ดวงใจภวินท์ - บทที่ 241 ชอบหาเรื่องใส่ตัวดีนัก
เมื่อกลับมาถึงแผนกธุรการ ญาธิดาแสดงความรู้สึกวิตกกังวลอยู่ตลอดทาง
หากภวินท์ไม่อยู่ งั้นเธอก็ไม่มีวิธีจะยื่นใบลาหยุด การยื้อเวลาอยู่เช่นนี้ พอถึงเวลาที่กำหนดเกรงว่าทางบิดาต้องล่าช้าออกไปหรือเปล่า
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ไม่ได้กดโทรศัพท์ต่อสายออกไป
ในเวลานี้เอง มีคนเคาะประตูห้องทำงาน จากนั้น ก็มีเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาพลันพูดที “คุณญาธิดา มีคนรอคุณอยู่ด้านนอกค่ะ”
พอญาธิดาได้ยินจึงได้สติกลับมา หลังจากยิ้มให้เพื่อเป็นการแสดงคำขอบคุณให้เพื่อนร่วมงานแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นและเดินออกไปทางด้านนอก
เวลานี้มีคนมาหาเธอ จะเป็นใครกันนะ?
เมื่อเดินออกจากแผนกธุรการ เธอก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก
ผู้ชายคนนั้นมองเห็นเธอ และรีบเสนอตัวเดินมาทางด้านหน้า “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณคือคุณญาธิดาใช่มั้ยครับ?”
ญาธิดาตกตะลึง พลันพยักหน้ารับ “ค่ะฉันเอง”
“คนในสำนักงานCEOให้ผมมาแจ้งคุณ คุณภวินท์มีธุระต้องการพบคุณ ให้คุณตามผมออกไปครับ”
“คุณภวินท์?”
ญาธิดาเริ่มตกใจอยู่บ้าง เหตุเพราะเมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้เธอเพิ่งไปสำนักงานCEO มา นวิยาชี้แจ้งแล้วว่าภวินท์ไม่อยู่ที่บริษัท ซึ่งไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะไม่ได้กลับมา แต่จู่ๆทำไมตอนนี้เขาถึงกลับมาได้ล่ะ?
เมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นพยักหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง “คุณภวินท์กลับมาเอาของครับ จนได้ยินมาว่าคุณไปหาเขาที่สำนักงานCEO จึงพูดว่าต้องการพบคุณ ตอนนี้เขากำลังรอคุณอยู่ลานจอดรถชั้นใต้ดินครับ”
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ คำถามที่อัดแน่นในหัวใจของญาธิดาถึงได้มลายหายลงไปบ้าง เธอพยักหน้าเล็กน้อย และใช้สายตาเหล่ตามองป้ายชื่อที่ติดอยู่ตรงแผงอกของชายหนุ่ม–กณิศ
ต่างก็เป็นพนักงานในบริษัทเดียวกันทั้งนั้น เธอจึงไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากนัก พลันอ้าปากพูดทันที “งั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้วค่ะ”
“ไม่รบกวนอะไรเลยครับ”
กณิศยิ้มให้ พลางเดินนำหน้า
ญาธิดาเดินตาม และโดยสารลิฟต์เพื่อมุ่งหน้าไปลานจอดรถชั้นใต้ดินทันที
เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก ญาธิดาก้าวเท้าเดินออกไป เมื่อกวาดตามอง ลานจอดรถชั้นใต้ดินขนาดกว้างขวางแต่กลับไม่มีรถแม้แต่เงาของภวินท์อยู่ด้วยซ้ำ
เธอค่อยๆ ก้าวฝีเท้าเพื่อรอให้กณิศเดินตามออกมา ยังไม่ทันหันศีรษะกลับไป ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง จากนั้น ก็มีแรงมหาศาลตีลงบริเวณท้ายทอยของเธอเข้าอย่างจัง
“ปึก—” เสียงดังขึ้น ภาพทางด้านหน้าราวกับหยุดนิ่งไปสองวินาที จากนั้นบริเวณด้านหน้าก็ดำมืดตามมาติดๆ จนเธอหมดสติในชั่วพริบตา
กณิศที่อยู่ทางด้านหลังดวงตาทอประกายเย็นชา เขาเห็นกับตาว่าร่างกายญาธิดาค่อยๆ อ่อนแรงจนล้มลง เขาก้าวฝีเท้ามาทางด้านหน้า พลันใช้มือทั้งสองข้างสอดเข้ามาตรงรักแร้ของเธอ และหิ้วปีกลากเธอไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านข้างอย่างไม่ผิดสังเกตนัก….
