ดวงใจภวินท์ - บทที่ 249 ไม่เห็นกับตาก็ไม่ต้องหงุดหงิดกับมัน
ญาธิดาถูกเขามองจนเริ่มออกอาการประหม่า จนรู้สึกลำบากใจจนต้องเบนสายตาหนี จากนั้นก็พูดออกมาทั้งๆ ที่หน้าเริ่มแดง “ขอบคุณนะ…”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ คุณป้า ธิดา หากพวกคุณยังต้องการความช่วยเหลืออะไรอีก ก็สามารถบอกผมได้ครับ”
พวกเขาพูดคุยกันไม่กี่ประโยค บรรยากาศภายในห้องพักผู้ป่วยก็กระฉับกระเฉงขึ้นมาก
ไม่นานนัก ยติภัทรก็ตื่น พวกเขาทักทายกัน และพูดคุยกันอยู่สักพัก
ญาธิดายืนอยู่อีกฝั่ง จึงมองเห็นบิดากับธีทัตพูดคุยกันอย่างถูกคอ และคลี่ยิ้มตามมาติดๆ หลายวันที่ผ่านมานี้ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นยติภัทรดีใจขนาดนี้
ซึ่งเวลาผ่านพ้นไปชั่วโมงกว่าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนพยาบาลเดินเข้ามาตรวจร่างกายยติภัทรตามเวลาการรักษา ธีทัตเหลือบมองเวลา จึงกระซิบพูด “ได้เวลาแล้วครับ คุณลุงคุณป้า วันนี้ผมกับอันอันขอตัวก่อนแล้วครับ คราวหน้าผมจะมาเยี่ยมพวกคุณอีกครับ”
อัญมณีเกิดอาการไม่อยากจะกลับ แต่ก็ได้เวลาแล้ว เธอจึงส่งจูบให้ญาธิดาตั้งหลายครั้ง ถึงได้ยอมกลับกับธีทัต
ญาธิดาเดินนำหน้าออกไปก่อน เพื่อส่งพวกเขากลับ หลังจากที่เห็นพวกเขาเดินเข้าลิฟต์แล้ว ถึงได้กลับมายังห้องพักผู้ป่วย
ตอนที่เพิ่งเดินเข้าห้องพักผู้ป่วยนั้น ปภาวีถึงได้เดินเข้ามา และดึงเธอพร้อมทั้งกระซิบถาม “ธิดา ลูกบอกกับแม่มาตรงๆ สิ ลูกกับทัตกำลังคบหากันอยู่ใช่มั้ย?”
ญาธิดาได้ยิน ถึงกลับตกใจทันที พร้อมทั้งพูดปฏิเสธตามสัญชาตญาณทันควัน “อะไรนะ? นี่แม่กำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย?”
เธอกับธีทัตไปคบหากันตอนไหนเนี่ย?
“นี่ลูกคิดว่าแม่มองไม่ออกเหรอ? ตาของตาทัตจ้องมองตัวแกตาเป็นมันแล้ว แล้วแกที่แสดงท่าทางอายม้วนต้วนแบบนั้นด้วย…” ปภาวีพูดและแสดงท่าทางอมยิ้ม“แต่แม่รู้สึกว่า ตาทัตเขาก็ไม่เลวนะ อ่อนโยนช่างเอาอกเอาใจ เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเธอบ่นไม่หยุดปากข้างหูของตนเองแล้ว ญาธิดารู้สึกหูชาคล้ายมีหยากไย่ชักอยู่ในนั้น เธอพูดทันทีด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งตลกขบขัน “แม่ หยุดคิดเลย หนูกับคุณทัตเป็นเพื่อนกันตามปกติ แม่ไปเอาที่ไหนมาถึงพูดว่ากำลังเขินกันอยู่?”
“โอเคๆ เพื่อนก็เพื่อน แต่แม่รู้สึกว่าพวกแกสามารถคบหากันได้นะ แม่รู้สึกว่าพ่อหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย ตั้งแต่ครั้งที่แล้วที่ช่วยแกขนย้ายของ หรือจะเป็นเรื่องเตียงนี้ด้วย ทำไมแม่ดูแล้วรู้สึกถูกชะตาจริงๆ …”
ญาธิดาได้ยิน จากนั้นก็ยิ้มและส่ายหน้าปฏิเสธ
เธอรู้ว่าปภาวีเป็นคนร้อนใจ แต่เรื่องของความรู้สึกมันร้อนใจไม่ได้ เธอกับภวินท์ ก็เป็นตัวอย่างที่เห็นตำตา
จู่ๆ เกิดคิดถึงผู้ชายคนนั้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว หัวใจญาธิดาเต้นโครมคราม จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หลังจากเงียบงันไปสักพัก เธอสะบัดศีรษะไปมา และพยายามให้ตนเองไม่ต้องกลับไปคิดมาอีก
ซึ่งในเวลาเดียวกัน สำนักงานCEOของSTN Group ภวินท์ที่กำลังจัดการงานที่อยู่ในมือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา ถัดมาพายุก็ผลักประตูเข้ามา
“คุณภวินท์ คืนนี้มีงานเลี้ยงสังสรรค์ คุณจิรพงษ์ก็อยู่ จะเลื่อนให้ไหมครับ?”
