ดวงใจภวินท์ - บทที่ 20 หัวข้อต้องห้าม
ญาธิดาครุ่นคิดอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถคิดไอเดียดีๆ ออกมาได้
แต่อย่างไรก็ตาม วันเกิดของดร.ยติภัทรเป็นวันสำคัญ ในเมื่อเธอและภวินท์จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ครอบครัวจะออกไปทานอาหารเย็นด้วยกันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่
คงจะดีกว่าถ้าพูดกับภวินท์ให้ชัดเจน และขอความเห็นจากเขา
หลังจากตัดสินใจได้ ญาธิดาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หลังจากที่ภาระในใจของเธอเบาลงแล้ว ก็ผล็อยหลับไป
มาเจอภวินท์อีกครั้ง ก็เป็นช่วงบ่ายวันถัดไป ญาธิดาอยู่ในห้องจนรู้สึกเบื่อ เมื่อได้ยินเสียงรถมาจากหน้าต่าง เธอก็มองไปที่หน้าต่าง เห็นรถที่คุ้นเคยขับเข้ามา
สักพักก็มีเสียงเปิดประตูทางห้องหนังสือที่ทางเดินชั้น 2 ญาธิดาผลักประตูแล้วเดินออกจากห้องนอนทันที เมื่อเดินมาถึงบันไดก็เห็นป้าจันทร์ยกน้ำชาที่เพิ่งชงมาใหม่ๆ ขึ้นมา
ญาธิดาถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ป้าจันทร์ ภวินท์กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ คุณชายเพิ่งกลับมา แต่ดูเหมือนเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก สีหน้าเขาไม่ค่อยดีนัก”
“เหรอคะ?”
ญาธิดารู้สึกประหม่าขึ้นทันที เธอรอให้ภวินท์กลับมาและวางแผนที่จะบอกเขาเกี่ยวกับวันเกิดของพ่อเธอในวันพรุ่งนี้ แต่ดันเป็นช่วงเวลาที่เขาอารมณ์ไม่ดี
ป้าจันทร์ถามด้วยความสงสัย “เป็นอะไรไปคะคุณนาย มีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ” ญาธิดาพูด เหลือบมองที่ถาดในมือของเธอ และเอื้อมมือไปหยิบอย่างรวดเร็ว “ป้าจันทร์คะ เรื่องชาเดี๋ยวฉันจัดการเองค่ะ ฉันไปส่งให้”
“ได้ค่ะ งั้นระวังด้วยนะคะ”
เมื่อรับถาด ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือทันที
ยังไงเรื่องนี้ก็รอช้าไม่ได้แล้ว คุณหญิงปภาวีจองโรงแรมสำหรับทานอาหารเย็นไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว ส่งที่อยู่และเวลาให้เธอแล้วด้วย ถ้าเธอจัดการทางนี้ไม่สำเร็จ คงโดนคุณหญิงปภาวีดุแน่ๆ
เมื่อเดินไปที่ประตู ญาธิดาก็ปล่อยมือข้างหนึ่ง ยกมือขึ้นแล้วเคาะประตู
“เข้ามา”
เมื่อได้ยินเสียงเย็นชาของชายที่อยู่ข้างใน ญาธิดาก็รวบรวมความกล้าเพื่อดันประตูเข้าไป
ภวินท์กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะ จ้องมองที่คอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง ใบหน้าของเขาเย็นชากว่าปกติเล็กน้อย
ญาธิดาเดินไปที่โต๊ะพร้อมกับชาและพูดเบาๆ ว่า “นี่คือชาที่ป้าจันทร์เพิ่งชง ฉันจะนำมาให้คุณค่ะ”
“อืม”
ภวินท์ตอบเบาๆ โดยไม่เงยหน้าขึ้น
ญาธิดาหยุดความคิด และหยิบกาน้ำชาและรินชาให้เขา แล้วถามว่า “วันนี้……เหนื่อยจากการทำงานมากเลยใช่ไหมคะ?”
