ดวงใจภวินท์ - บทที่ 237 มาร์ตินปรากฏตัวขึ้น
พลางมองลักษณะท่าทางหวาดหวั่นของหญิงสาวที่อยู่ตรงด้านหน้า มุมปากของภวินท์ยกขึ้นทันที ความโกรธเคืองอัดแน่นสุมอยู่ในอกพลันมลายหายลงไปบ้าง
เขายื่นมือออกไป พลางจับมือที่ปัดพันวันจนยุ่งเหยิงของเธอเอาไว้ พลางโน้มตัวเขยิบเข้าใกล้ “ญาธิดา ผมพูดเหรอว่าจะทำอะไรกับคุณ?”
ญาธิดาตกตะลึง พลันช้อนตาขึ้นมองเขา กะพริบตาไปมา จนแก้มร้อนผ่าว “คุณ…”
ดวงตาของชายหนุ่มทั้งดำทั้งเปล่งประกาย พลันฉายความขี้เล่นปะปนออกมา “หรือว่า หัวสมองของคุณคิดไปเองหรือเปล่า?”
เมื่อพูดออกมา ญาธิดายิ่งลำบากใจมากกว่าเดิม เธอเบนสายตาหนี และกระแอมออกมาด้วยอาการประหม่า “ฉันไม่รู่ว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
ดีจริง ยังแถไปได้อีก
ภวินท์ส่งเสียงฮึดฮัดอยู่ในลำคอ พลางยกแขนข้างที่ถูกเธอกัด และเอารอยฟันให้เธอดู “แล้วตรงนี้ล่ะครับ คุณคิดว่าจะทำไงดี?”
ญาธิดาเหลือบตามองด้วยความรู้สึกห่อเหี่ยว พลันเชิดหน้าใส่แต่ไม่ได้พูดอะไร
ภวินท์เลิกคิ้ว “ถ้าคุณยังไม่ยอมรับ ผมก็ต้องไปคุยกับอาจารย์เพื่อหารือกันแล้วแหละ”
“ไม่ได้!”
ญาธิดาตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว พลันคว้ามือของเขาเอาไว้ “ไม่ได้นะคะ!”
หากให้ยติภัทรมองเห็นบริเวณจุดที่เธอกัดลูกศิษย์อันภาคภูมิใจของเขาจนตกอยู่ในสภาพนี้ งั้นเธอก็คงถูกด่าจนตายกันไปข้างแล้วมั้ง? อีกอย่างก่อนที่จะมีการผ่าตัดจะให้เขาโมโหกระฟัดกระเฟียดไม่ได้
“งั้นคุณวางแผนว่าจะจัดการยังไง?” ดูเหมือนว่าภวินท์จะยกมุมปากขึ้น “จัดการกันเองมั้ย?”
ญาธิดาตอบรับทันควัน “จัดการกันเองค่ะ!”
ภวินท์พึมพำเบาๆ พลันยกมุมปากขึ้น และยิ้มออกมาจางๆ
ญาธิดารู้สึกตงิดๆว่ามันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีเลย
ซึ่งไม่ทันรอให้เธอได้ตั้งสติได้ทัน ภวินท์ก็พลิกตัวขึ้นเตียง และกดตัวเธอให้นอนลง จากนั้น เสียงสุขุมอันสดใสของชายหนุ่มก็ดังข้างหู “งั้นก็นอนกับผม”
อะไรนะ!
ญาธิดาถลนตาโตด้วยความรู้สึกตกใจ จนร่างกายอยู่ในสภาพคล้ายคนพเนจรที่วิ่งหนีเตลิดอยู่ขอบทาง!
ไอ้ผู้ชายโสโครก! ที่แท้ความคิดก็มีแค่นี้จริงๆ!
“ไม่ได้…”
คำปฏิเสธของเธอยังพูดไม่ทันจบ เสียงของชายหนุ่มก็ดังขึ้นมา “นอนแบบนอนเฉยๆ”
คำพูดอีกคำที่ยังติดค้างอยู่ของญาธิดาจึงกลืนกลับลงคอไปตามเดิม เธอกัดริมฝีปาก การถูกชายหนุ่มกกกอด อารมณ์มันดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง…
เรื่องนี้… ทำไมมันถึงรู้สึกแปลกๆ นะ?