ญาธิดาไม่รู้ว่าเวลาผ่านๆ ไปนานเพียงใด เธอแค่รู้สึกว่าเจ็บจี๊ดตรงศีรษะขึ้นมาเป็นระยะ ร่างกายชาไปทั่วทั้งตัว สมองเบลอมึนงง ยามเมื่อเธอลืมตาถึงรู้ตัวว่าตนเองถูกมัดอยู่เบาะนั่งด้านหลังรถยนต์คันหนึ่ง ร่างกายแข็งทื่อ ไม่สามารถขยับตัวได้เลย
เธอไปหาภวินท์ตรงลานจอดรถชั้นใต้ดินไม่ใช่เหรอ? ตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
กลิ่นเหม็นอับในรถยนต์มันทำให้เธอรู้สึกพะอืดพะอม เธอเหลือบมองที่นั่งด้านหน้า ไม่มีใครอยู่สักคน ส่วนตำแหน่งข้างคนขับนั้นกลับมีมีดสั้นด้ามหนึ่งวางไว้และกระทบกับแสงที่สาดส่องมา
ญาธิดาตัวสั่นเทิ้ม พลันตื่นตัวมากกว่าเดิม พร้อมทั้งใจเย็นมากขึ้น พลันหันศีรษะไปมองนอกหน้าต่าง ภาพวิวทางด้านนอกไม่เหมือนอยู่ในเขตตัวเมือง แต่กลับเป็นสถานที่ทุรกันดาร ขนาดตึกสูงๆ ยังไม่เห็นแม้แต่เงา
นี่เธอถูกคนลักพาตัวมาใช่มั้ย?
ในเวลานี้เอง มีคนเปิดประตูทางด้านหน้า จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งขึ้นรถมา เมื่อเงยหน้ามามอง จึงเห็นว่าเธอตื่นแล้ว จึงปรากฏรอยยิ้มที่แสนเย็นชาบนใบหน้าทันที
ญาธิดาตกใจ พลันเปล่งเสียงแหบพร่าเล็กน้อยออกมาจากคอ “กณิศ!คุณ….”
กณิศแสยะยิ้มตรงมุมปาก เขาไม่รีบร้อนที่จะขึ้นรถ ในทางกลับกันกลับปิดประตูรถด้านหน้า และเดินมายังเบาะรถทางด้านหลังแทน
ญาธิดาเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บในก้นบึ้งหัวใจ แผ่นหลังเธอผุดเหงื่อเย็นขึ้นมา จึงจ้องมองผู้ชายที่เตรียมเปิดประตูรถ โดยแสร้งทำทีแสดงท่าทางขึงขังออกมา“คุณคิดจะทำอะไร?”
“คุณลองพูดออกมาสิว่าผมจะทำอะไร?”
กณิศแสยะยิ้มพลางขึ้นรถ และยื่นมือออกไปอย่างไร้ความเกรงใจ โดยการผลักเธอไปทางด้านข้างอย่างสุดแรงเกิด
ร่างกายญาธิดาถูกเชือกมัดไว้ทั้งตัว ตัวแข็งทื่อไร้วิธีแม้แต่งอตัว จนศีรษะกระแทกเข้ากับประตูรถเต็มแรง เจ็บจนเธอย่นคิ้วเข้าหากัน
“มึงทำเรื่องกูพังไม่เป็นท่า!” กณิศจ้องมองเธอด้วยดวงตาเย็นชาดั่งหมาป่า ร่างกายแผ่รัศมีความเย็นยะเยือกออกมา “ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามึง ตอนนี้กูก็คงได้รับเงินก้อนโตจนออกไปใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วแหละ!”
