ดวงใจภวินท์ - บทที่ 185 หางานพาร์ทไทม์
ธีทัตที่ยืนอยู่ข้างๆ อัญมณีเมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าที่สงบนิ่งมีความผันผวนเล็กน้อย เขาขยับริมฝีปาก เหมือนกับอยากพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่น้อย
เสียงตอบกลับของญาธิดาดังมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ “น่าจะใช่ ใช่แล้วอันอันคุณรู้หรือไม่ว่ามีงานพาร์ทไทม์อะไรที่สามารถไปทำวันหยุดสุดสัปดาห์ได้ ?ถ้าจะให้ดีราคาสูงหน่อย?”
“ให้ฉันคิดดูก่อนนะ…” อัญมณีเอียงศีรษะ แสงวาบวาบผ่านหัวสมอง จู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้ “ใช่แล้ว ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาเพิ่งจะเปิดบาร์ใหม่ ช่วงนี้กำลังหานักร้องนำอยู่ ราคาสูงค่อนข้างสูง ธิดา ตอนเรียนมหาวิทยาลัยคุณเคยเข้าร่วมร้องเพลงกับวงโรงเรียนไม่ใช่หรือ……”
อัญมณียังไม่ทันพูดจบ มือใหญ่ก็ยื่นเข้ามา แล้วแย่งมือถือในมือของเธอไป
เธอได้สติคืนมา มองไปทางธีทัตที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างตกใจว่า “พี่แย่งมือถือฉันทำไม!”
ปรากฏว่าใบหน้าที่อ่อนโยนมาตลอดของธีทัตเคร่งขรึมเล็กน้อย เขายื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาปิดหูโทรศัพท์ไว้ จ้องมองอัญมณีด้วยสีหน้าจริงจัง “อย่าคิดเกี่ยวกับความคิดไม่ดีเหล่านั้น ฉันพูดกับเธอเอง”
บาร์เหล่านั้นไม่ใช่สถานที่ที่หญิงสาวอย่างพวกเธอควรจะไปกัน อัญมณีจะให้ญาธิดาไปเป็นนักร้องที่บาร์ นี่ไม่ใช่เป็นการผลักเธอเข้าไปในกองไฟหรือ?
ถูกพี่ชายตัวเองวิจารณ์อย่างจริงจังประโยคหนึ่ง อัญมณีเบะปาก ทำได้เพียงกลืนคำพูดกลับไป ปกติขอเพียงเขารู้ว่าเธอไปสถานที่คลับบาร์ร้านกลางคืนแบบนี้ เขาก็จะด่าว่าเธอแรงๆ ยิ่งอย่าบอกว่าให้เธอพาญาธิดาไปเลย
ญาธิดาที่อยู่อีกฝั่งได้ยินเสียงแทรก ตามเสียงคุยกันเบาเล็กมาก ได้ยินไม่ชัดเจน เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วเรียกเสียงเบา
“ฮัลโหล อันอัน เป็นอะไรหรือ?”
“ฮัลโหล?”
น้ำเสียงสดใสและอบอุ่นดังขึ้น ทำให้หัวใจของเธอกระตุก รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้สติคืนมา “ทัตหรือ ?”
“ผมเอง ธิดา เมื่อกี้ได้ยินคุณคุยกับอันอันว่าจะหางานพาร์ทไทม์ พอดีว่าผมมีอยู่งานหนึ่ง คุณจะรับไหม?”
ญาธิดาหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยปากถามขึ้นว่า “เป็นงานอะไรหรือ?”
ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว ขอเพียงเป็นงานที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดศีลธรรม เธอยอมทำหมด
ธีทัตกล่าวเสียงเบาว่า “เป็นหนังสือสัญญาของบริษัทไม่กี่ฉบับ ผมได้ยินอันอันบอกว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัยคุณเลือกภาษาเป็นวิชาเลือก เป็นภาษาญี่ปุ่น คุณช่วยผมแปลได้ไหม?”