เปลือกตาภวินท์แทบไม่เหลือบขึ้นด้วยซ้ำ พร้อมทั้งพูดเสียงแข็ง “ก็ไม่ได้กลัวเขานี่ ไม่มีความจำเป็นต้องหลบเขา ทำทุกอย่างตามปกติ”
เขาพลิกเปิดสัญญาที่อยู่ในฝ่ามือ จากนั้นก็หยิบแล้วโยนออกไป “อันนี้ส่งคืนให้กับฝ่ายกฎหมาย กลับไปแก้ไขรายละเอียดเหล่านี้ใหม่”
พายุหยิบสัญญาออกมา พลันตอบรับ ทว่าไม่ได้แสดงท่าทีจะเดินออกไป
ภวินท์เงยศีรษะ จากนั้นก็กวาดตามองเขาอย่างเฉยเมย “ยังมีเรื่องอะไรอีก?”
พายุชะงักเล็กน้อย ราวกับเริ่มแสดงอาการลังเลเล็กน้อย “เป็นเรื่องทางโรงพยาบาลครับ”
พอภวินท์ได้ยิน หัวคิ้วย่นเข้าหากัน เดิมก็ไม่อยากจะถาม แต่ด้วยความสงสัยในชั่ววินาทีนั้น จนต้องอ้าปากถามกลับ “มีอะไร?”
“ลูกน้องที่ส่งไปแจ้งมาว่า วันนี้พี่น้องของตระกูลกรเวชได้ไปที่โรงพยาบาล ธีทัตยังให้คนขนเตียงพับเข้าไป ได้ยินว่าเขายังติดต่อวอร์ดผู้ป่วยVIPไว้ด้วย แต่ตอนนี้เตียงไม่พอ เขาจึงจองเอาไว้ก่อน น่าจะอยากอัพห้องให้ดร.ยติภัทรครับ”
เมื่อได้ยินพายุกล่าวรายงาน สีหน้าภวินท์หม่นหมองลง หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเขาจึงอ้าปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์อะไรต่อจากนี้ พายุถึงกลับตะลึง จึงอ้าปากถามกลับมันที “คุณภวินท์ครับ ไม่ออกคำสั่งอะไรอีกเหรอครับ?”
ภวินท์เลิกคิ้วโก่งดั่งคันศรขึ้น จนฉายความรู้สึกหมดความอดทนในแววตาออกมา จึงช้อนตาและจ้องมองพายุพร้อมทั้งโต้ถามกลับ “นายอยากจะให้ฉันออกคำสั่งอะไร?”
พายุเข้าใจทันที จึงก้มศีรษะลง “ไม่มีครับ”
ภวินท์พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “ออกไปเถอะ”
เมื่อเห็นพายุเดินออกไปแล้ว วินาทีที่ประตูห้องทำงานปิดตัวลง ณ วินาทีนั้น จู่หัวใจของเขาก็หงุดหงิดขึ้นมาสักพัก เขายกมือขึ้น เพื่อปลดเนกไท ในหัวสมองกลับปรากฏใบหน้าของญาธิดานั้นขึ้นมา
ผู้หญิงคนนี้ ดื้อดึงจนทนไม่ไหว เธอพูดออกจากปากเองว่าต้องการจะเป็นคู่ขนานกับเขา งั้นเขายังต้องไปสนใจด้วยเหรอว่าเธอจะทำอะไร?
ช่างเถอะ!ไม่เห็นเจ้าตัวก็จะไม่หงุดหงิดแล้ว!
แม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนี้ แต่เรื่องนี้มันอัดแน่นอยู่ในหัวใจของภวินท์ สะบัดไม่ออกสักที
ตกกลางคืน ในงานเลี้ยงสังสรรค์ ภวินท์หมดความสนใจกับทุกสิ่ง ทำแค่ชนแก้วเหล้ากับอีกฝ่าย และกระดกเหล้าหมดแก้วอย่างไม่พูดไม่จา ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ได้พูดอะไรมากนัก
ธนวิชมองสภาพของเขาผิดแปลกไป หลังจากลังเลอยู่นาน ในที่สุดก็อ้าปากถามอย่างอดใจไม่ไหว “คุณภวินท์ วันนี้มีอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่ามีเรื่องหงุดหงิดใจ?”
เมื่อได้ยินเขาพูดมาเช่นนี้ บรรดาท่านประธานต่างๆ คนอื่นที่อยู่บนโต๊ะทานข้าวต่างมองมาทางเขา แววตาต่างแสดงความหมายซักถามกลับมาอยู่ไม่น้อย
แววตาภวินท์หม่นหมองลง พลันคลี่ยิ้มมุมปาก แต่กลับไม่มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนแววตา และเริ่มอ้าปากพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “เรื่องธุรกิจมีเรื่องไหนที่ได้ดั่งใจบ้างครับ? ทุกท่านคงเข้าใจดีกว่าผมใช่มั้ยครับ?”