ญาธิดามึนงงไปหมด และไม่เข้าใจสักนิดว่าตกลงแล้วเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
ราวกับมองเห็นความแปลกใจจนเกิดอาการงุนงงของเธอ กณิศแสยะยิ้ม พร้อมทั้งยื่นมือออกไปกระชากเส้นผมของเธอมาหนึ่งกำมือ จึงทำให้เธอกระเด้งมาหาตนเองอย่างแรง “ถ้าไม่ใช่มึงวิ่งไปขวางหน้ารถยนต์ภวินท์เอาไว้ มันก็คงตายห่าไปตั้งนานแล้ว! มึงทำลายงานรายได้งามของกู จนทำให้กูไม่ได้รับเงินก้อนสุดท้าย แถมยังทำให้คนของมันจับตามองกูอีก! ญาธิดา มึงนี่ชอบแส่หาเรื่องใส่ตัวจริงๆ!”
ญาธิดาเจ็บจี๊ดบริเวณหนังศีรษะ เจ็บจนน้ำตาไหลตามมา เธอได้ยินผู้ชายบ้าคลั่งกระซิบข้างใบหูของตนเอง จู่ๆ ในหัวสมองก็ฉายภาพที่เธอได้ยินใครบางคนกำลังพูดคุยโทรศัพท์อยู่ตรงระหว่างบันไดโดยไม่ตั้งใจในวันนั้น
ซึ่งตอนนั้นเสียงนี้ก็ทุ้มต่ำมาก ทว่าเมื่อหวนนึกถึงอย่างพินิจพิเคราะห์แล้ว ซึ่งเป็นเสียงเดียวกับกณิศจริงๆ!
ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง! ที่แท้เขาคือคนที่ลงมือทำมิดีมิร้ายรถยนต์ของภวินท์ เขานี่เองที่อยากจะฆ่าภวินท์ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต!
วินาทีนี้ เธอถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น!
ญาธิดากัดฟันแน่น พลางเงยหน้าจ้องมองเขา “กณิศแกหนีไม่รอดหรอก!”
คำพูดนี้ พลันทำให้กณิศเดือดดาลทันที ดวงตาของเขาลุกโชนดั่งเปลวเพลิง จึงใช้หลังฝ่ามือฟาดตบหน้าไปครั้งหนึ่ง
“อีแพศยา!” กณิศถลึงตาโตด้วยความโกรธแค้น โกรธจนกัดฟันแน่น “มึงคิดว่ากูกลัวเหรอ? มึงสนิทสนมกับภวินท์มากไม่ใช่เหรอ? ถึงขั้นยอมสละชีวิตไปช่วยเขา งั้นกูก็อยากจะดูสิว่าวันนี้เขาจะเสียสละชีวิตเพื่อมาช่วยมึงมั้ย!”
เขาพูดออกมา พร้อมทั้งปล่อยมือจากเส้นผมเธอ และผลักเธอกระเด็นกวาดไปชนกับทางด้านข้าง
จากนั้น เขาก็ควานหาซองบุหรี่จากในกระเป๋า พลันจุดหนึ่งมวน หลังจากอัดสูบไปสักพัก ถึงได้สงบอารมณ์ลงตามปกติ “กูอุตส่าห์ทำเรื่องตั้งมากมายอย่างยากลำบาก เรื่องไม่ได้รับเงินยังไม่เท่าไหร่ แต่กลับถูกภวินท์คอยจับตามอง แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก อย่างมากก็ตายห่ากันไปข้าง ใครหน้าไหนก็อย่าคิดสุขสบายต่อไปเลย! ส่วนมึง มันก็แค่เบี้ยตัวหนึ่งของกูนี่แหละ!
