ดวงใจภวินท์ - บทที่ 184 ระดมเงินค่าผ่าตัด
นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ญาธิดาสงบเย็นลงเล็กน้อย แต่กลับกลายเป็นว่าเอ่ยปากถามย้อนเขาไปว่า “ทำไมถึงถามอย่างนี้ ?”
ภวินท์ปิดเอกสารที่วางอยู่บนตัก กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “ถ้าไม่ขาดแคลนเงินทำไมจะต้องทำโอทีดึกขนาดนี้?”
STN Groupเป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับการดูแลมนุษยธรรมอย่างมาก ไม่เคยสนับสนุนพนักงานทำโอที เว้นแต่จะมีโครงการด่วน โดยทั่วไปแล้วก็ไม่มีพนักงานคนไหนเลือกที่จะทำงานล่วงเวลาเป็นเวลานาน แต่ญาธิดานั้นกลับขออนุมัติทำโอทีสิบห้าวัน ช่างน่าสงสัยจริงๆ
อีกอย่าง ตามที่เขารู้จักเธอ เธอไม่ใช่คนบ้างานแบบนั้น ดังนั้น หลังจากไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เหลือเพียงแค่หนึ่งความเป็นไปได้เดียว นั่นก็คือเธอขาดแคลนเงิน
แม้ว่าญาธิดาจะไม่รู้ว่าภวินท์มองทะลุตัวเองแล้ว แต่เมื่อฟังเขาพูดเช่นนี้ ก็รู้สึกละอายใจขึ้นมา มือที่อยู่วางข้างลำตัวกำเข้าเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวปฏิเสธว่า “ไม่ใช่ ฉันก็แค่อยากจะมุ่งมั่นทำงานเท่านั้นเอง”
เธอพูดพลาง เอื้อมมือปัดผมข้างแก้มไปแนบไว้หลังหูโดยไม่รู้ตัว
ภวินท์เงยหน้าขึ้น บังเอิญมองเห็นท่าทางที่ไม่ได้ตั้งใจของเธอนี้จากกระจกข้างหน้า เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ
เกรงว่าแม้แต่ญาธิดาเองก็ไม่รู้ว่า เวลาที่เธอประหม่าจะมีท่าทางเช่นนี้โดยไม่รู้ตัว ลูบเส้นผม แตะจมูก เขานั้นรู้ท่าทางเหล่านี้ของเธอดี
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ภวินท์ก็กล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “หากต้องการความช่วยเหลือ บอกผมได้นะ”
แม้คำพูดของเขาจะพูดไม่ชัดเจน แต่เพียงพอสำหรับส่งสัญญาณให้รู้ว่า ถ้าหากญาธิดาขาดเงินจริงๆ เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่า เขาก็จะยื่นมือมาช่วยเหลือเธอ
แต่คำพูดเดียวกันเมื่อฟังอยู่ในหูของญาธิดา ปรากฏว่าให้ความหมายที่ต่างกัน
เธอขมวดคิ้ว หันมองไปทางชายหนุ่ม เห็นสีหน้าของเขาปกติ คำพูดเมื่อกี้นี้ก็ธรรมดาราวกับถามเกี่ยวกับสภาพอากาศ ทันใดนั้น ความโกรธที่อธิบายไม่ได้ก็ผุดขึ้นในหัวใจของเธอ พร้อมกับสีหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวเล็กน้อย
ประโยคนี้ บวกกับคำถามสงสัยของเขาเมื่อกี้นี้ ทำให้เธอรู้สึกอับอายอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกันว่าระหว่างพวกเขามีความสัมพันธ์อะไรที่ไม่เหมาะสม ขอเพียงแค่เธอเอ่ยปาก เขาก็จะให้เงินจำนวนมากกับเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น และมีความรู้สึกละอายเกิดขึ้นในใจ
เธอละสายตาจากเขา มองไปทางนอกกระจก มองดูสายฝนที่ตกลงบนกระจกรถ แล้วค่อยๆ ไหลลงไป ทำให้โลกข้างนอกเบลอๆ เธอกำหมัดแน่นเล็กน้อย นั่งเงียบไม่พูดอะไรอีก
ระยะทางต่อจากนี้ บรรยากาศหนาวเหน็บมาก พายุที่ขับรถอยู่ ไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย กลั้นลมหายใจแล้วขับรถไปจนถึงใต้อาพาร์ตเมนต์
รถเพิ่งจอดสนิท ญาธิดาก็ค่อยๆ เอียงข้าง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ประธานภวินท์ ขอบคุณมากที่มาส่งฉัน”
พูดพลาง เธอก็ผลักประตูลงจากรถ เดินฝ่าเข้าไปในสายฝนโดยไม่หันกลับมาอีก แล้วก้าวเท้าเดินไปทางคอนโดอย่างรวดเร็ว
ภวินท์ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจกับคำเรียกของหญิงสาวเมื่อกี้นี้
เรียกเขาอย่างเป็นทางการว่า “ประธานภวินท์” เพื่อจงใจจะรักษาระยะห่างกับเขาหรือ?
เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ เงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ แล้วเห็นพายุกำลังมองดูเขาผ่านกระจกมองหลังอยู่
ดวงตาของเขาหม่นหมอง ออกคำสั่งเสียงเย็นชาว่า “ขับรถ กลับไปบ้านพัก”
เมื่อขับไปถึงครึ่งทาง มีโทรศัพท์เข้ามา ภวินท์มองดูหน้าจอแวบหนึ่ง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเขาจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
เขายกมือขึ้นรับสาย โดยเอามือถือแนบข้างหู “พูดมา”
เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งดังมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ “เจ้านาย สืบเจอแล้ว รูปถ่ายพวกนั้นเป็นการตัดต่อขึ้น เรื่องเหล่านี้เป็นฝีมือของคนที่คุณชายปริญจ้างทำ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น รูม่านตาสีดำของภวินท์เผยให้เห็นถึงความเยือกเย็น หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากล่าวเสียงเรียบๆ ว่า “อืม รู้แล้ว ”
วางสายโทรศัพท์ เขาหรี่ตาเล็กน้อย มีแสงอันตรายออกมาจากในตา
ที่แท้เป็นปริญ ผลลัพธ์นี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
พายุดูออกว่าสีหน้าภวินท์ดูผิดปกติ จึงเอ่ยปากหยั่งเชิงว่า “คุณภวินท์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ ?”
ภวินท์กัดริมฝีปากเป็นเส้นตรงอย่างเยือกเย็น หยุดไปครู่หนึ่ง ริมฝีปากบอบบางขยับเบาๆ “ช่วงนี้ตระกูลวรโชติมีความเคลื่อนไหวอะไรไหม?”
พายุรายงานอย่างจริงจังว่า “ช่วงนี้ชนัดพลยุ่งอยู่กับโครงการThe Riverside แต่ว่าไม่ค่อยราบรื่น ปริญนั้นห่วงแต่เที่ยวและเรื่องผู้หญิง เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้”
ธุรกิจของตระกูลวรโชติในช่วงหลายปีมานี้ไม่ใหญ่และไม่เล็ก ก็ถือว่าอยู่ระดับกลางของเมืองJ เพียงแต่ความสามารถไม่พอ ทุกคนต่างรู้ดี ที่ให้เกียรติตระกูลวรโชติส่วนใหญ่เห็นแก่ท่านเสรีที่อยู่ในโลกธุรกิจตอนเริ่มแรก แต่ท่านเสรีได้เสียไปนานแล้ว ตระกูลวรโชติใช้ชื่อเสียงของเมื่อก่อน ก็ภูมิใจได้ไม่นานมาก
เพื่อจะปูทางให้ลูกชาย ในใจของชนัดพลเป็นกังวลมาก อยากจะหาคนร่วมมือชิงที่ดินภาคตะวันออกผืนนั้นให้ได้ เพื่อพัฒนาเป็นย่านธุรกิจระดับสูงThe Riverside แต่กำลังความสามารถของตระกูลวรโชติในเวลานี้ เกรงว่ามีใจแต่กำลังไม่เพียงพอ
สถานการณ์ของตระกูลวรโชตินั้นภวินท์รู้ดี สาเหตุที่ไม่ลงมือกับพวกเขาสักที ก็เป็นเพราะว่าเห็นแก่นิวรา ไม่คิดว่า แค้นเก่ายังไม่ชำระ ปริญก็ทนไม่ไหวแล้ว ได้ยื่นมือยาวสาวมาถึงตรงเขาได้
เงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดภวินท์ก็เอ่ยปาก “ถึงเวลาจะต้องสั่งสอนปริญแล้ว”
เขาสามารถปลอมรูปถ่ายพวกนั้นส่งให้คนในตระกูลภูสิทธ์อุดม นั่นหมายความว่าเขาตรวจสอบเรื่องของเขากับญาธิดาอย่างชัดเจนแล้ว เขากล้าครั้งที่หนึ่ง ย่อมต้องกล้าทำครั้งที่สอง หากเขาไม่สนใจ กลัวแต่ว่าปริญจะโอหังมากกว่านี้
พายุฟังน้ำเสียงของภวินท์แบบนี้ รู้ว่าเขากำลังจะเคลื่อนไหวจริงๆแล้ว จึงรีบถามขึ้นว่า “คุณภวินท์ จะต้องทำอย่างไร?”
