ดวงใจภวินท์ - บทที่ 212 วิธีการขอโทษแบบเด็กๆ
ญาธิดาก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าเงยหน้าอีก เธอหยิบปากกาข้างๆ ขึ้นมา เริ่มวาดรูปบนกระดาษอย่างลุกลี้ลุกลน ซ่อนความตื่นตระหนกของเธอ
ผ่านไปนานสักพัก ได้ยินภวินท์เอ่ยมอบหมายงาน ญาธิดาถึงได้โล่งใจ
การจัดประชุมครั้งนี้ ทำให้เธอขวัญหนีดีฝ่อ
การประชุมดำเนินมาเกินกว่าครึ่งแล้ว ญาธิดาค่อยๆ ผ่อนคลาย เหลือบมองกระดาษโน้ตข้างๆ เธอรู้สึกค่อนข้างเบื่อ หยิบปากกาขึ้นมาวาดสเก็ตช์ลูกแมวบนนั้น
ดูไปดูมา เธอก็หยิบปากกาขึ้นมาเขียนหนึ่งประโยค “อย่าโกรธนะ~”
นี่คือการ์ตูนที่เขียนตามอารมณ์ซึ่งเธอบังเอิญเห็นในโทรศัพท์ รู้สึกน่าสนใจดี จึงวาดหลายๆ ภาพที่จำมาจากความทรงจำ แล้วหยุดลงอย่างอารมณ์ค้าง
เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง การประชุมก็ดำเนินมาถึงจุดจบแล้ว
ภวินท์เอ่ยสั่งพายุ “รับหนังสือรายงานของแต่ละแผนกมา”
พายุได้ยินดังนั้น ก็พยักหน้าตอบรับ
ญาธิดาเงยหน้าขึ้น เห็นพายุเดินมาหาเธอ เธอรีบปิดหนังสือรายงานแล้วยื่นมือส่งไป
ดูเหมือนว่าเพราะการประชุมสิ้นสุดลงแล้ว ทุกคนผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง จึงฉวยโอกาสตอนว่างคุยกันเบาๆ ไม่กี่ประโยค
ในเวลานี้ พี่แนนก็เข้ามาใกล้ มองญาธิดาแล้วกดเสียงต่ำพูดขึ้น “วันนี้รายงานได้ไม่เลวเลย”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็ยกมุมปากอย่างเขินอาย ตอบกลับเบาๆ “เพราะพี่แนนสอนมาดีค่ะ”
ตำแหน่งหลักของโต๊ะประชุม ภวินท์เงยหน้าขึ้นเห็นญาธิดามีรอยยิ้มบนใบหน้า ยิ้มอย่างสดใส เขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
เมื่อวานเธอตบเขา วันนี้ยังพูดคุยหัวเราะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขายับยั้งความไม่พอใจในดวงตา ยื่นมือรับหนังสือรายงานกองหนึ่งที่พายุส่งมา หยิบขึ้นมาพลิกไปมา
เมื่อครู่นี้ฟังรายงานของแต่ละแผนก เขามีแผนในใจอยู่แล้ว ตอนนี้อ่านอีกสักรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นและข้อผิดพลาด
หลังจากพลิกดูรายงานไปหลายฉบับ เขากวาดตามอง เห็นผู้จัดรายงานคือ “ญาธิดา” อย่างชัดเจนบนหนังสือรายงานแผนกธุรการ สายตาเขาหนักอึ้ง หยิบเอกสารฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน
เพิ่งเปิดมัน สิ่งแรกที่สะดุดตาคือกระดาษโน้ตใบหนึ่ง บนนั้นสเก็ตช์การ์ตูนลูกแมวด้วยปากกาสีดำ มีประโยคหนึ่งข้างๆ —— “อย่าโกรธนะ~”
ดวงตาดำสนิทของภวินท์หยุดนิ่งทันที ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็ขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
นี่เธอทำบ้าอะไร?
ขอโทษเขาด้วยวิธีนี้? นี่มันไม่เด็กไปหน่อยเหรอ แล้วประโยคขอโทษงี่เง่าอย่างชัดเจนนั่นมันอะไรกัน?
