ดวงใจภวินท์ - บทที่ 183 คุณขาดแคลนเงินมากหรือ ?
ประตูสำนักงานไม่ได้ปิด เสียงดุว่าของพี่แนนได้ดังออกไปข้างนอก โซนสำนักงานที่อยู่ข้างๆ ได้ยินชัดเจน ทุกคนต่างแหงนหน้ามองมาที่เธอ บางคนยังแกล้งทำเป็นเดินผ่านประตูแล้วสังเกตดูสถานการณ์ข้างใน
เมื่อถูกพี่แนนดุ ญาธิดาก้มหน้าก้มตาไม่ตอบโต้
ตอนท้าย เธอขยับริมฝีปาก แล้วกล่าวเสียงเบา “ขอโทษค่ะ ฉันผิดเอง”
พี่แนนดุอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว เห็นว่าท่าทีของญาธิดายังถือว่าจริงใจ อารมณ์โกรธจึงหายไปมาก ดื่มน้ำหนึ่งคำ แล้วกล่าวเสียงเย็นชา “กลับไปเขียนบททบทวนมาส่งฉัน”
“ ค่ะ ”
“ออกไปเถอะ”
ญาธิดาลุกขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปทางพี่แนนแล้วกล่าวว่า “หัวหน้า เดือนนี้ฉันขอทำโอทีสิบห้าวัน”
พี่แนนขมวดคิ้วเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “สิบห้าวันหรือ?”
STN Groupไม่สนับสนุนให้ทำโอทีมากเกินไป และก็ไม่บังคับพนักงานทำโอที ดังนั้นการทำโอทีนั้นล้วนเป็นความยินยอมส่วนตัว และพนักงานแต่ละคนสามารถทำโอทีได้มากที่สุดแค่สิบห้าวันเท่านั้น แน่นอนว่า การทำโอทีย่อมมีค่าชดเชยอยู่แล้ว เทียบกับสายอาชีพเดียวกันแล้วถือว่าสูงกว่าด้วย
ญาธิดาพยักหน้า น้ำเสียงแน่วแน่ว่า “ใช่ สิบห้าวัน ฉันอยากให้โอกาสตัวเองในการไตร่ตรอง และอยากจะทำใจ โฟกัสไปที่งาน ”
พี่แนนดูท่าทีจริงใจของญาธิดา ไม่เหมือนอารมณ์ชั่ววูบ เธอถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “แน่ใจว่าทำโอทีสิบห้าวันหรือ?”
ญาธิดาพยักหน้าอย่างจริงจัง
เธอคิดดีแล้วว่า ช่วงเวลานี้ทำโอทีให้มากเข้าไว้ หรือว่าหางานพาร์ทไทม์ เพื่อหาเงินให้ได้เพิ่มอีกนิด
พี่แนนกวาดสายตามองเธอแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไรอีก หยิบใบอนุมัติการทำโอทีออกมาจากลิ้นชักเซ็นอนุมัติให้เธอทำโอทีสิบห้าวัน
ญาธิดาหยิบใบอนุมัติมา โค้งคำนับพี่แนนด้วยความดีใจ แล้วหันหลังเดินออกจากสำนักงาน
โซนน้ำชาด้านนอกสำนักงาน พิชญ์สินีกำลังยืนรอดูเวลาที่ญาธิดาเดินออกมาด้วยสีหน้าหดหู่ แต่ไม่คิดว่า ตอนที่เธอออกมาปรากฏว่าสีหน้าเบิกบาน
ใบหน้าพิชญ์สินีหมองลงทันที ในใจรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย กวาดสายตามองดูญาธิดา ยิ่งคิดยิ่งไม่เข้าใจ
เธอถูกดุมาไม่ใช่หรือ ทำไมเธอถึงดูดีใจขนาดนี้?
ญาธิดาเดินผ่านโซนสำนักงาน จู่ๆ ชมพู่ก็ตามเธอไป แล้วกระซิบถามด้วยความห่วงใยว่า “ธิดา คุณยังโอเคไหม?”