“นิดหน่อยน่ะ” ภวินท์พูดและเงยหน้าขึ้นมองเธอ น้ำเสียงของเขาก็อ่อนลงเล็กน้อย “แผลที่คอทำใหม่แล้วรึยัง?”
“เอ่อ…ทำแล้วค่ะ”
ความห่วงใยอย่างกะทันหันของชายผู้นี้ทำให้จังหวะของญาธิดาหยุดชะงัก “คือ……”
ภวินท์มองไปที่เธอ “มีอะไรอีกรึเปล่า?”
ญาธิดาฝืนยิ้มและถามอย่างเป็นกันเองว่า “ก็ไม่มีอะไรค่ะ ฉันแค่อยากคุยกับคุณ ฉันอยู่ที่นี่มาสองสามวันแล้วและยังไม่ได้เจอพ่อแม่คุณเลย จริงๆ แล้ว ฉันอยากรู้เกี่ยวกับพ่อแม่คุณ……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอพบว่าสีหน้าของภวินท์เข้มลงอย่างกะทันหัน และเธอก็หยุดพูดหลังจากรู้ตัว
เธอรู้สึกผิดอย่างอธิบายไม่ถูก และสงสัยว่า “ฉัน……ฉันพูดอะไรผิดรึเปล่าคะ?”
ใบหน้าของภวินท์จริงจังขึ้นมา ดวงตาของเขาเย็นชา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะอดกลั้นอะไรบางอย่างไว้ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยืนขึ้น จ้องไปที่ญาธิดาอย่างราบเรียบ และพูดอย่างเคร่งขรึม “ญาธิดา คุณว่างมากเกินไปรึเปล่า?”
ประโยคนี้มีน้ำหนักเล็กน้อย ญาธิดาตกตะลึง พูดอะไรไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
“ฉัน……”
ภวินท์ขมวดคิ้ว เดินเข้าหาเธอครึ่งก้าวแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะเอาพลังงานของผมไปสนใจกับเรื่องงาน สนใจเกี่ยวกับวิธีกำจัดเรื่องซุบซิบในบริษัท แทนที่จะสนใจเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเหล่านี้!”
คำพูดทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ ภวินท์มองลึกไปที่เธอ และเดินไปที่ประตูด้วยก้าวใหญ่
ญาธิดายืนอยู่ตรงนั้น จิตใจของเธอว่างเปล่า เธอไม่เคยคิดว่าเขาจะโกรธมากขนาดนี้ เธอแค่พูดถึงพ่อแม่ของภวินท์ ทำไมเขาต้องโกรธขนาดนี้
และยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่ของเขาก็ถือเป็นพ่อแม่ของเธอ เป็นเรื่องปกติที่เธอจะอยากรู้ แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับเธอได้อย่างไร?
เป็นไปได้ไหมที่ภวินท์ไม่เคยปฏิบัติต่อเธอในฐานะสมาชิกในครอบครัว?
เมื่อความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว ญาธิดาก็รู้สึกปวดใจ และผิดหวังเล็กน้อย
แม้ว่าในตอนเริ่มต้น เธอและภวินท์จดทะเบียนสมรส ก็ไม่ได้ตั้งใจจะขอให้เขามาสนใจอะไรเธอมากนัก แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าระหว่างพวกเขากับคนแปลกหน้ามันแตกต่างตรงไหน?
ญาธิดารู้สึกอึดอัดและเสียใจ และเมื่อเธอได้ยินเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์และรถออกไป เธอก็ค่อยๆ เดินออกจากห้องไป
ป้าจันทร์รีบเข้าไปถาม “คุณนายน้อย เกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมจู่ๆ คุณชายน้อยออกไปกะทันหันแบบนั้น?”
ญาธิดากุมมือทั้งสองข้างไว้ด้วยกัน ก้มหน้าลงแล้วพูดเสียงเบส “ป้าจันทร์คะ ดูเหมือนฉันจะทำให้เขาโกรธอีกแล้ว”
“เกิด……เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามซ้ำๆ ของป้าจันทร์ ญาธิดาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดถึงสถานการณ์เมื่อครู่ เมื่อเธอได้ยินเรื่องเกี่ยวกับพ่อแม่ของภวินท์ สีหน้าของป้าจันทร์ก็เปลี่ยนไป
“คุณนาย คุณไม่รู้เรื่องนี้เหรอคะ! กับคุณชาย เรื่องแม่ของเขาเป็นหัวข้อต้องห้ามค่ะ!”