สองวินาทีต่อมา เขายกมือขึ้นพลิกเอกสารต่อ พลิกไปไม่กี่ที ก็วางหนังสือรายงานฉบับนั้นลง
เมื่อครู่นี้ฟังรายงานของแต่ละแผนก เขามีแผนในใจอยู่แล้ว ตอนนี้อ่านอีกสักรอบ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรตกหล่นและข้อผิดพลาด
เขาเงยหน้า สายตาหนักอึ้ง มีความเย็นยะเยือก กวาดตามองทุกคน
ถูกเขามองเช่นนี้ ทุกคนนึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็ประหม่าขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าหายใจแรงด้วย
“หนังสือรายงานของบางแผนก ไม่มีความจริงใจอะไรเลย”
เมื่อพูดประโยคนี้จบ ภวินท์ก็ลุกขึ้น เดินไปข้างนอกด้วยใบหน้าเย็นชา
พายุชะงัก รีบหยิบหนังสือรายงานบนโต๊ะขึ้นมาทันที แล้วพูดว่า “จบการประชุม” แล้วรีบเดินตามออกไปอย่างรวดเร็ว
คนในห้อง ต่างมองหน้ากัน
ไม่มีใครคาดคิดว่าตอนประชุมจบแล้ว จู่ๆ ภวินท์ก็โกรธ
“เกิดอะไรขึ้นอ่า?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ……”
“……”
เสียงบทสนทนาต่างๆ ผสมกันไป เสียงยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ญาธิดาก็ค่อนข้างงุนงง มองดูรอบๆ แล้วมองพี่แนนอีกครั้ง เอ่ยปากถามขึ้น “พี่แนน เกิดอะไรขึ้นคะ?”
พี่แนนยักไหล่ “อาจจะเป็นเพราะหนังสือรายงานแผนกไหนสักแผนกทำไม่ได้มาตรฐานล่ะมั้ง”
ญาธิดาได้ยินดังนั้น ก็ไม่ได้คิดมาก เก็บของแล้วก็ตามพี่แนนกลับไปที่แผนกธุรการ
“คุณภวินท์ เกิดอะไรขึ้นครับ?”
พายุเดินตามภวินท์กลับมาถึงสำนักงานCEO แล้วเอ่ยถามอย่างหยั่งเชิง
ภวินท์ไม่พูดอะไร เงยหน้าขึ้นมองหนังสือรายงานกองหนึ่งที่เขาถืออยู่ แล้วเชิดคางเล็กน้อย “เอามา”
พายุส่งไปทันที
“นายไปเถอะ” มองเอกสารตรงหน้า แล้วภวินท์ก็สั่งอย่างเย็นชา
“ครับ”
เมื่อพายุไปแล้ว ประตูห้องปิดลง ภวินท์ก็หยิบหนังสือรายงานฉบับนั้นของญาธิดาขึ้นมาเปิดดูอีกครั้ง
บนกระดาษโน้ตสีเหลือง ลูกแมวตัวนั้นวาดได้ธรรมดา น่าเกลียดน่าชัง ดูทึ่มมาก
เหมือนเธอมากจริงๆ
ในหัวสมองผุดความคิดนี้ขึ้นมา ภวินท์ยกมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ดึงกระดาษโน้ตออกมาติดบนที่ใส่ปากกาข้างๆ คอมพิวเตอร์
ไม่รู้ทำไม เห็นลูกแมวตัวนี้ ความโกรธเขาก็หายไปบางส่วนจริงๆ
หลังจากยุ่งมาทั้งวันแล้ว ญาธิดาก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ
เสร็จงานต่างๆ ในบ่ายวันศุกร์ ก็หมายความว่าเธอจะได้ใช้ชีวิตสุดสัปดาห์ที่สะดวกสบาย
ในช่วงเวลานี้ เธอไม่ทำงานล่วงเวลาก็รับโครงการมา หมุนไม่หยุดเหมือนลูกข่าง ยากที่จะผ่อนคลาย
รอถึงพรุ่งนี้ เธอจะไปหาดร.ยติภัทรและปภาวีที่โรงพยาบาล ติดต่อคุณหมอเธียรชัยอีกครั้ง เพื่อปรึกษาเวลาที่แน่นอนในการผ่าตัด
ถึงแม้เงินค่าผ่าตัดยังไม่เพียงพอ แต่จะยืดเยื้อการผ่าตัดของคุณพ่อไม่ได้อีกต่อไป นัดเวลาผ่าตัดให้แน่นอนก่อน เงินที่เหลือเธอค่อยหาทางไปเก็บเพิ่ม
กลับมาถึงคอนโด ญาธิดาอาบน้ำร้อนเสร็จ กำลังเช็ดศีรษะเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นหน้าจอโทรศัพท์กะพริบที่ปลายเตียงไม่หยุด
เธอเดินไป หยิบโทรศัพท์มาดู ไม่คิดว่าคุณย่าจะโทรมา
นึกถึงช่วงเวลาครั้งล่าสุดที่เธอได้เจอคุณย่า มันก็ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว
ตอนนี้จู่ๆ หล่อนโทรหาเธอ หรือว่ามีเรื่องอะไร?