ต้องรู้ว่า หากพี่แนนอารมณ์เสียแล้วดุคน คนปกติทั่วไปจะรับไม่ไหว
ญาธิดายิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร ”
ชมพู่เดินเข้ามาใกล้ กระซิบเตือนว่า “ธิดา ที่จริงเรื่องที่เธอเลิกงานก่อนเวลาในวันศุกร์ที่แล้ว พี่แนนไม่รู้หรอก แต่พิชญ์สินีเป็นคนเอาไปฟ้อง……”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย นึกถึงสีหน้าพิชญ์สินีที่เรียกเธอไปสำนักงานเมื่อกี้นี้ เธอก็เข้าใจขึ้นมาทันที
ถึงว่าเธอดีใจขนาดนั้น ที่แท้รอเยาะเย้ยเธอนี่เอง…….
ชมพู่มองดูญาธิดาเงียบไปไม่พูดอะไร แล้วเรียกอย่างลังเล “ธิดา?”
ญาธิดาได้สติคืนมา กำใบอนุมัติทำโอทีในมือแน่น ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “ฉันไม่เป็นไร รีบกลับไปทำงานเถอะ”
ที่จริง พูดไปแล้ว เธอยังจะต้องขอบคุณพิชญ์สินีด้วยซ้ำ ถ้าไม่ใช่เธอ เกรงว่าใบรับรองการทำโอทีสิบห้าวันนี้คงไม่อนุมัติมาง่ายดายเช่นนี้
หลายวันต่อมา ญาธิดาทำโอทีถึงสามทุ่มกว่าทุกวัน ทุกวันที่เธอกลับถึงบ้าน ก็รีบอาบน้ำเข้านอน แม้จะเหนื่อย แต่เมื่อนึกถึงว่าสามารถหาเงินค่าผ่าตัดของพ่อได้เพิ่มหน่อย เธอก็รู้สึกได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าแล้ว
และเป็นอีกวันหนึ่งที่เธอทำโอทีถึงสามทุ่มกว่า เมื่อสรุปตารางในมือเสร็จแล้ว ญาธิดาก็หาวนอนหนึ่งครั้ง แล้วจึงปิดคอมพิวเตอร์และเตรียมจะกลับบ้าน
ใครจะรู้ เมื่อเดินผ่านห้องโถงเดินลงมาถึงชั้นล่างของบริษัท เธอจึงพบว่าข้างนอกฝนตก พื้นปูสีเท่าเปียกไปด้วยน้ำฝน สีเข้มขึ้นเล็กน้อย นอกจากรถที่วิ่งไปมาขวักไขว่แล้ว คนเดินบนท้องถนนน้อยกว่าวันธรรมดามาก
ฝนตกหนักมาก ญาธิดาไม่ได้พกร่มมาด้วย ปรากฏว่าเธอต้องติดฝนอยู่หน้าประตูบริษัทอยู่พักหนึ่งแล้ว
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ คิดไปคิดมา ทำได้เพียงหยิบมือถือขึ้นมาเรียกรถเท่านั้น
แต่เป็นเหมือนว่าเพราะฝนตก แม้แต่เรียกรถยังต้องต่อคิว ญาธิดารออยู่ครึ่งค่อนวัน ฝนก็ยังไม่เบาลงเลย และรถก็ยังไม่มา
และในเวลานี้ จู่ๆ รถเก๋งสีดำคันหนึ่งขับเข้ามา แล้วจอดลงตรงบันได
ในรถ ภวินท์เงยหน้า เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนหลบฝนอยู่ตรงประตู เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวเสียงขรึมว่า “ทำไมเธออยู่ที่นี่?”
เวลานี้ เลยเวลาเลิกงานไปนานแล้ว
พายุที่นั่งอยู่แถวหน้า เมื่อได้ยินเช่นนี้ กล่าวเสียงเบาว่า “น่าจะทำโอที ผมได้ยินมาว่าเดือนนี้คุณญาธิดาขออนุมัติทำโอทีสิบห้าวัน ”
“สิบห้าวันหรือ?”
