ดวงใจภวินท์ - บทที่ 188 ความอัปยศ
คำพูดลามกตรงๆ แบบนี้ออกมาจากปากของเขา ญาธิดาทั้งอายทั้งโกรธ สิ่งที่ตามมายังมีความรู้สึกร้อนวูบโดยไม่รู้ตัว
เธอสูดลมหายใจแรงๆ อดหายใจหอบไม่ได้ “ภวินท์ คุณหน้าไม่อาย!”
เห็นท่าทางหน้าบึ้งของเธอ ภวินท์ไม่รีบไม่ร้อน แต่กลับจงใจกดทับไปบนตัวเธอ ทำให้ร่างกายของทั้งสองแนบชิดกันมากยิ่งขึ้นไปอีกเล็กน้อย
ภวินท์ก้มหน้า กล่าวเสียงหนักแน่น “ปากกับใจไม่ตรงกัน”
พูดพลาง นิ้วมือของเขาล้วงลึกเข้าไปอีก ทันใดนั้น ญาธิดาตาค้าง ครางเสียงเสียวออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว
เธอมีเสียงออกมา สีหน้าแดงเป็นลูกตำลึงในพริบตา กัดริมฝีปากแน่น ทั้งอายทั้งโกรธ ใช้แรงขยับตัวไปมา “ภวินท์คุณปล่อยฉัน!ปล่อย!”
เธอโกรธมาก เวลานี้ถูกเขากระทำแบบนี้ เธอรู้สึกเหมือนถูกคนมัดแล้วย่างอยู่บนกองไฟ ไม่มีทางหนี และรู้สึกอายมาก!
แต่ไม่ว่าเธอจะดิ้นรนขัดขืนอย่างไร จะเตะต่อยก็แล้ว สำหรับภวิทร์แล้วก็เหมือนถูกแมวข่วนเช่นนั้น ไม่เจ็บไม่คัน
แต่ภายใต้ร่างกาย รู้สึกเหมือนเขาถูกไฟแผดเผา ทั้งร้อนทั้งแสบ ไฟในใจลุกโชกโชน
“หน้าไม่อาย!คนเลว!”
ญาธิดาโกรธจนอดที่จะด่าไม่ได้ แต่ว่าภวินท์นั้นกลับไม่โกรธแต่ยิ้มจนมุมปากโค้งขึ้น น้ำเสียงแหบแห้ง มองดูหญิงสาวโกรธจนใบหน้าเล็กแดงก่ำ เขาไม่พูดพร่ำจูบลงไปทันที
ไล่จูบไปทั่ว จูบผ่านแก้มของเธอ และไปปิดริมฝีปากเธอ ทำให้คำบ่นอุบอิบทั้งหมดของเธอกลายเป็นเสียงคราง
อุณหภูมิในสำนักงานยิ่งอยู่ยิ่งสูงขึ้น ญาธิดารู้สึกเพียงว่าตัวเองเหมือนถูกวางยาให้เหงื่อออก หัวสมองค่อยๆ ไม่ฟังการควบคุม มือของเธอกอดไปที่คอของภวินท์โดยไม่รู้ตัว ร่างกายขยับไปมาเบาๆ ………..
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แรงกระตุ้นทั้งหมดจางหายไป ร่างกายญาธิดาอ่อนระทวย พิงอยู่หน้าโต๊ะ หายใจยาวๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้เป็นเหมือนความฝัน ตื่นเต้นและชวนฝัน แต่เข้มข้นและเต็มตา
แต่สติค่อยๆ กลับคืนมา เธออดไม่ได้ที่จะด่าตัวเอง ทั้งๆ ที่เธอกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแล้ว ปรากฏว่ายัง……..