โชคดีที่ภวินท์ไม่ได้แสดงพฤติกรรมรุกล้ำต่อ ผ่านไปไม่นานนัก เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกดังข้างหลังอย่างสม่ำเสมอ
ราวกับเป็นการแสดงออกว่ากำลังง่วงมากจริงๆ
อาการตัวเกร็งของญาธิดาที่มีแต่ก่อนนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายลง พลันช้อนสายตามองผ้าม่านที่เคลื่อนไหวตรงหน้าต่าง และเกิดความง่วงเหงาหาวนอนตามมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว ญาธิดาค่อยๆ พลิกตัว และลืมตาขึ้นด้วยอาการสะลึมสะลือ
เมื่อสายตามองอย่างชัดเจน เธอรีบมองใบหน้าของภวินท์ที่อยู่ห่างไปแค่คีบเดียวก่อนเป็นอันดับแรก
เวลานี้เอง เธอไม่ทันได้ตั้งสติ ยังคิดว่ากำลังฝันอยู่ด้วยซ้ำ จึงยื่นมือออกไปด้วยความสับสน พลันเกาะกุมแก้มของเขาเอาไว้
ภวินท์ตะลึง โดยที่ยังไม่ได้สติ ก็ได้ยินญาธิดาบ่นพึมพำ “ผิวเนียนพอๆ กับผู้หญิงเลยนะเนี่ย…”
ราวกับยังรู้สึกไม่เพียงพอ เธอผ่อนแรงลง แถมยังตบแก้มเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็บีบปลายจมูกของเขา “จมูกโด่งจริงๆ เลย ไปเสริมซิลิโคนมาหรือเปล่าเนี่ย?”
ภวินท์ทำหน้าห่อเหี่ยวหมดอารมณ์ จนอยากจะจัดการผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ด้านหน้าสักยก
เขามองญาธิดายื่นมือออกมาเพื่อเตรียมจะสัมผัสริมฝีปากของเขา จนทำสีหน้าเคร่งขรึม จึงยื่นมือออกมาเกาะกุมมือเธอเอาไว้ และพูดอย่างเย็นชา “ปากของจริงนะ ไม่เชื่อคุณลองดูสิ”
เขาพูด และเตรียมประกบตัวลง ดวงตาลึกซึ้งดำดิ่งลง
ญาธิดาตกใจตื่นทันควัน ความง่วงเหงาหาวนอนหายไปเป็นปลิดทิ้ง สติสัมปชัญญะกลับมาทั้งหมด เธอใช้มือข้างหน้ายันแผงอกของชายหนุ่มเอาไว้ ใบหน้าแดงระเรื่อ “ฉันไม่อยากลอง”
“หืม? แต่ผมต้องการนะ…เพื่อพิสูจน์ตนเอง”
เมื่อมองเห็นท่าทางตกใจจนหวาดหวั่นของญาธิดา ภวินท์กลับแสดงความหมายพูดหยอกล้อกับเธอ
“คุณถอยออกไปเดี๋ยวนี้ นี่มันห้องพักผู้ป่วย” เมื่อเห็นชายหนุ่มเริ่มทำตัวยุ่มย่าม ญาธิดาเริ่มขัดขืนทันที
ถ้ามีคนเปิดประตูเข้ามา แล้วเห็นสภาพของสองคนเป็นแบบนี้ อายจนอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป
ชายหนุ่มไม่อยากจะหยอกล้อเธอเล่นอีกแล้ว พลางดึงตัวเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดไว้แน่น “แกล้งคุณเล่นหน่ะ”
จังหวะนี้เอง ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เพื่อขัดจังหวะความอ่อนโยนของทั้งสองคน
โทรศัพท์ตรงหัวเตียงดังขึ้นไม่หยุดหย่อน จึงรีบเร่งด้วยความร้อนใจ ภวินท์ย่นคิ้ว พลันลุกขึ้น และกวาดตามองชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ จนแววตาหม่นหมองลง
ญาธิดาฉวยจังหวะพลิกตัว พลางลงจากเตียง เพื่อจัดการจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยับย่นบนตัว พลันถอยหลังหนีให้ไกลอย่างกระวนกระวายใจ “ฉันขอตัวก่อนค่ะ”
เมื่อทิ้งประโยคนี้เอาไว้ เธอจีบรีบวิ่งเหยาะๆ เพื่อออกไป
ภวินท์ย่นคิ้ว พลางมองหญิงสาวที่วิ่งหนีเตลิดไปอย่างรวดเร็ว จึงชูมือขึ้นนวดหัวคิ้ว
วิ่งได้เร็วจี๋เหมือนเจ้ากระต่ายจริงๆ
เขากวาดตามองโทรศัพท์ที่ดังไม่ยอมหยุดหย่อนทางด้านข้าง จากนั้นก็นั่งหลังตรง และหยิบขึ้นมารับสาย “ฮัลโหล?”
คนที่อยู่ปลายสายคือเสียงของหลุยส์“วิน นายทำห่าอะไรอยู่! ทำไมไม่ยอมรับโทรศัพท์สักที!”