อัญมณีที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ก็อดที่จะเบะปากไม่ได้
เธอไม่เคยพูดเรื่องธิดาเรียกวิชาเลือกต่อหน้าเขามาก่อน ไม่รู้ว่าเขาไปสืบเรื่องธิดามาจากไหน ยังแสร้งทำเหมือนมาก
แม้แต่เรื่องของเธอที่เป็นน้องสาวแท้เขายังไม่เคยใส่ใจอย่างนี้มาก่อน
ญาธิดารู้สึกลังเลเล็กน้อย แม้ว่าเธอเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่สำหรับหนังสือสัญญาที่เป็นศัพท์จำเพาะแบบนี้ ต้องใช้ความระมัดระวัง จบมาสองปีกว่าแล้ว นอกจากดูการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นบางครั้งแล้ว เธอไม่ค่อยได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเลย
เห็นญาธิดาไม่พูด ธีทัตจึงรีบกล่าวเพิ่มเติมว่า “ทางเราจะมีสมุดคำศัพท์เฉพาะทางให้ ไม่ได้ยากมากเกินไป”
ญาธิดาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยปากเสียงเบาว่า “ฉันจะลองแปลหนึ่งฉบับดูก่อนหากไม่ได้ คุณค่อยหาคนอื่น”
ได้ยินเธอรับปาก หัวใจตู้มๆ ต่อมของธีทัตก็วางใจลงทันที เขากล่าวเสียงเบาว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมจะหาเวลาส่งเอกสารไปให้คุณ คุณลองแปลดูก่อนสักหนึ่งหน้า”
“ได้” ญาธิดารับปาก แล้วกล่าวต่อว่า “ชอบคุณนะ ทัต”
เวลานี้ ธีทัตให้เธอช่วยแปลหนังสือสัญญา แสดงให้เห็นไม่เพียงเพราะว่าเธอได้ภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น
“ไม่เป็นไร เป็นเพื่อนกัน ไม่ต้องเกรงใจ”
ทั้งสองคุยกันต่ออีกหลายคำ จึงวางสายลง
ธีทัตปิดมือถือ หันหลังไปก็เห็นอัญมณีหยิบแผ่นมันฝรั่งยัดใส่เข้าไปในปากอย่างไม่หยุด เห็นเขาวางสายแล้ว ก็พูดขึ้นขณะกินอยู่ว่า “พี่ ชัดเจนกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อดใจรอไม่ไหวที่จะประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าพี่ชอบธิดา……”
ธีทัตนั้นกวาดสายตามองไปที่อัญมณีที่ยัดเต็มปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย จงใจกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ไม่มีความเป็นผู้หญิงเลย”
อัญมณีไม่สนใจ จงใจยกขาขึ้นวางไปที่โต๊ะน้ำชา จากนั้นหัวเราะคิกๆ “พี่คะ พี่ปฏิบัติต่อธิดาดีมากกว่าหนูสักอีก หนังสือสัญญาภาษาญี่ปุ่นอะไรที่พี่พูดถึงเมื่อกี้นี้ เป็นเอกสารของบริษัทจริงๆ หรือ?”
เธอเข้าใจดีว่า พี่ชายของเธอเป็นคนที่พิถีพิถันกับงาน แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวอย่างชัดเจนมาตลอด ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนนอกไปจัดการเรื่องที่เกี่ยวกับบริษัท แต่วันนี้เขาเป็นฝ่ายขอให้ธิดาช่วยแปลเอกสาร ทำให้เธออดคิดมากไม่ได้จริงๆ
ประโยคนี้ เหมือนถูกถามเข้าไปในหัวใจ ธีทัตหยุดไปครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไร นำมือถือในมือวางลงข้างๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปข้างนอก
หนังสือสัญญาภาษาญี่ปุ่นนี้ มันไม่มีอยู่จริง เมื่อกี้พอได้ยินยายอัญมณีออกความคิดไม่ดีแบบนั้นให้ธิดา เขาจึงใจร้อนแล้วก็หาข้ออ้างนี้ขึ้นมาเฉยๆ
ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงแค่สามารถช่วยญาธิดาได้ เขาก็พอใจแล้ว
สองชั่วโมงหลังจากนั้น ญาธิดากำลังอยู่ในสำนักงานแก้ไขรายงานอยู่ของบริษัทอยู่ จู่ๆ ธีทัตก็ได้โทรศัพท์มา
ประโยคนี้ เหมือนถูกถามเข้าไปในหัวใจ ธีทัตหยุดไปครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไร นำมือถือในมือวางลงข้างๆ แล้วก้าวเท้าเดินไปข้างนอก
นึกถึงเรื่องสัญญาภาษาญี่ปุ่นที่พวกเขาคุยกันเมื่อตอนเที่ยง ญาธิดารับสายอย่างไม่สังเล
“ธิดา ตอนนี้คุณสะดวกไหม?ผมมีธุระออกไปข้างนอกมา ผ่านSTN Groupพอดี สัญญาภาษาญี่ปุ่นอยู่บนรถผมแล้ว สามารถส่งไปให้คุณได้เลย”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น ดวงตาเป็นประกาย รีบรับปากโดยไม่คิดอะไรมาก “ฉันว่างค่ะ ลงไปเอากับคุณได้ ”
น้ำเสียงอ่อนโยนของชายหนุ่มจากอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนปนไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ชัดเจนเล็กน้อย “ได้ ผมจะถึงแล้ว อีกสามนาทีคุณก็ลงมาชั้นล่างเลย”
ญาธิดาขยับริมฝีปาก ตอบรับเสียงเบาว่า “ได้ค่ะ ”
มองดูนาฬิกาแวบหนึ่ง ไม่นาน สามนาทีผ่านไป ญาธิดาเดินออกจากสำนักงาน ขึ้นลิฟต์ลงมาที่ห้องโถง
เดินผ่านห้องโถงบริษัท ที่ประตูใหญ่ ญาธิดาเห็นรูปร่างสูงใหญ่ใส่เสื้อสูทสีเทาเธอรู้สึกเบิกบานใจ รีบก้าวเท้าเดินไปทางนั้นทันที
ธีทัตหันหลังมาเห็นญาธิดา จึงเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที
หลังจากทั้งสองทักทายกันแล้ว ธีทัตยื่นซองเอกสารในมือไปทางเธอ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “ข้างในนี้มีทั้งหมดสี่ฉบับ คุณแปลหนึ่งฉบับก่อน จากนั้นถ่ายรูปส่งให้ผม ถ้าแปลได้ ค่อยแปลอีกสามฉบับที่เหลือให้หมด คิดราคาที่สองพันห้าร้อยบาทตค่อหนึ่งพันตัวอักษร”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แล้วเปิดหนังสือสัญญาในซองเอกสารดูคร่าวๆ ถามด้วยความประหลาดใจว่า “หนึ่งพันตัวอักษรสองพันห้าร้อยบาท มันสูงเกินไปไหม?”
แม้ว่าเธอจะไม่ได้ทำงานด้านแปลเอกสาร แต่เธอก็พอจะรู้ราคาคร่าวๆ ของธุรกิจแปลมาบ้าง และตอนนี้ธีทัตเสนอราคานี้ให้เธอ ถือว่าไม่เลวแล้ว
ธีทัตนั้นกระตุกริมฝีปากเล็กน้อย รอยยิ้มปรากฏขึ้น พูดโดยไม่กดดันเธอเลยแม้แต่น้อยว่า “วางใจเถอะ เป็นงบประมาณที่บริษัทจัดสรร คุณแปลตามหนังสือสัญญาตามที่ระบุก็พอ”
เห็นน้ำเสียงธีทัตเป็นปกติเช่นนี้ ไม่เหมือนกับว่าพูดมั่ว ญาธิดาลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก มือที่ถือซองเอกสารไว้กำแน่นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
ทุกวันนี้สำหรับเธอแล้ว หนังสือสัญญาพวกนี้ก็เป็นโอกาสในการหาเงิน เธอจะต้องหวงแหนไว้ดีๆ
ญาธิดารู้สึกอบอุ่นหัวใจ เงยหน้ามองไปทางธีทัต ยิ้มให้เขาแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากนะคะ”
“ขอบคุณอะไรกัน?หนูน้อย ”
มองดูญาธิดาที่ใบหน้ายิ้มแย้ม ธีทัตอ่อนปวกเปียกไปทั้งใจ อดไม่ได้ที่จะยื่นมือใหญ่ออกมาลูบไปที่หัวของเธอด้วยสายตาเอ็นดู
และฉากนี้ ตกอยู่ในเป้าสายตาของภวินท์ที่นั่งอยู่เบาะหลังรถที่อยู่ไม่ไกลออกไป