ดวงใจภวินท์ - บทที่ 242 ตกอยู่ในอันตรายกลับไร้คนช่วยเหลือ
เสียง “เพี๊ยะ” การตบครั้งนี้ถือว่าโหดร้ายกว่าเมื่อครู่นี้มาก ใบหน้าญาธิดาหันไปอีกทาง พลางมีเลือดซึมออกมาจากมุมปากจนได้กลิ่นคาวเลือด…
ช่วงเวลาเธอเจ็บปวดจนไร้ปฏิกิริยาตอบสนองนั้น กณิศก็จัดการนำผ้าเป็นม้วนยัดใส่ปากของเธออย่างโหดเหี้ยม
วินาทีนั้น โพรงปากลามยาวไปถึงคอหอยถูกก้อนผ้ายัดเอาไว้ จนทำให้คนรู้สึกอยากจะอาเจียน
“นังแพศยา มึงคิดว่ามึงโกหกกูได้ใช่มั้ย?” กณิศสบถด่ายับ “รออีกสองชั่วโมง กูจะโทรศัพท์หาภวินท์ ดูซิตกลงว่ามันจะมามั้ย!”
ญาธิดาปวดเศียรเวียนเกล้า อับจนหนทางในเวลานี้ เธอเอนศีรษะพิงกับบานประตูรถทางด้านข้าง พลันพยายามสูดลมหายใจเข้าอย่างเต็มที่
เวลานี้เอง จู่ๆก็เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิด จนขัดจังหวะบรรยากาศอันแปลกพิกลนี้ทันที
ญาธิดาได้ยินเสียงเรียกเข้าอันคุ้นหู พลางก้มลงมองตามสัญชาตญาณ จึงเห็นโทรศัพท์ของตนเองวางอยู่ตำแหน่งเบาะทางด้านหน้า!
ประสาทสัมผัสของเธอเกร็งทันที วินาทีต่อมาพลางมองกณิศเห็นยื่นมือออกไป และคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาทันที
หน้าจอสว่างวาบ เสียงเรียกเข้ายังคงดังไม่หยุดหย่อน
กณิศเหลือบมองชื่อที่อยู่บนหน้าจอ จู่ๆ ก็เกิดสนุกขึ้นมา บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มอย่างไม่เป็นมิตร เขาหยิบโทรศัพท์มา พลันแกว่งทางด้านหน้าญาธิดา “มึงคิดว่า ถ้าเกิดว่ากูรับโทรศัพท์สายนี้ลจะเป็นยังไงนะ?”
แววตาญาธิดาหม่นหมองทันที พลันจ้องมองชื่อที่บันทึกที่กำลังปรากฏบนหน้าจอนั้น จากนั้นตัวแข็งทื่อทันที
ที่แท้บิดาเป็นคนโทรศัพท์มาหา!
ทำไมเขาถึงโทรศัพท์มาหาตนเองในเวลานี้ได้ล่ะ?
พลางมองเห็นนิ้วมือของกณิศที่เตรียมจะกดรับสาย ญาธิดาส่ายหน้าอย่างกับคนบ้าคลั่งทันควัน ก้อนผ้าที่ยัดอยู่ในปาก ส่งเสียง “อู้อี้” ออกมา
สายนี้อย่ารับนะ!
อีกไม่กี่วันยติภัทรเตรียมจะเข้ารับการผ่าตัดแล้ว ซึ่งไม่สามารถได้รับผลกระทบทางจิตใจได้ หากเขาได้ยินว่าลูกสาวของตนเองถูกลักพาตัวมา ต้องเป็นเดือดเป็นร้อนจนบ้าไปแล้วแน่ๆ!
กณิศไม่คิดเลยว่าอากัปกิริยาการตอบสนองของญาธิดาจะมากล้นเพียงนี้ เวลานั้น จิตใจอันแสนชั่วร้ายเริ่มแสดงความอัปรีย์ออกมา เขากดรับสายทันที
เขามองใบหน้าแข็งทื่อของญาธิดา จากนั้นจึงกดเปิดลำโพงอย่างสะใจ
วินาทีต่อมา จึงมีเสียงทางนั้นดังขึ้น “ฮัลโหล? ธิดา…”
เป็นเสียงของดร.ยติภัทร!
