังนั้น รีบยื่นมือไปหยิบนามบัตร มองไปที่ภวินท์ด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงอารมณ์ยิ้มแย้ม “ ขอบคุณค่ะคุณภวินท์”
เมื่อพูดจบ เธอโค้งตัวลงเล็กน้อย และเดินออกไปข้างนอก
ภวินท์ได้เงยหน้าขึ้น มองเงาผู้หญิงที่เดินออกไป ด้วยสายตาที่เป็นประกาย
ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าญาธิดาคงเป็นผู้หญิงที่ไม่ต่อต้านอะไร แต่ดูๆแล้วตอนนี้ คงไม่ใช่เป็นแบบที่เขาคิด ถ้าต่อต้านขึ้นมา คงไม่มีใครอยู่ในสายตาเธอแน่ๆ
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าหญิงสาวที่ไม่ว่าจะทำอะไรให้สักนิดสักหน่อยก็หน้าแดงเหมือนกระต่ายขาวสักอีก เหอะ ที่แท้ หลังจากเขาสองคนหย่าร้างกัน เธอพึ่งจะเผยธาตุแท้ออกมา กระต่ายขาวที่ไหนกัน เป็นแมวป่าดุร้ายชัดๆ
เมื่อเดินออกมาจากห้องทำงาน ญาธิดาคงถือนามบัตรแผ่นนั้นอยู่ นิ้วก็ลูบไปลูบมาที่นามบัตร รู้สึกวูบวาบที่ฝ่ามือเล็กน้อย
เพื่อที่จะต้องติดต่อไปตามเบอร์นี้ เธอจึงเลิกคิดอะไรบางอย่าง
ในที่สุด เมื่อได้นามบัตรมาแล้ว ความรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่ทับอยู่ในใจก็คลี่คลายลง
รอเวลาหลังจากเลิกงานแล้ว เธอจะไปโรงพยาบาลหาดร.ยติภัทรกับคุณปภาวี หลังจากนั้นค่อยติดต่อคุณหมอเธียรชัยเพื่อปรึกษาเกี่ยวกับแผนการการผ่าตัด
พอคิดแบบนี้ ญาธิดาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่ใครจะไปรู้ ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน คุณปภาวีก็โทรศัพท์เข้ามาพอดี
เป็นจังหวะที่ญาธิดาได้คุยปรึกษากับเพื่อนร่วมงานในแผนกพอดี โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นสะเทือน เธอจึงก้มมองดู เมื่อเห็นเป็นเบอร์โทรของคุณปภาวี ก็เกิดความลังเลในการรับสาย แต่พอเห็นเพื่อนร่วมงานที่ยืนรออยู่ข้างๆ เธอจึงรีบตัดสายไปในทันที
หลังจากปรึกษาหารือกับเพื่อนในแผนกแล้ว ก็รอให้เพื่อนเดินออกไป ญาธิดาถึงจะโทรกลับหาคุณปภาวีอีกครั้ง
“ ฮัลโหล แม่ มีอะไรเหรอ”
เมื่อปลายสายรับสาย เธอก็ได้ยินกับน้ำเสียงที่ค่อนข้างดูกังวลใจ “ ธิดา แกเลิกงานแล้วยัง ”
เมื่อได้ฟังน้ำเสียงที่ดูไม่ร่าเริงของคุณปภาวี ญาธิดามีอาการตกใจเล็กน้อย “ ยังเลยค่ะ มีอะไรหรือเปล่า ”
“แกรีบมาโรงพยาบาลตอนนี้ได้ไหม พ่อของแกเขา……..”
คุณปภาวีเหมือนจะพูดขาดตอนไป คล้ายกับอาการพูดอะไรไม่ออก
เมื่อญาธิดาได้ยินดังนั้น ใจก็เริ่มสั่นอย่างบอกไม่ถูก มือก็กุมโทรศัพท์ไว้แน่น “ เกิดอะไรขึ้นกับพ่อ ”
หรือจะเกิดอุบัติเหตุ
“พ่อแก………ไม่เป็นไรนะ คือ…….” คุณปภาวีเริ่มตะกุกตะกัก พูดยังไงก็ไม่ชัดเจน สุดท้ายก็พูดว่า “ ฉันก็อธิบายไม่ถูก แกรีบมาก่อนละกัน ”
ญาธิดากัดริมฝีปาก ได้แต่พูดว่า “ได้ค่ะแม่ ฉันจะไปทันที”
เมื่อวางสาย ญาธิดากังวลใจเป็นอย่างมาก ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อดูจากน้ำเสียงของคุณปภาวดีแล้ว คงจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ๆ
ญาธิดาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ เหลือเวลาก่อนจะเลิกงานอีกครึ่งชั่วโมง หากตอนนี้ออกไปโรงพยาบาล ก็เหมือนจะเลิกงานก่อนเวลา แต่ครั้งนี้เธอคงไม่มีเวลาอะไรเยอะมากมายคงต้องรีบเก็บขอและออกจากห้องทำงานไปก่อน
เมื่อเดินออกมาจากบริษัท เธอก็รีบเรียกรถแท็กซี่ทันที เพื่อจะรีบไปให้ถึงที่โรงพยาบาล เดินลุกลี้ลุกลนไปยังห้องผู้ป่วยของดร.ยติภัทร เธอรีบจนไม่ได้เคาะประตู และเดินเข้าไปหาเลย
“ พ่อ แม่ พวกคุณ…..”
