ดวงใจภวินท์ - บทที่ 23 ฉันจะไปกับคุณ
โดยไม่ต้องรอให้ญาธิดาไขข้อสงสัย คุณหญิงปภาวีที่อยู่ด้านข้างเห็นภวินท์ ก็ต้อนรับเขาทันที “วิน! ในที่สุดคุณก็มาถึง! เรารอคุณมานานแล้ว! มาๆ เข้ามา!”
ใบหน้าของภวินท์อ่อนโยน เขาก้าวไปข้างหน้า วางกล่องของขวัญในมือลงแล้วพูดเบาๆ “พ่อครับ แม่ครับ เพราะเรื่องงานนิดหน่อย ผมเลยมาสาย”
เมื่อดร.ยติภัทรได้ยินคำพูดนั้น เขาก็โบกมืออย่างรวดเร็ว ก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงเขาให้นั่งข้างๆ “ไม่เป็นไร เราเพิ่งมาถึงไม่นานนี้เอง”
“แล้ว……ทำไมครอบครัวไม่มาด้วยล่ะ?” คุณหญิงปภาวีมองออกไปนอกประตูและไม่เห็นใครมาเลย เธอถามด้วยความสงสัย
ญาธิดาที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแม่ของเธอถามเรื่องนี้ และนึกถึงสิ่งที่ป้าจันทร์พูดกับเธอในทันที หัวใจของเธอก็ตึงเครียดขึ้นมาทันที
แต่ใครจะรู้ว่าใบหน้าของภวินท์เป็นปกติ เขาอธิบายอย่างใจเย็นว่า “พ่อของผมมีธุระไปต่างประเทศ ช่วงนี้เลยไม่ได้อยู่ในประเทศเลย ส่วนแม่ของผมเสียชีวิตเมื่อตอนผมอายุ 20 ครับ ยังมีคุณย่าอีกคน พ่อก็เคยพบใช่ไหมครับ? ท่านร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ผมเลยไม่ได้ให้ท่านมา”
ภวินท์พูดทุกอย่างอย่างตรงไปตรงมาอย่างไม่คาดคิด
ที่ด้านทางคุณหญิงปภาวีและดร.ยติภัทรเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ในใจของพวกเขาก็ได้ข้อสรุปในทันที
คุณหญิงปภาวีกลัวบรรยากาศจะอึดอัด จึงรีบยิ้มและพูดว่า “เป็นแบบนี้เอง ในเมื่อวันนี้ลูกมาแล้ว น้ำใจของลูกเราได้รับแล้ว รีบนั่งลงเถอะ เดี๋ยวแม่ให้พนักงานนำอาหารมาเลย”
ภวินท์พยักหน้า หยิบกล่องข้างๆ แล้วยื่นให้ดร.ยติภัทร “พ่อครับ พ่อชอบเล่นหมากรุกใช่ไหมครับ วันนี้ผมหาชุดหมากรุกมาให้พ่อเป็นพิเศษ ลองดูสิครับ”
ดร.ยติภัทรพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โถ่ เจ้าวิน ยังเข้าใจพ่อเหมือนเดิมเลยนะ วันนี้พวกเราต้องดื่มกันสักยกแล้วล่ะ!”
ญาธิดาที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองดูพวกเขาอย่างมีความสุข แต่กลับรู้สึกว่าเธอเป็นคนนอก เมื่อเห็นภวินท์ส่งของขวัญเธอก็ได้สติมองย้อนกลับไป
“พ่อคะ หนูเตรียมของขวัญให้พ่อด้วย”
พูดจบเธอก็รีบหยิบกล่องปากกาออกมาแล้วยื่นให้
เมื่อเห็นสิ่งนั้น ดร.ยติภัทรพยักหน้าแล้ววางของขวัญไว้ข้าง ๆ “อันที่จริงของขวัญนั้นไม่จำเป็นหรอก แค่ลูกทั้งสองสบายดี พ่อก็วางใจ!”