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น เงยหน้ามองไปทางหญิงสาวที่ก้มหน้าอยู่ เหมือนเส้นผมได้ถูกฝนเปียกไปเล็กน้อย ติดอยู่แก้มขาวซีด ดูไปแล้วรู้สึกสงสารเล็กน้อย
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง นึกถึงเรื่องหลายวันก่อน สีหน้าไม่พอใจเบนสายตาออกจากหญิงสาว เห็นพายุกางร่มลงจากรถ ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากกล่าวว่า “พาเธอไปส่งด้วย”
พายุรีบรับคำ กางร่มเดินขึ้นบันไดไป เดินไปหยิบเอกสารที่เคาน์เตอร์ห้องโถงก่อน
เมื่อกี้ญาธิดาเห็นพายุลงมาจากในรถ ตกใจโดยไม่รู้ตัว มองดูรถคันนั้น ถึงจำได้ว่า นั่นเป็นรถของภวินท์!
ไม่คิดว่า ในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาก็ยังพบเจอกัน……..
ญาธิดาหลบหน้า เกรงว่าภวินท์ที่อยู่บนรถจะเห็นเธอ แต่เธอไม่รู้ว่า เวลานี้ดวงตาคู่ดำของชายหนุ่มบนรถกำลังจ้องมองเธออยู่
มองดูเธอหลบหน้ากะทันหัน ท่าทางอย่างกับกลัวถูกเขาเห็น ภวินท์พึมพำเสียงเย็นชา “โง่”
เธอคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหนจริงๆ หรือ หันหน้าไปแล้วคนอื่นก็มองไม่เห็นแล้วใช่ไหม ?
พายุเดินไปถึงประตูใหญ่ มองดูญาธิดาแล้วกล่าวเสียงเบาว่า “คุณญาธิดาครับ คุณภวินท์จะไปส่งคุณ คุณจะขึ้นรถไหม?”
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นข้างหู ญาธิดารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เธอค่อยๆ หันหน้ามา มองดูฝนที่ไม่ยอมเบาสักที ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วฉีกรอยยิ้มออกมา “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณพายุแล้ว……”
เพื่อจะได้กลับบ้านเร็วหน่อย เธอทำได้เพียงวางทิฐิลงแล้วขึ้นรถภวินท์ไป
พายุยิ้มพูดว่า “ไม่รบกวนเลย”
กางร่มเดินไปถึงข้างรถพร้อมกับเขา พายุพาเธอเดินไปทางเบาะหลัง ญาธิดาจึงทำได้เพียงเก็บความคิดที่อยากจะนั่งข้างไว้ แล้วขึ้นรถไปอย่างกล้าหาญ
เป็นไปตามคาด ภวินท์นั่งอยู่ในรถ
ภวินท์เอนกายพิงพนักพิง ใบหน้าเคร่งขรึม ตั้งแต่ที่เธอขึ้นรถมา ก็ไม่เคยหันมาเหลียวมองดูเธอเลย
ญาธิดากลัวว่าจะทำลายสภาพแวดล้อมที่ละเอียดอ่อนนี้ จึงพยายามทำให้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีตัวตน แม้แต่การหายใจก็เบามาก
เมื่อสตาร์ทรถ ญาธิดานั่งตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น โดยใช้พื้นที่มุดอยู่ที่เบาะหลังเพียงเศษหนึ่งส่วนสามเท่านั้น พยายามจะไม่ขยับไปข้างๆ
ไม่รู้ทำไมบรรยากาศในรถรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยอย่างบอกไม่ถูก หลังจากพายุเงยหน้าเหลือบมองดูพวกเขาแล้ว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วก็ตั้งใจขับรถอย่างเดียว
เมื่อรถขับผ่านแยกไฟแดง จู่ๆ ญาธิดาก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของภวินท์ดังมาจากข้างๆ ว่า “ช่วงนี้คุณทำโอทีหรือ?”
ญาธิดาชะงักไปเล็กน้อย หลังจากแน่ใจว่าเขาพูดกับตัวเองแล้ว จึงตอบกลับอย่างง่ายๆ ว่า “อืม”
ในรถเงียบลงอีกครั้ง เงียบจนทำให้รู้สึกไม่ชิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงชายหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง “คุณขาดแคลนเงินมากหรือ?”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น กำมือแน่นโดยไม่รู้ตัว รู้สึกประหม่าเล็กน้อย
เขารู้ได้อย่างไรว่าเธอขาดเงิน?