“ไม่รีบ ก่อนอื่นให้ตรวจสอบดูสถานที่ที่เขาไปบ่อยๆ คนที่เขาไปหาบ่อยๆ แล้วเก็บรวบรวมรูปถ่ายไว้ ”
ในเมื่อเขาจะปลอมแปลงรูปถ่ายเพื่อให้ร้ายคนอื่น ถ้าอย่างนั้นก็ใช้วิธีเดียวกันทำให้เขาได้ลิ้มรสความรู้สึกแบบนี้บ้าง
ทำโอทีต่อกันสามสี่วันแล้ว ญาธิดารู้สึกวันในแต่ละวันตัวเองเหมือนลูกข่าง หมุนไปมาไม่หยุด แม้จะยุ่งขึ้นมาแล้ว แต่เวลาในแต่ละวันก็ไม่พอใช้ แต่เงินที่หาได้กลับกลายเป็นว่าห่างไกลจากความคาดหมายอย่างมาก
เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว เธอจำเป็นต้องหางานพาร์ทไทม์ หาพวกเดลิเวอรี่ อย่างนี้ถึงจะหาเงินได้ไวหน่อย
เมื่อถึงเวลาพักกลางวัน มันไม่ง่ายเลยที่ญาธิดาจะว่างลง กำลังเตรียมจะฟุบหลับบนโต๊ะ จู่ๆ เสียงมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่นขึ้นมา
อัญมณีโทรมา
ญาธิดารับสายทันที “ฮัลโหล?อันอัน”
“ธิดา หลายวันมานี้ทำไมคุณไม่มาหาฉันเลย?ฉันซ้อมดนตรีจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว คืนนี้ออกไปกินหม้อไฟกัน ว่าไง?”
ญาธิดาเงยหน้า หมุนต้นคอ คลายเส้นกระดูกสันหลัง แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “เกรงว่าไม่ได้ อันอัน ฉันต้องทำโอที……”
อัญมณีพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ไม่เป็นไร ฉันรอคุณได้!”
ญาธิดาถอนหายใจเบาๆ แล้วอธิบายกับเธอว่า “อันอัน ช่วงนี้ฉันทำโอทีจนดึกสามทุ่มกว่า ฉันไปกับคุณไม่ได้จริงๆ รออีกสักพักฉันจะเลี้ยงข้าวคุณนะ”
“สามทุ่มหรือ?ช่วงนี้บริษัทพวกคุณเกิดอะไรขึ้น ?จึงเอาเปรียบพนักงาน บีบคั้นแรงงาน!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเว่อร์เกินจริงของอัญมณี ญาธิดาก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ ไม่มีเรื่องอะไร ฉันสมัครใจเอง”
อัญมณีประหลาดใจมาก “สมัครใจหรือ ?ญาธิดานี่คุณเป็นอะไร?หัวสมองถูกไข้กินจนเบลอไปแล้วหรือ?”
ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกถึงพ่อที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย เจ็บจี๊ดที่หัวใจเล็กน้อย เธอกัดริมฝีปากแน่น รวบรวมความกล้าแล้วกล่าวว่า “พ่อของฉันจะผ่าตัด ช่วงนี้ฉันจะต้องหาเงินค่าผ่าตัด”
ทันทีที่เธอพูดจบ ฝั่งนั้นก็เงียบไป
ครู่หนึ่ง เสียงหัวเราะที่ปนไปด้วยความเขินอายเล็กน้อยของอัญมณีก็ดังขึ้นมา “อย่างนี้นี่เอง ถ้าอย่างนี้ช่วงนี้คุณไม่มีเวลาเลยใช่ไหม?”
อัญมณีพูดพลาง หันหน้ามองไปทางธีทัตที่ยืนอยู่ข้างๆ แล้วกลอกตาใส่เขา
โทรศัพท์สายนี้ พี่ชายของเธอบังคับให้เธอโทร เพียงแต่ไม่คิดว่าช่วงนี้ญาธิดาไม่มีเวลาเลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าแผนการของพี่ชายเธอต้องสูญเปล่าแล้ว