ดวงใจภวินท์ - บทที่ 251 แผนล่อเสือออกจากถ้ำ
“แม่งเอ๊ย!” ชั่วขณะนั้นมาร์ตินสบถออกมา ร่างกายกระเด็นจนหมอบคว่ำลง
เสียงดัง“ปัง!”ทีหนึ่ง กระจกรถถูกยิงเข้า ชั่วพริบตาเดียวแตกร้าวกลายเป็นใยแมงมุม
คนหัวเกรียนโค้งตัวเอาไว้ พยายามเหยียบคันเร่ง ล้อรถลื่น ไม่รู้ว่าติดอะไรอยู่ด้านใน ทำให้ออกตัวไม่ได้ เขาลนลานอยู่บ้าง “มาร์ติน ทำไงดีวะ!”
ดูท่าทางแบบนี้ พวกเขาคงโดนล้อมรอบไว้แล้ว อยากจะเอาของแล้วหนีรอดปลอดภัย กลัวแต่ว่ายากมากจริงๆ
มาร์ตินอุทานมาทีหนึ่ง กุมอาวุธในมือแน่น ตะโกนว่า “สู้มัน!”
ตามมาด้วย ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน เห็นเพียงสี่ด้านที่มืดมิดมีอะไรยิงเข้ามาไม่ขาดสาย ส่วนพวกเขาที่อยู่บนรถ ไม่กล้ายืดตัวกันทั้งนั้น แทบจะมองไม่เห็นแม้แต่ครึ่งตัว
ฝ่ายหนึ่งอยู่ที่สว่าง ฝ่ายหนึ่งอยู่ที่มืด ไม่นาน รถคันนี้ก็โดนยิงจนกลายเป็นตะแกรง พวกเขาทางนี้ เห็นได้ชัดว่าตกเป็นเบี้ยล่างโดยสิ้นเชิง
มาร์ตินขดตัวอยู่บนรถ ใบหน้าอัปลักษณ์และดูโหดร้ายเนื่องจากสั่นสะเทือนและกระตุกไม่หยุด ดวงตาคู่หนึ่งเผยความโหดเหี้ยม
ทำไมถึงเผยเส้นทางออกมาแล้ว? โดนคนปิดประตูตีแมวเข้าแล้ว!
ไม่นาน ผู้คนทั้งหมดก็ปรากฏตัวจากที่มืดมิด ล้อมรถยนต์เอาไว้อย่างรวดเร็ว ปากกระบอกที่ดำมืดเล็งไว้ที่รถยนต์
ขอเพียงพวกเขามีการเคลื่อนไหวใดๆ ไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อยเลย ต้องตายเป็นแน่
ภาพคนที่สูงใหญ่แข็งแรงราวกับว่าร่างกายแหวกผ่านความมืดออกมา ก้าวเท้าเดินมา ในสายตามีความเย็นยะเยือกระดับหนึ่ง ไม่มีตื่นตระหนกสักนิด
ภวินท์เดินมาถึงข้างรถ ดวงตาคู่หนึ่งจ้องรถไว้โดยตรง ราวกับสามารถมองเห็นด้านในผ่านประตูรถอย่างนั้น “ลุงมาร์ติน ลงจากรถมาเถอะ!”
คำพูดประโยคหนึ่งที่สบายๆ ทว่ากลับมีน้ำหนักเต็มที่มาก มีพลังและอำนาจโน้มน้าวจิตใจ เห็นได้ชัดว่า เขาจับจุดสำคัญของมาร์ตินเอาไว้ได้หมดแล้ว อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบโดยสิ้นเชิง
มาร์ตินรู้ตัวว่าดึงดันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เขาขมวดคิ้วแน่น ยืดตัวขึ้น ก่อนจะผลักเปิดประตูรถ
พอลงจากรถ เขาก็มองเห็นภวินท์ฉีกยิ้มมายังเขาแล้ว พูดนิ่งๆ “ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ได้ยินเสียงนั้น เขาก็หัวเราะเยาะ ยืดหลังตรง นำอาวุธในมือทิ้งไว้บนพื้นอย่างสง่าผ่าเผย ไม่มีความอับอายของผู้พ่ายแพ้สักนิด
เวลานี้ อยู่มาเกือบครึ่งชีวิตแล้ว ปัญหายุ่งยากอะไรล้วนเคยเจอมาหมด และไม่มีอะไรให้แปลกใจเป็นพิเศษ ยิ่งไปกว่านั้น นี่ไม่ใช่ครั้งที่เขาถูกจับ
ลูกน้องสองคนที่สวมชุดดำเดินเข้ามา จับเขาไว้ด้วยความฉับไว
ตั้งแต่ต้นจนจบบนหน้ามาร์ตินไม่มีความรู้สึกใดๆ มองภวินท์แบบลึกล้ำแวบหนึ่ง จากนั้นฉีกริมฝีปากแล้ว ไม่พูดอะไรสักคำ
สามคนที่เหลือบนรถมองเห็นมาร์ตินยอมให้ถูกจับง่ายดายขนาดนี้ ราวกับสูญเสียเสาหลักไป ชั่วขณะนั้นสับสนกว่าเดิม
คนหัวเกรียนที่อยู่ด้านหน้ากลอกดวงตาวนไปมา มองหาโอกาสเหมาะ แล้วผลักประตูเปิดก่อนจะวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