เขาทำทีกำลังพูดคุยอยู่คนเดียว เมื่อพูดออกมาทั้งหมดแล้ว จึงยกมุมปากยิ้มให้อย่างเย็นชา และเงยหน้าเหลือบมองญาธิดาแวบหนึ่ง “ขอแค่มันยอมปล่อยกูไป กูก็จะไม่แตะต้องมึง แต่ถ้ามันยังไม่ยอมปล่อยกูไป งั้นกูก็จะฆ่ามึงให้ตายห่าไป!”
ตอนที่กณิศพูดออกมา ทั้งแสดงรอยยิ้มให้อย่างเย็นยะเยือก จนทำให้หัวใจรู้สึกหนาวสั่นตาม
ญาธิดาเบนสายตาหนี รู้สึกคันยิบๆ ราวกับมีมดเป็นหมื่นเป็นพันตัวที่กำลังไต่ขึ้นในหัวใจ ทรมานจนรู้สึกไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้
หลังจากนั้นชั่วครู่ จู่ๆ แววตาของเธอก็ทอประกาย เหมือนฉุกคิดอะไรออก
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พลางเหลือบมองกณิศ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แกจับตัวฉันมาก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่ได้สนิทกับเขา เขาไม่มีวันมาช่วยชีวิตฉันไว้หรอก”
กณิศ อัดบุหรี่เข้าปอดเฮือกใหญ่ สายตาปะปนด้วยความสงสัย พลันส่งเสียงพึมพำแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาไม่เชื่อจริงๆ
ญาธิดาสูดลมหายใจเข้าลึก จนกัดฟันแน่น แสร้งทำทีทำตัวหนักแน่น “ฉันไม่มีความจำเป็นต้องหลอกแก ที่ก่อนหน้านี้ฉันวิ่งไปขวางหน้ารถเอาไว้ ก็เป็นเพราะว่าอยากสร้างความปลาบปลื้มใจให้กับเขา เพื่อให้เขาเพิ่มเงินเดือนให้ฉัน ตอนที่ได้ยินแกโทรศัพท์นั่นมันก็แค่บังเอิญเท่านั้น นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีเรื่องอื่นต่อ”
เมื่อเห็นว่ากณิศทำหน้าเย็นชาไม่พูดไม่จา ญาธิดากวาดตามองเขา จึงเริ่มพูดสอบถามกลับ “ถ้าแกไม่เชื่อฉัน ฉันก็ไม่มีวิธีอื่น ยังไงโดยที่ไม่สนใจว่าแกจะรอถึงตอนไหนก็ตาม เขาก็จะไม่มีวันมา”
เมื่อเห็นน้ำเสียงอันแน่วแน่ของญาธิดา ลักษณะท่าทางจริงจัง ราวกับกำลังเล่าอธิบายตามความเป็นจริงอย่างจริงจัง จู่ๆ กณิศเริ่มหมดหวังเล็กน้อย เขาเหลือบตามองญาธิดา จนแอบกัดฟันอยู่เงียบๆ “มึงไม่ต้องมาเล่นตุกติก!”
เขาพูด พร้อมทั้งหยิบผ้าผืนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ปั้นเป็นก้อน พลันบีบแก้มและยัดมันใส่ปากญาธิดาทันที
กลิ่นเหม็นอับชื้นตีเข้ามาทันที ญาธิดาได้กลิ่นจนรู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา เธอไม่มีวันยอมให้ความร่วมมือ จึงคอยหลบซ้ายทีขวาที
กณิศโกรธจัด เพราะจับยัดไปหลายครั้งแล้วก็ยังยัดไม่ได้สักที โกรธถึงขั้นยกมือขึ้นและตบหน้าญาธิดาอย่างเต็มแรง!