ญาธิดาตัวแข็งทื่อ ร่างกายเย็นสะท้าน ณ วินาทีนั้นหัวใจหลงเหลือเพียงแค่ความหมดหวัง
ยติภัทรที่อยู่ปลายสายไม่ได้ยินเสียงตอบรับ จึงเรียกซ้ำอีกสองครั้ง “ธิดา? ฮัลโหล?”
กณิศแสยะยิ้มให้ พลางเปล่งเสียงทุ้มต่ำออกมา “ธิดา? ลูกสาวแกนะเหรอ? ไม่ต้องเรียกหรอก ตอนนี้นางถูกกูมัดมือมัดเท้าอยู่ แถมยังถูกผ้ายัดปากอีก พูดไม่ได้หรอก”
เมื่อคำพูดนี้หลุดปากไป ปลายสายเงียบงันอยู่ชั่วครู่ วินาทีต่อมา เสียงยติภัทรก็เริ่มสั่นเทาเล็กน้อย “แก…แกเป็นใคร?”
“อย่าสนเลยกูเป็นใคร ยังไงลูกสาวของมึงก็ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านแส่หาเรื่องใส่ตัว ล่วงเกินกู ตอนนี้มันอยู่ในมือกูแล้ว จะวิงวอนให้คนช่วยก็ไม่มีใครเข้ามาช่วย!”
เขาพูด พร้อมทั้งส่งเสียงหัวเราะออกมาเย็นชา
ญาธิดาแค่รู้สึกว่าเลือดในร่างกายพลุ่งพล่านไปทั่ว เธอเปล่งเสียงอู้อี้ออกมา พลางใช้เรี่ยวแรงในการขัดขืน ทว่ากลับไม่ได้สร้างความข่มขู่ให้กณิศสักนิด เธอก้มศีรษะลง พลันพุ่งตัวกระแทกกณิศอย่างโหดเหี้ยม ใครเล่าจะรู้ว่ากณิศยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง พลันบีบคอเธอเอาไว้อย่างหนักหน่วง
“อีคนชั้นต่ำ! ไปตายซะ!”
เขาสบถด่าออกมาประโยคหนึ่ง พลันผลักญาธิดากระเด็นไปอีกทางอย่างรุนแรง
เขาโมโหจนเปิดประตูลงจากรถ พลางกระแทกปิดประตู และย้ายไปอยู่ที่นั่งเบาะด้านหน้า จากนั้นก็กวาดตามองโทรศัพท์ที่อยู่ในมือ และตะคอกเสียงใส่อย่างโกรธเคือง “ไอ้แก่! มึงมีลูกสาวตัวดีจริงๆ!ช่างเป็นคนดีจรองๆ ชอบแส่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน พอมาถึงตอนจบแม้แต่ชีวิตตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอดเลย!”
ซึ่งในเวลาเดียวกันนี้ ยติภัทรที่อยู่ปลายสาย กุมโทรศัพท์เอาไว้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที
ปภาวีที่อยู่ทางด้านข้างกำลังวุ่นวายอยู่กับรินน้ำให้รู้สึกผิดปกติ จึงรีบวางกระติกรักษาความร้อนลงทันควัน และอ้าปากเรียกทักท้วง “ตาแก่ เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้ายติภัทรแสดงอาการสั่นเทิ้ม มือที่กำโทรศัพท์ไว้นั้นเริ่มสั่นเทา “แก…แกปล่อยลูกสาวฉันซะ!”
ทว่าในเวลานี้ โทรศัพท์ถูกตัดสายไปเสียแล้ว
ด้วยความที่ปภาวียังไม่เข้าใจ จึงมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านหน้าและรีบซักถามทันควัน “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกับธิดา?”
ยติภัทรโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงหนักหน่วง สีหน้าเริ่มแดง “ธิดา…ธิดาถูกคนลักพาตัวไป!”
เขาพูด พร้อมทั้งเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อเตรียมลงจากเตียง ทว่าใครเล่าจะรู้ยังไม่ทันทรงตัวให้ดี ร่างกายก็แข็งทื่อ สีหน้าเขียวคล้ำ พลางหงายหลังล้มตึงลงบนเตียงทันที
ด้วยความที่ปภาวียังไม่เข้าใจ จึงมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทางด้านหน้าและรีบซักถามทันควัน “เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกับธิดา?”
ปภาวีตกใจจนสิ้นสติ เธอรีบเรียกทันควัน “คุณ! ตาแก่…”
เธอทำอะไรไม่ถูก พลันตะโกนโหวกเวกโวยวายเรียกอย่างตื่นตระหนก “คุณหมอ คุณหมอ” พลางรีบออกไปนอกประตู เมื่อถึงหน้าประตูถึงฉุกคิดได้ว่ามีกริ่งฉุกเฉินอยู่เหนือหัวเตียง จึงหันตัวเลี้ยวกลับมากดกริ่งอย่างตื่นตระหนก
“ตาแก่! คุณต้องอดทนเอาไว้นะ!” ปภาวีร้อนใจจนดวงตาแดงระเรื่อ น้ำตาพรั่งพรูไหลออกมาไม่หยุดหย่อน “ตาแก่! ตาแก่!”
ในเวลานี้เอง ประตูห้องพักผู้ป่วยก็ถูกคนผลักเข้ามา จากนั้นตามมาติดๆมีพยาบาลทั้งสองคนวิ่งเข้ามาด้านใน เมื่อเห็นคนที่อยู่บนเตียง จึงรีบวิ่งมาแง้มเปลือกตาเพื่อตรวจสอบทันที
คุณหมอก็รีบเข้ามา เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ สีหน้าเย็นชาแน่นิ่งลงถนัดตา “เร็วเข้า! รีบส่งเข้าห้องฉุกเฉิน!”
“ตาแก่!” ปภาวีสมองมึนเบลอไปหมด ซึ่งไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี พลางมองยติภัทรที่ถูกเข็นออกไป จึงวิ่งแจ้นอย่างกระวนกระวายใจ “คุณหมอ ขอร้องแหละค่ะต้องช่วยสามีของฉันให้ได้นะคะ …ต้องช่วยเขาให้ได้นะคะ…”
ทางด้านนอกห้องฉุกเฉิน เธอโดนพยาบาลขวางเอาไว้ จนเห็นกับตาว่าคนถูกเข็นเข้าไปด้านในเรียบร้อย เมื่อปิดประตูก็มองอะไรไม่เห็นแล้ว
“ทำไม… ทำไมถึงเป็นแบบนี้?”
ปภาวีเดินวนไปมาอย่างร้อนใจ น้ำตาพรั่งพรูลงมาอย่างไม่ขาดสาย
เรื่องที่เกิดขึ้นมันช่างกะทันหันเหลือเกิน เธอเองก็ไม่ชัดเจนว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ซึ่งตอนนี้คนก็ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไปแล้ว
ทันใดนั้นเธอก็ฉุกคิดถึงประโยคสุดท้ายก่อนที่ยติภัทรจะเป็นลมล้มพับไป วินาทีนั้นรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ร่างกายสั่นสะท้าน
เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาพลันกดโทรศัพท์โทรหาญาธิดาทันที ทว่าไม่คิดเลยว่าโทรศัพท์กลับปิดเครื่องไปเสียนี่
เกิดเรื่องอะไรขึ้น! ตอนนี้ญาธิดาควรจะอยู่ที่บริษัทถึงจะถูกนี่นา ทำไมถึงปิดโทรศัพท์ล่ะ? หรือคำพูดที่ตาแก่พูดอยู่เมื่อกี้นี้มันจะเป็นความจริง?