เมื่อพูดอย่างนั้น เขาก็จับมือญาธิดาและวางไว้บนฝ่ามือของภวินท์
ญาธิดารู้สึกว่าฝ่ามือของเธอร้อน และอยากจะดึงมือกลับโดยไม่รู้ตัว แต่ใครจะรู้ว่าภวินท์จะตอบสนองเร็วกว่า จับมือเธอไว้แน่นในฝ่ามือ
“พ่อครับ วางใจได้เลยครับ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดร.ยติภัทรก็ยิ้มและพยักหน้า “ดี……ดี!”
ญาธิดาจับมือภวินท์ไว้และแก้มของเธอกลายเป็นสีแดงโดยไม่รู้ตัว ชายคนนั้นดึงเธอให้นั่งลงที่โต๊ะอาหาร แต่ไม่ได้ปล่อยมือแต่อย่างใด
เขา……กำลังพยายามทำอะไรอยู่กันแน่?
เดิมทีเขาเฉยเมยกับเธอมากจนไม่มีแม้แต่ความอดทนที่จะฟังเธอ แต่ตอนนี้เขากลับมาฉลองวันเกิดพ่อของเธอตัวตัวเอง และยังจับมือเธอไม่ปล่อยอีก
ญาธิดารู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูก และใช้โอกาสตอนที่ภวินท์กำลังคุยกับพ่อของเธอ ดึงมือออกจากเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง คุณหญิงปภาวีก็กลับมา และพนักงานก็เสิร์ฟอาหารทีละจาน ดร.ยติภัทรเปิดไวน์แดงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “วันนี้ฉันมีความสุข ครอบครัวของเรารวมตัวกัน ดื่มไวน์กันสักหน่อยเถอะ”
“พ่อครับ ผมจะดื่มเป็นเพื่อนพ่อเอง แม่กับธิดาดื่มน้ำผลไม้เถอะครับ” ภวินท์พูด และรินน้ำผลไม้ให้ญาธิดาและคุณหญิงปภาวีอย่างใส่ใจ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คุณหญิงปภาวีก็พูดอย่างรวดเร็วว่า “วิน ลูกนี้รู้เรื่องจริงๆ เนี่ยนะ ตาแก่ไม่เรียนรู้จากเจ้าวินบ้างล่ะ ดูลูกสิ เข้าใจไหมว่าอ่อนโยนต่อผู้หญิงคืออะไร?”
เมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองเปิดโหมดปะทะอีกครั้ง ญาธิดาทั้งตลกและจนปัญญา
ในขณะนั้น ภวินท์หยิบตะเกียบขึ้นมา คีบกุ้งให้เธอ และสั่งด้วยเสียงต่ำว่า “ทานเยอะๆ”
เมื่อต้องเผชิญกับความใส่ใจอย่างกะทันหันของชายคนนี้ แก้มของญาธิดาก็ร้อนขึ้นเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าภวินท์ใส่ใจจริงๆ หรือแสดงให้พ่อแม่ของเธอดูเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงอืมตอบรับและก้มศีรษะทานอาหาร
บนโต๊ะอาหาร บรรยากาศดูคึกคักและมีความสุข ใครก็ตามที่มองมาที่โต๊ะจะรู้สึกว่านี่คือครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ที่ปรองดองกัน
เพียงแต่ว่าญาธิดารู้สึกเสมอว่ามีบางอย่างติดอยู่ในใจเธอ และเธอไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง
ในตอนท้ายของอาหารเย็น ขณะที่ภวินท์ออกจากห้องเพื่อรับโทรศัพท์ ญาธิดาก็พบข้ออ้างที่จะออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว
ภวินท์ยืนอยู่ที่ปลายทางเดินด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อเขาเห็นญาธิดา ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็อธิบายสองสามประโยคให้ปลายสายของโทรศัพท์และวางสายไป
เมื่อเห็นหญิงสาวเข้ามาใกล้ เขาถามอย่างนุ่มนวลว่า “ทำไมคุณไม่อยู่ในห้องกับพวกเขาล่ะ?”
ญาธิดาสูดลมหายใจและเรียกความกล้าออกมาแล้วถามว่า “ทำไมจู่ๆ คุณถึงมาที่นี่ได้คะ?”