ญาธิดาตกตะลึง “อะไรนะคะ? หัวข้อต้องห้าม!”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้ยินว่าพ่อแม่เป็นหัวข้อต้องห้าม!
“นี่! คุณไม่รู้หรอก ว่าคุณผู้หญิงมีชีวิตที่ยากลำบาก และจากไปเมื่อคุณชายอายุ 20 ปี คุณผู้หญิงเสียชีวิตด้วยอาการป่วย ก่อนเสียชีวิตเธอต้องการพบคุณท่าน แต่คุณท่านติดงานราชการ กลับมาไม่ได้ นับแต่นั้น คุณชายกับคุณท่านจึงมีช่องว่างระหว่างกัน……”
ป้าจันทร์ถอนหายใจและพูดต่อ “ปกติคุณชายกับคุณท่านก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ และเขาไม่ต้องการให้คนอื่นพูดถึงพ่อแม่ของเขา ดังนั้น……”
ญาธิดาอยู่ข้างๆ ฟังป้าจันทร์พูดออกมามากมาย จากนั้นเธอก็เข้าใจว่าทำไม ภวินท์ถึงมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้
“แล้ว……ฉันต้องทำยังไงคะ?”
ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเชิญพ่อแม่ของภวินท์ไปงานวันเกิดพ่อของเธอเลย เมื่อล่วงเกินถึงข้อห้ามของเขา แค่จะสงบความโกรธของภวินท์ก็เป็นเรื่องยาก
ป้าจันทร์เกลี้ยกล่อมเบาๆ “โถ่ คุณนาย อย่าโทษตัวเองมากเกินไปเลยค่ะ คนไม่รู้ย่อมไม่ผิดนะคะ รอให้ความโกรธของคุณชายสงบลง ก็ไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
ถึงจะพูดแบบนั้น ญาธิดาก็รู้สึกเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ในใจเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามว่า “ป้าจันทร์ สอนฉันหน่อย ฉันจะขอโทษเขาได้ยังไงดี ฉันไม่ได้ตั้งใจจริงๆ……”
“คุณชายชอบกินซุปปลิงทะเลตุ๋นซี่โครงหมูฝีมือป้า ป้าจะสอนคุณทำเอง คุณต้มให้เขากินดีไหม?”
ดวงตาของญาธิดาเป็นประกายและพูดทันทีว่า “ดีค่ะ!”
แทนที่จะเอ่ยขอโทษ เป็นการดีกว่าที่จะทำอะไรให้เขาด้วยฝีมือของตัวเอง
เมื่อตกลงกับป้าจันทร์เสร็จ ญาธิดาก็ตามเธอเข้าไปในครัวทันทีและเริ่มเรียนรู้วิธีตุ๋นซุป
หลังจากไปๆ มาๆ ในครัวเป็นเวลากว่าสองชั่วโมง ในที่สุดญาธิดาก็เข้าใจกุญแจของซุปซี่โครงหมูสูตรลับของป้าจันทร์
เช้าวันรุ่งขึ้น ญาธิดาลุกขึ้นและรีบไปที่ห้องครัว หลังจากได้รับซี่โครงหมูสดที่ป้าจันทร์เพิ่งซื้อมา เธอก็เริ่มเคี่ยวซุป
เธอคิดดูแล้ว หลังจากเคี่ยวซุปซี่โครงหมูแล้ว เธอก็จะส่งไปที่บริษัท แบบนี้ ภวินท์คงจะหายโกรธหลังจากกินซุปนี้ และสามารถไปงานเลี้ยงวันเกิดของพ่อเธอด้วยกันได้ในตอนเย็น
แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่อยู่ที่นั่น แต่เธอก็พอใจที่เขาสามารถอยู่ที่นั่นได้