เมื่อเห็นดร.ยติภัทรนอนอยู่บนเตียงและมีคุณปภาวียืนอยู่ข้างๆ ญาธิดาจึงตกใจ และแอบแปลกใจเล็กน้อย
ถ้าดูให้ดีเหมือนกับไม่ได้เกิดเรื่องอะไรร้ายแรง
แต่ใครจะไปรู้ แค่เสี้ยววินาที เมื่อดร.ยติภัทรหันมาเห็นเธอ สีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นทันที จ้องมองที่เธอและพูดว่า “ แกเข้ามานี่ ”
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วของพ่อ ญาธิดาก็หยุดเดินทันที เริ่มสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ พ่อ เป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น ”
ทำไมเมื่อพ่อเห็นหน้าเธอ สีหน้าถึงได้เปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้นะ
“แกไม่รู้ว่าเรื่องอะไรงั้นเหรอ เข้ามานี่!!”
ดร.ยติภัทรขยับตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย หน้าแดงเต็มไปด้วยความโกรธ ได้แต่ชี้นิ้วไปหาเธอ
ญาธิดาเริ่มกระวนกระวายใจ เธอเริ่มมีการกัดริมฝีปาก แข็งใจเดินเข้าไปหา
แต่ทันทีที่เดินเข้าไปที่เตียงผู้ป่วย ดร.ยติภัทรก็ชี้นิ้วด้วยความโกรธ และตบเข้าไปที่หน้าของเธอจังๆไปหนึ่งครั้ง
ญาธิดาตกใจเป็นอย่างมาก เธอเองยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อถูกตบหน้าขนาดนี้ เธอก็หลบไม่ทัน “เพี๊ยะ ” เสียงที่ดังขึ้น ทำให้แก้มเธอรู้สึกร้อนผ่าวๆ ขึ้นมาทันที
ญาธิดาตกใจและก้าวถอยออกมา ได้แต่มองดูดร.ยติภัทรด้วยความตกใจ “ พ่อ คุณ…..”
ตั้งแต่เล็กจนโต ดร.ยติภัทรยังไม่เคยตบตีเธอเลยสักครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
คุณปภาวีที่ยืนอยู่อีกฝั่งได้แต่ตกตะลึง กว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ ตอนนั้นดูเหมือนจะสายไปแล้ว เธอดูตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก รีบยื่นมือไปดึงแขนของดร.ยติภัทรออก พูดด้วยความตกใจว่า “ ตาแก่ แกทำอะไรละนี่ ทำไมถึงกับต้องลงไม้ลงมือ ”
ดร.ยติภัทรที่หายใจแรงเพราะอารมณ์โกรธ เขาจ้องญาธิดาอย่างไม่ละสายตา พูดอย่างเยือกเย็นว่า “ ที่ฉันตบก็เพราะเธอ หน้าตาของตระกูลภูสิทธ์อุดมของเรา มันถูกเธอทำลายขายขี้หน้าไปหมดแล้ว ”
ญาธิดายังคงยืนอยู่ที่เดิม ได้แต่ยืนดูภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า ความรู้สึกเหมือนกำลังงงงวยกับสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนที่เธอรับโทรศัพท์ก็รีบมาโรงพยาบาลทันที ไม่คิดว่าพอเดินเข้าประตูมา ยังไม่ได้ทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก็โดนฝ่ามือตบหน้าในทันที
“แกไม่ต้องห้ามฉัน” เสียงที่เย็นชาที่เต็มไปด้วยความโกรธจนหน้าแดงของดร. ยติภัทรได้ดังขึ้นมา เขาผลักมือของคุณปภาวีออก และพูดใส่หน้าญาธิดาว่า “วันนี้แกต้องคุยกับฉันให้รู้เรื่อง สาเหตุที่หย่ากับภวินท์ก่อนหน้านี้คืออะไร!!”
เมื่อเห็นดร.ยติภัทรเป็นเช่นนั้น พร้อมกับเจอถามคำถามแบบนี้ ญาธิดาถึงงงอย่างบอกไม่ถูก เธอต้องทนกับความเจ็บปวดบนใบหน้า เพื่อต้องการจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น จึงเอ่ยปากถามครั้ง “ พ่อ จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ”
ดร.ยติภัทรโกรธจนตัวสั่น กลั้นใจเก็บความรู้สึก จนเกือบพูดอะไรไม่ออก “ แกยังจะมีหน้ามาถามอีก ”
คุณปภาวีที่ยืนข้างๆ เห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดี จึงรีบหันไปที่ญาธิดา “ ธิดา แกกลับไปก่อน เร็วๆ สิ”
ในตอนนี้ ดร.ยติภัทรยังคงมีอารมณ์โกรธ จะห้ามยังไงก็ห้ามไม่ได้ ถ้าโรคหัวใจกำเริบขึ้นมาอีก สถานการณ์คงแย่ไปกว่านี้แน่ๆ
ญาธิดาปลายจมูกเริ่มแดงๆ ดูเหมือนพ่อโกรธขนาดนี้ คงก็ไม่กล้ารบกวน ได้แต่รีบเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย
ทันทีที่ปิดประตู เธอก็ได้ยินเสียงทะเลาะโหวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านใน เธอได้แต่กัดฟัน และรีบวิ่งออกไปด้านหน้า หลังจากที่ผ่านทางเดินมาไกลพอสมควร เธอจึงจะค่อยๆเดินไปอย่างช้าๆ
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นดูเหมือนทำให้สมองของเธอวุ่นวายไปแล้ว คิดไม่ออกและยังคงไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้ ทำให้พ่อโกรธถึงขนาดนี้ แถมยังเกี่ยวข้องกับภวินท์อีก