ชายหนุ่มที่อยู่ข้างๆ เก็บเอกสารที่ตกกระจัดกระจายเต็มพื้นขึ้นมา แล้ววางกลับไปบนโต๊ะ ชุดสูทสีดำเผยให้เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเขา ยกเว้นดวงตาคู่นั้นที่อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย นอกนั้นไม่มีอะไรที่ไม่เหมือนเขาเมื่อกี้นี้
เห็นใบหน้าแดงก่ำปนความลำบากใจเล็กน้อยของหญิงสาวแล้ว ภวินท์น้ำเสียงแหบแห้งกล่าวเรียบๆ ว่า “ขอผมคุยโทรศัพท์ก่อน แล้วจะส่งคุณกลับบ้าน”
เวลานี้ เขาควรจะให้เวลาส่วนตัวกับเธอบ้าง
หลังจากจ้องมองเธออยู่แวบหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า “ผมออกไปรอคุณอยู่ข้างนอก”
พูดจบ ขายาวของเขาก้าวจากไป ก้าวเดินออกไปจากสำนักงาน
ทันทีที่ประตูห้องถูกปิดลงเบาๆ ญาธิดาก็รู้สึกโล่งอก อารมณ์ร้อนในร่างกายยังจางหายไม่หมด ญาธิดาค่อยๆ ลุกขึ้น จัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง มองดูโต๊ะทำงานที่กระจัดกระจาย ตัวแข็งทื่อ
เขาคนเมื่อกี้ ราวกับจะกลืนกินเธอเช่นนั้น
เธอกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกอายมาก ยื่นมือออกมาเก็บโต๊ะทันที เมื่อหยิบสิ่งของแล้ว จึงเดินออกมาหน้าประตูอย่างลังเล
เมื่อกี้เกิดเรื่องแบบนั้น ตอนนี้เธอรู้สึกอายอย่างไร้ที่เปรียบที่ต้องเผชิญหน้ากับภวินท์อีกครั้ง
ถ้าหากตอนนี้เธอสามารถมุดเข้าไปในดินหรือหลบหนีไปจะดีขนาดไหน?
ความคิดนี้ผ่านเข้ามาในหัวสมองของเธอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ค่อยเปิดประตูห้องออก ภวินท์ยืนอยู่ที่ไม่ไกลออกไป กำลังหันหลังให้เธอคุยโทรศัพท์อยู่
ญาธิดากัดริมฝีปากแน่น ลังเลอยู่เพียงครู่เดียว ก็รีบตัดสินใจ ก้าวเท้ารีบวิ่งไปอีกด้านหนึ่ง
เธอยอมที่จะกลับบ้านคนเดียว ก็ไม่อยากจะเผชิญหน้ากับภวินท์อีก แบบนั้นมันน่าอายมาก!
เวลานี้ ภวินท์กำลังฟังการรายงานจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เขาขมวดคิ้ว ตอบกลับเสียงเย็นชา “แผนการรัดกุมขนาดนั้น ยังทำให้เขาหนีไปได้หรือ ?”
คนทางนั้นไม่รู้จะพูดอะไร สีหน้าของเขามืดมน ในตามีแววหมดความอดทน กล่าวเสียงเย็นชาว่า “แค่นี้แหละ”
เก็บมือถือลง ในใจของเขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
ตอนนี้คณะกรรมการกับเหล่าหุ้นส่วนกดดันอย่างหนัก ขอตรวจสอบการเงินของบริษัท แต่ทางนั้นยังจับมาร์ตินไม่ได้สักที เฒ่าจิ้งจอกคนนี้ลื่นเหมือนปลาหลด หนีพ้นจากน้ำมือเขาไปได้หลายครั้ง เจ้าเล่ห์จริงๆ !
เขาขมวดคิ้ว เก็บมือถือแล้วหันหลังไปเห็นประตูสำนักงานที่ปิดอยู่ มีความรู้สึกไม่สบายใจผ่านเข้ามาในหัวใจทันที
เขาก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเดินไปถึงประตู เห็นห้องที่ว่างเปล่าไม่มีคน สีหน้าหม่นหมองลง
หันหลังมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเงาของหญิงสาว!
เธอหนีไปแล้ว!
เขาบอกแล้วว่าแค่จะส่งเธอกลับบ้านเท่านั้น เธอยังคิดว่าเขาจะทำอะไรอีกหรือ?
ความหงุดหงิดในใจทวีขึ้นเล็กน้อย ภวินท์กัดริมฝีปาก แล้วก้าวเท้าเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่ช้าก็เร็ว เขาจะทำให้ผู้หญิงดื้อรั้งคนนี้ไม่กล้าแม้แต่จะทิ้งเขาไป !