ท่ามกลางหลายคนที่นั่งอยู่นั้น เขาอายุน้อยที่สุด ที่เหลือก็เป็นคนอายุ30-40กว่าปีเป็นผู้มีประสบการณ์โชกโชนในวงการมาอย่างยาวนาน
เมื่อได้ยินเขาพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนต่างหัวเราะเฮลั่น จากนั้นก็ชูแก้วเพื่อแสดงความเคารพ ภวินท์ก็ไม่ได้ตอบปัด และยินดีทำตามทุกอย่าง
ท้องฟ้ามืดสนิท เวลาดึกพอควร อย่างไม่รู้ตัว ประธานหลายคนก็ดื่มหนักมาก ดื่มจนเมาอ้อแอ้ เมื่อดื่มกันอย่างเต็มที่แล้ว ถึงได้แยกย้ายออกจากงาน
ภวินท์ขึ้นรถ โดยเอนหลังพิงเก้าอี้เบาะหลัง และเริ่มปวดศีรษะเล็กน้อย
พายุเห็นภาพนั้นแล้ว จึงเอื้อมมือขึ้นมาเบาเพลง และขับรถยนต์อย่างนิ่มมากที่สุด เพื่อเตรียมมุ่งหน้าขับรถกลับที่พัก
จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มของชายหนุ่มดังมาจากเบาะด้านหลัง “ไปโรงพยาบาล”
พายุตะลึงเล็กน้อย แต่มีไหวพริบดีมาก จึงส่งเสียงตอบรับทันควัน “ครับ”
ซึ่งมูลเหตุตามความเป็นจริง เหตุเพราะญาธิดาอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนั้น
แม้ว่าจะดื่มหนักมากตอนอยู่ที่โต๊ะอาหาร แต่ภวินท์ก็ยังไม่ถึงขั้นเมาขนาดนั้น ด้วยความหงุดหงิดตั้งแต่ช่วงบ่ายลากยาวมาถึงตอนกลางคืน ทั้งหมดเป็นเพราะญาธิดาส่งผลจนทำให้ตกอยู่ในสภาพนี้ เขารู้สึกไม่มีความสุข จึงอยากไปหาเธอสักหน่อย
เขาอยากเห็นเธอตกทุกข์ได้ยาก
บรรยากาศกลางดึกในโรงพยาบาลเงียบสนิท มาพร้อมกับความโดดเดี่ยวเดียวดาย และความเย็นชาที่เผยออกมา
ภวินท์ขึ้นลิฟต์และออกมาจากลิฟต์ พอเลี้ยว ก็มองเห็นหญิงสาวกำลังนอนหลับสนิทบนเก้าอี้ตัวยาวโดยการเอนตัวชิดกับกำแพง ทางด้านหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยอยู่ไกลๆ
ธีทัตเอาเตียงพับมาให้เธอแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอยังมานอนอยู่บนเก้าอี้ทางหน้าประตูนอกห้องได้ล่ะ?
ภวินท์ย่นคิ้วหากันแน่น และเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เมื่อฝีเท้าเร็วเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ จึงมองเห็นใบหน้าด้านข้างอันขาวเกลี้ยงเกลาของหญิงสาว เธอไม่ได้แต่งหน้า สีหน้าเริ่มมีความขาวซีดราวกับมีอาการป่วยด้วย แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความสวยของเธอได้ ปลายจมูกโค้งโก่งน่ารักน่าชัง สันกรามโค้งมนจนถึงปลายคาง ช่างสวยเหลือเกิน
ภวินท์กวาดตามองบริเวณโดยรอบ จนรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ถ้ามีคนจิตใจคิดไม่ซื่อ อยากฉวยโอกาสนี้แต๊ะอั๋ง เกรงว่าตัวเธอเองยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ?
ผู้หญิงคนนี้ ไม่ระแวดระวังตัวเลย!
เมื่อเดินมาถึงประตูห้องพักผู้ป่วย เขาแหงนหน้าเหลือบตามองด้านในผ่านกระจกเล็กๆ ผ่านช่องประตู ภายในห้องพักผู้ป่วยนอกจากเตียงคนป่วยแล้ว ด้านข้างก็ยังมีเตียงพับเล็กๆอีกเตียงอยู่จริงๆ ซึ่งมันนอนได้แค่คนเดียว ปภาวีกำลังนอนอยู่บนนั้น แถมยังหลับลึกด้วย
วินาทีนั้นภวินท์ฉุกคิดอะไรได้อยู่ในใจ มิน่าล่ะญาธิดาจึงมาอยู่ด้านนอก เพราะกลัวว่าแม่จะเอาเตียงให้เธอนอน
สายตากลับมามองที่ญาธิดาอีกครั้ง หัวใจของภวินท์เกิดความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้มันเกาะกินอยู่ในใจ เดิมที่เขาก็พกอารมณ์ความโกรธเคืองมาเพื่อจะมาแหย่เพราะอยากดูความตลกขบขันของเธอ แต่เมื่อเห็นเธอตกอยู่ในสภาพนี้ เขากลับไม่ดีใจสักนิด