ปภาวีไม่กล้าจะชักช้าแม้เศษเสี้ยววินาที เธอรีบโทรศัพท์หาภวินท์ทันที
ไม่นานนักก็กดรับสาย
ปภาวีพูดคล้ายเสียงสะอึกสะอื้น “วิน……วินเกิดเรื่องขึ้นแล้ว! ตาแก่รับโทรศัพท์ แล้วพูดว่าธิดาถูกลักพาตัวไป เขาร้อนใจจนเป็นลมล้มพับไป น้าโทรศัพท์หาธิดาก็โทรไม่ติด คุณว่าจะทำยังไงดีกับเรื่องนี้…”
ภวินท์ที่อยู่ปลายสาย กำลังอยู่บนท้องถนนที่กำลังมุ่งหน้าไปยังตระกูลวรโชติ เมื่อได้ยินเสียงร้อนอกร้อนใจของปภาวี หัวคิ้วของเขาขมวดไว้แน่น จากนั้นเอ่ยปากถามทันที “ญาธิดาหายตัวไปเหรอครับ?”
“น้าเองก็ไม่ค่อยรู้มากนัก …ก่อนที่ตาแก่จะเป็นหมดสติไป โทรศัพท์ของธิดาก็ติดต่อไม่ได้แล้ว…”
“คุณน้าครับ คุณน้าอย่าเพิ่งรีบร้อนครับ ผมจะตามหาให้เดี๋ยวนี้ครับ เมื่อผมหาตัวญาธิดาเจอแล้วผมจะโทรกลับทันทีครับ!”
หลังจากพูดประโยคง่ายๆ ออกไปสองประโยค เขาก็รีบวางสาย จากนั้นก็มองพายุที่กำลังขับรถอยู่ทางด้านหน้า พลันพูดเสียงเข้ม “จอดรถ!”
พายุได้ยิน จึงรีบผ่อนความเร็ว และจัดการจอดรถเข้าข้างทาง
เวลานี้เอง ภวินท์โทรศัพท์ไปยังสำนักงานCEOโดยตรงทันที
ไม่นานนัก นวิยาที่อยู่ทางนั้นเป็นคนกดรับสาย “สำนักงานCEO ของSTN Group สวัสดีค่ะ”
น้ำเสียงภวินท์ทั้งเคร่งขรึมและเย็นชา “ผมภวินท์ ไปดูญาธิดาสิว่าตอนนี้อยู่ที่บริษัทมั้ย!”
นวิยาที่อยู่ปลายสายตกตะลึงทันที แต่ไหวพริบดีจึงตอบสนองทันควัน พลางใช้โทรศัพท์ที่อยู่ด้านข้างต่อสายไปยังแผนกธุรการ
หลังจากสอบถามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอหยิบสายโทรศัพท์ขึ้นมา “คุณภวินท์คะ ตอนนี้ญาธิดาไม่อยู่ที่บริษัท ตั้งแต่เริ่มงานในช่วงบ่ายถึงตอนนี้หายตัวไปสองชั่วโมงกว่าแล้วค่ะ แต่ตอนเพิ่งเข้างานช่วงบ่าย เธอมาสำนักงานCEOมาถามหาคุณ พอได้ยินว่าคุณไม่อยู่ก็ออกไปแล้วค่ะ”
ภวินท์ได้ยินแล้วเส้นขมับตรงหน้าผากปูดขึ้นมา ริมฝีปากของเขาเม้มเป็นขีดแถมพูดด้วยเสียงเย็นชา “ผมเข้าใจแล้ว”
เขาพูด จากนั้นก็ตัดสายทันที
ซึ่งพูดได้ว่า หลังจากที่ญาธิดาออกจากห้องสำนักงานCEOไปแล้ว เธอก็หายตัวไป
เธอไม่มีวันขาดงานโดยที่ไม่มีการลางาน ฉะนั้นเหลือความเป็นไปได้อยู่เพียงอย่างเดียว คนที่ลักพาตัวเธอไปก็คือคนในบริษัท