ภวินท์ทำสีหน้าพะอืดพะอม “พูดธุระมา”
เขากำลังโมโหจนอัดแน่นเต็มอก เพราะดันมาขัดจังหวะเขาในเวลานี้
“มาร์ตินมันโผล่หัวอยู่ในเมือง Jแล้วนะสิ”
ประโยคเดียว แต่กลับทำให้ภวินท์ตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาขมวดคิ้ว “จับได้มั้ย?”
“ไม่ได้ ไอ้หมอนั่นมันทำอย่างกับเป็นปลาไหล มันปรากฏตัวอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่งตรงถนนจรัสเมือง เมื่อตรวจกล้องวงจรปิดตัวอื่นแล้ว ก็เหมือนว่ามันหายตัวไปดื้อๆ”
ภวินท์กำโทรศัพท์ไว้แน่น และลุกพรวดอย่างคล่องแคล่ว โดยใช้มือข้างเดียวปลดกระดุมบนชุดคนป่วยบนตัวออก และพูดด้วยเสียงแข็ง “เจอกันที่จุดนัดหมายเดิม”
พูดจบ เขาก็ตัดสายโทรศัพท์อย่างคล่องแคล่วทันที และจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้า
จู่ๆ มาร์ตินก็ปรากฏตัวขึ้นภายในประเทศในยามนี้ ขนาดคนของเขาก็ยังจับทางไม่ได้ ทั้งทางน้ำทางเรือทางอากาศก็ไม่ปรากฏการเดินทางเข้าออก นั่นก็มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาปลอมแปลงตัวตนเข้ามา หรือจะเป็นเพราะเขาไม่ได้ใช้การขนส่งของทางการ แต่กลับทำเหมือนครั้งที่แล้วที่หนีออกไปโดยการใช้เครื่องบินส่วนตัวเช่นนั้น
ตอนที่อยู่ในสิงคโปร์ ไอ้เคก็คอยออกโรงปกป้องเขา ถ้าตอนนี้เขาสามารถปรากฏตัวในประเทศได้อีกครั้ง นั่นเท่ากับสามารถพูดเรื่องหนึ่งได้เต็มปาก เขาเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว!
ซึ่งครั้งนี้มาร์ตินมุดเข้ามาเอง แล้วเขาจะปล่อยให้เขาหนีไปได้ยังไง?
ภายในคอนโดพาร์คเขตทางเหนือ พอภวินท์เข้าประตูมา หลุยส์ก็เป็นคนออกมาต้อนรับ
เขาเดินมาทางด้านหน้า เพื่อพูดสถานการณ์ให้ชัดเจน “นี่เป็นภาพกล้องวงจรปิดเมื่อตอนเช้า จู่ๆ มาร์ตินก็เดินออกไปจากโรงแรม โดยที่ไม่รู้ว่าไปที่ไหน”
บริเวณตรงจุดกึ่งกลางของห้องรับแขกขนาดใหญ่ จุดตำแหน่งที่ควรจะวางโทรทัศน์หรือโซฟา ก็ถูกแทนที่ด้วยโต๊ะวางเรียงรายกันเป็นแถว บนนั้นมีหน้าจอคอมพิวเตอร์จัดวางไว้7-8เครื่องทั้งด้านบนด้านล่าง ด้านบนเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่กำลังเคลื่อนไหวทั้งหมดอยู่ตลอด
ภวินท์เดินมาทางด้านหน้า พลางมองต้นที่นั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะ “เปิดภาพให้ดูหน่อย”
ต้นปรบมือหลายครั้ง ภาพก็ถูกปรับจนปรากฏให้เห็น
บนหน้าจอ มาร์ตินแต่งตัวได้อย่างปกติมากที่สุด กระทั่งท่วงท่าการเดินซึ่งไม่เหมือนแต่ก่อน ทว่าสามารถจดจำใบหน้าของเขาได้อย่างเลือนราง
ราวกับตั้งใจหลบเลี่ยงการสอดแนม ภาพของเขาปรากฏเพียงแวบเดียว สั้นเพียงไม่กี่วินาที
ภวินท์ส่งเสียงพึมพำ พลันขมวดหัวคิ้วไว้แน่น
ที่แท้ก็เป็นเจ้าพ่อปลาไหล เพราะว่านั่นเป็นผลจากการฝึกฝนจนกลายมาสมบูรณ์แบบ
เขาอ้าปากพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ครั้งนี้เขากลับมาแล้ว คราวนี้มีการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน โดยมีคนคอยแอบช่วยเขาอยู่ลับๆ ไม่งั้นอาศัยความสามารถของเขาแค่คนเดียว คงไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้”
หลุยส์พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ดังนั้นจึงพูดว่า ทางเมืองJต้องมีคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางสิงคโปร์อย่างแน่นอน”
“ไม่ผิด” สีหน้าของภวินท์ปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็งอีกชั้น “ก็แค่บุคคลนี้ ยังไม่โผล่หัวออกมาให้เป็นที่แน่ชัด”