จริงๆ เขาน่าจะไม่รู้อะไรเลย
“ป้าจันทร์บอกผม” ภวินท์หลับตา จ้องไปที่นัยน์ตาของเธอ และพูดอย่างจริงจัง “หลังจากนี้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องแบบนี้อย่าลืมบอกผม ผมเป็นสามีของคุณ และควรมากับคุณ”
เมื่อได้ยินคำว่า “สามี” หัวใจของญาธิดาก็สั่นเทาและพูดเบาๆ ว่า “ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ว่าง……”
ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอห่อไหล่เล็กน้อย และทันทีที่เธอเงยศีรษะขึ้น เธอก็ได้พบกับดวงตาของชายคนนั้น
“ไม่ว่าผมจะยุ่งหรือไม่ก็ตาม ผมจะไปกับคุณ”
ทันใดนั้น แก้มของญาธิดาก็เห่อร้อน เธอเขินอายโดยไม่รู้ตัว
นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนพูดเรื่องนี้กับเธอ
“ฉัน……ฉันเข้าใจแล้ว ฉันกลับเข้าไปในห้องก่อนนะคะ”
ญาธิดาลุกลี้ลุกลนมากจนแทบไม่กล้ามองดูภวินท์ เธอทิ้งคำพูดเหล่านี้และรีบหันหลังกลับห้องทันที
เธอปิดประตูห้องเสียงดัง และเมื่อคุณหญิงปภาวีเห็นญาธิดารีบวิ่งเข้ามา เธอก็อดพึมพำไม่ได้ว่า “ลูกคนนี้นี่ ทำไมถึงยังทำเป็นเด็กๆ ไปได้ รู้ไหมว่าลูกไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
“เอาเถอะๆ วันนี้วันดี คุณก็อย่าพูดเยอะนักเลย”
“คุณจะรู้อะไรคะตาแก่ คุณลองพูดสิคะถ้าหลังจากนี้ลูกยังเป็นแบบนี้จะทำยังไง……”
คุณหญิงปภาวีและดร.ยติภัทรพูดตอบโต้กันไปมา แต่ใจของญาธิดาตอนนี้ไม่ได้อยู่กับตัวแล้ว คำพูดที่ภวินท์เพิ่งพูดนั้นยังสะท้อนไปมาในใจของเธอเสมอ
เมื่อก่อนเธอรู้สึกว่าภวินท์เฉยเมย แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว เขาไม่ได้เย็นชาอย่างที่คิด ตรงกันข้าม เขาตั้งใจมาที่นี่เมื่อรู้เรื่องวันเกิดพ่อของเธอจากป้าจันทร์ ซึ่งทำให้เธอซาบซึ้งจริงๆ
เมื่อทานอาหารเสร็จ เธอกับภวินท์ก็พาคุณหญิงปภาวีและดร.ยติภัทรไปที่ประตูโรงแรม ดร.ยติภัทรดื่มไปไม่น้อยและเมาเล็กน้อย จึงไม่สามารถขับรถได้
ภวินท์ช่วยพยุงดร.ยติภัทรขึ้นรถ และพูดกับคุณหญิงปภาวีว่า “แม่ครับ ผมเตรียมคนให้พาพ่อกับแม่กลับบ้านแล้ว เดินทางกลับอย่างปลอดภัยนะครับ”
“โอเค งั้นเราไปก่อนนะ ลูกก็ดูแลธิดาดีๆ นะ”
หลังจากอำลากันเสร็จ ญาธิดาและภวินท์ก็ดูรถออกไป
เมื่อรถไกลออกไป ภวินท์ก็หันไปมองญาธิดา “ผมจะให้พายุพาคุณกลับ คุณก็รีบพักผ่อน”
หัวใจของญาธิดาชะงัก “คุณ……ไม่กลับไปเหรอคะ?”
“ผมยังมีงานพบปะ ต้องไปออกหน้าสักหน่อย คุณกลับไปก่อนเลย”
พูดจบเขาก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกำลังจะโทรออก
ญาธิดาก็เอื้อมมือออกไปและคว้าที่ปลายเสื้อของเขา “ฉันไปกับคุณได้ไหม……”