ญาธิดาไม่กล้าละเลย รีบรับโทรศัพท์ทันที “ฮัลโหล? คุณย่า?”
“เฮ้ ธิดา ย่าเอง ช่วงนี้เธอสบายดีไหม?”
ได้ยินเสียงคุ้นเคย ญาธิดาก็ยกมุมปาก แล้วถามขึ้น “สบายดีมากค่ะ คุณย่าล่ะคะ?”
เมื่อเธอถามแบบนี้ ปลายสายก็ชะงักทันที คุณย่าไม่พูดอะไร แต่ถอนหายใจยาวเหยียด
ญาธิดาได้ยินดังนั้นก็รีบซักถาม “คุณย่า คุณเป็นอะไรคะ?”
“ไม่มีอะไร ช่วงนี้สุขภาพย่าไม่ค่อยดีเลย ให้หมอดูแลมาช่วงหนึ่ง เพิ่งจะดีขึ้น”
ญาธิดาประหลาดใจเล็กน้อย “ตอนนี้น่าจะดีขึ้นมาแล้วใช่ไหมคะ? เรื่องนี้……ฉันไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
“เฮ้อ ย่าไม่ให้วินบอกเธอเอง ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว ย่าอยู่สถานพักฟื้นมาช่วงหนึ่ง นี่เพิ่งกลับมา ธิดา พรุ่งนี้เธอมีเวลาไหม? ย่าอยากออกไปสูดอากาศ ไปเดินเล่นที่สวนนิเวศน์ เธอไปกับย่าได้ไหม?”
ได้ยินคุณย่าพูดแบบนี้ ญาธิดาก็กัดปาก ลังเลนิดหน่อย
เดิมทีแล้วพรุ่งนี้เธออยากไปหาดร.ยติภัทรและปภาวีที่โรงพยาบาล แต่ก็ปฏิเสธคุณย่าไม่ลง
เห็นเธอไม่พูดอะไร ทางด้านคุณย่าก็รู้สึกได้อย่างรวดเร็ว เอ่ยสอบถาม “ธิดาเธอไม่ค่อยสะดวกใช่ไหม”
ญาธิดาได้สติกลับมา กำลังลังเล นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน จิตใจก็หนักอึ้งอีกครั้ง
เมื่อวานเธอตบภวินท์ เดิมทีติดหนี้เขาอยู่ ตอนนี้คุณย่าอยากพบเธอ เธอจะปฏิเสธได้อย่างไรล่ะ?
ช่างเถอะ ตกลงไปดีกว่า ถือว่าตอบแทนน้ำใจภวินท์
“คุณย่า ฉันว่างค่ะ พรุ่งนี้เหมือนอากาศจะดีมาก เหมาะกับการออกไปเที่ยว เรานัดเวลากับสถานที่กันเถอะค่ะ”
ทางด้านคุณย่าได้ยินญาธิดาตอบตกลง ก็ร่าเริงแจ่มใสทันที ในเสียงมีรอยยิ้ม “ได้ๆๆ งั้นเก้าโมงเช้า เราเจอกันที่ประตูใหญ่ทางเข้าสวนนิเวศน์นะ”
“ได้ค่ะ”
ญาธิดาวางสายไป อารมณ์ค่อนข้างซับซ้อน
เดิมทีแล้วตัดสินใจจะออกห่างกับภวินท์และตระกูลสถิรานนท์ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันทำได้ยากมาก
ไปเจอคุณย่าในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการชดใช้ให้ภวินท์แล้วกัน