อีกฝั่ง ญาธิดาหายใจหอบวิ่งออกจากบริษัท โบกรถคันหนึ่ง แล้วขึ้นรถไปอย่างเร่งรีบ
ลุงคนขับรถเห็นเธอท่าทางตกใจ จึงรีบหันหลังมองไปทางนอกกระจก แล้วถามด้วยความห่วงใยว่า “คุณ เป็นอะไรหรือ?ถูกคนลวนลามหรือ?”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าทันที “โชเฟอร์ รบกวนช่วยรีบออกรถหน่อยค่ะ”
“ได้ นั่งดีๆ นะ!” เมื่อลุงคนขับรถได้ยินเช่นนั้น ความยุติธรรมผุดขึ้นมาในใจทันที ตอบรับหนึ่งคำแล้วเหยียบคันเร่งลงไป
ญาธิดามองเห็นประตูใหญ่ยิ่งอยู่ยิ่งเล็กลงจากกระจกมองหลัง หัวใจตุ้มๆ ต่อมๆที่แขวนอยู่กลางอากาศค่อยๆ วางใจลง
เมื่อรถขับออกมาบนถนนแล้ว ค่อยๆ ขับไปข้างหน้านิ่งๆ ญาธิดานั่งอยู่เบาะหลัง มีอาการเหม่อลอยเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อกี้
เธอเองก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีความสัมพันธ์กับภวินท์ในสถานการณ์เช่นนั้น……..
หลังจากได้สติแล้ว เมื่อนึกถึงว่าวันนี้นิวรายังนำซุปมาให้เธออยู่ ทันใดนั้น ความเสียใจและความรู้สึกผิดก็ปกคลุมจิตใจของเธอ
ในตอนแรกเธอรู้สึกว่าภวินท์ผิดต่อนิวรามามากพอแล้ว แต่ตอนนี้ เธอเองก็กลายเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน
เธอประสานมือไว้ด้วยกัน รู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ และก็โกรธการกระทำของตัวเองมาก ทั้งหมดที่ทำ เธอเสียใจมาก
ในทุกสุด รถก็ได้ขับมาถึงประตูชุมชน ญาธิดาจ่ายเงินแล้วลงจากรถมาอย่างขวัญหนีดีฝ่อ
คิดไปคิดมา ในที่สุดเธอก็คิดได้หนึ่งวิธี นั้นก็คือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจะต้องรักษาระยะห่างกับภวินท์ จะพัวพันกับเขาไม่เลิกเหมือนตอนนี้ไม่ได้อีกแล้ว!
ค่ำคืน ญาธิดานอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียง ในหัวสมองคิดแต่ว่าจะต้องรักษาระยะห่างกับภวินท์ ประโยคนี้เหมือนเป็นคำสอนของศาสนาที่คอยเตือนใจเธออยู่ตลอดเวลา
บางที สำหรับภวินท์แล้ว เธอกับแพรวาไม่แตกต่างไปจากผู้หญิงคนอื่นๆ ของเขา เมื่อมีความต้องการก็สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่คำนึงถึงโอกาสและสถานที่ แม้แต่ในสำนักงาน แต่ว่าเธอไม่อาจทนเห็นตัวเองกลายเป็นผู้หญิงแบบนี้
เธอยิ่งคิดยิ่งไม่สมควร สุดท้ายแล้ว เธอก็นอนไม่หลับ
พลิกไปพลิกมาไม่รู้ผ่านไปกี่ชั่วโมง เธอจึงปิดตาลงหลับสนิทไปโดยไม่รู้ตัว
ผลของการนอนไม่หลับก็คือการมาสาย เช้าวันรุ่งขึ้น ญาธิดามาถึงบริษัทด้วยความเร่งรีบ ตอกบัตรในวินาทีสุดท้าย ถือว่าไม่ได้มาสาย มิเช่นนั้นก็จะถูกหักเงินเดือนแล้ว
ตอนแรกสภาพของเธอรู้สึกเฉื่อยๆ เล็กน้อย แต่เมื่อนึกถึงพ่อที่นอนอยู่บนเตียงรอทำการผ่าตัดอยู่ ทันใดนั้นญาธิดาก็เต็มไปด้วยเลือดไก่เช่นนั้น ทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีไปกับงาน
กว่าจะรู้ตัว ราวกับ “เฟี้ยว” ทันใดนั้น ได้ผ่านไปครึ่งวันแล้ว
ญาธิดาหมกมุ่นอยู่กับการทำงาน เลยไม่ได้รู้สึกว่าท้องตัวเองร้องจ๊อกๆ แล้ว
จนกระทั่งเสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงผลักประตูออก ชมพู่ยื่นหัวเข้ามาดู ขยิบตาให้เธอแล้วพูดขึ้นว่า “ธิดา กินข้าวกัน!”
เมื่อญาธิดาได้ยินเช่นนั้น เงยหน้ามองเวลาแวบหนึ่ง จึงพบว่าเลยเวลาเลิกงานมายี่สิบกว่านาทีแล้ว