เสียงดัง“ปัง”ทีหนึ่ง ลูกกระสุนยิงโดนขาของเขา เขาร้องโหยหวนทีหนึ่ง ล้มลงบนพื้นโดยตรง เลือดได้แต่พุ่งออกมาจากน่องขา
เวลานี้ วิ่งหนีไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก สองคนที่เหลือรู้ตัวเป็นอย่างดี จึงไม่ต่อต้านอีกต่อไป ต่างวางปืนแล้วยอมจำนนกันหมด
เห็นคนโดนจับถูกนำตัวไป ภวินท์ก็เดินไปยังท้ายรถ หลุยส์เปิดกระโปรงรถด้านหลังออก มองเห็นด้านล่างของรกรุงรังมีกล่องใบหนึ่งอยู่ จึงเปิดออกมาดูทันที
หลุยส์ถือโอกาสเปิดออกดูห่อหนึ่ง ใช้นิ้วมือคลึงดูหน่อย เอามาดมใกล้ๆ ก่อนจะขมวดคิ้วบอกว่า “สีขาว คุณภาพทั่วไป”
ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น มองกล่องใบเล็กอันนี้อยู่ ไม่รู้ทำไมถึงเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น
เขาหมุนตัว รีบสั่งอาทิตย์ทันที “พาคนที่ถูกจับ กลับไปโกดังสักรอบ ดูว่ายังมีขอที่เหลืออยู่อีกหรือไม่”
ว่าตามเหตุผลแล้ว พวกเขาสี่คนเข้ามากัน ย่อมไม่อาจมาเอาของกล่องเล็กขนาดนี้เพียงแค่อันเดียวหรอก ถ้าไม่มีของชุดใหญ่เหลืออยู่ที่โกดัง ก็คงมีเงื่อนงำอย่างอื่นในนั้น
ไม่นาน อาทิตย์ก็กลับมา พลันพูดจาแบบอึมครึม “ไม่มีเลยครับ มีแค่กล่องเดียวแค่นี้”
หลุยส์หันหน้ามองทางภวินท์ เอ่ยปากถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“ไม่ถูกสิ” ภวินท์ขมวดคิ้วแน่น “มีตรงไหนที่ไม่ถูกต้อง”
เพื่อของแค่นี้มารวมตัวกันถึงสี่คน ในนั้นยังมีมาร์ตินด้วยคนหนึ่ง นี่คือการค้าขายที่ขาดทุนมากเลยนะ แต่ว่าตามรูปแบบการทำงานของคนนั้นก่อนหน้านี้แล้ว จะต้องไม่ยอมขาดทุนมากขนาดนี้เด็ดขาด
ภวินท์สั่งการกับหูฟังไมโครโฟนว่า “ต้น ค้นดูว่ายังมีการเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีกหรือเปล่า!”
เขาไม่กล้าคิดมาก แต่ไม่คิดมากก็ไม่ได้อีก ถ้ามาร์ตินเป็นเพียงเหยื่อล่อตั้งแต่แรกจนจบ……
ทันใดนั้น ต้นส่งเสียงมา “ท่าเรือแหลมทอง”
ภวินท์ได้ยิน หัวสมองเกิดเสียง“วึ้ง”ขึ้น รีบสั่งการด้วยเสียงทุ้มทันที “เร็วเข้า ไปท่าเรือแหลมทอง!”
หลายคนเห็นว่าเป็นแบบนี้ ต่างขึ้นรถทั้งหมด จากนั้นมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
ภวินท์นั่งอยู่บนรถ สีหน้าอึมครึมถึงที่สุด
ตอนที่ได้ยินท่าเรือแหลมทองสถานที่นี้เข้า ในใจเขาแทบจะสามารถยืนยันได้ว่าทางนั้นไม่ปกติเป็นแน่ เพราะท่าเรือแหลมทองอยู่ที่เขตตะวันออกเฉียงใต้ แต่พวกเขาตอนนี้อยู่ที่เขตตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาอยากรีบเข้าไป ยังต้องใช้เวลาเดินทางเกือบหนึ่งชั่วโมง
ตามคาด ตอนที่รีบไปถึง ท่าเรือเป็นปกติทุกอย่าง ไม่มีตรงไหนน่าสงสัยสักนิด
“นี่แม่งล่อเสือออกจากถ้ำเหรอ!” หลุยส์โมโหจนต้องแอบด่า “โคตรแม่งเอ๊ย!”
ภวินท์ขมวดคิ้ว มองท่าเรือที่วุ่นวายกับการถ่ายสินค้าอยู่ ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงแล้ว
ต้นที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากแบบอดไม่ได้ “ดูท่าทางแล้ว มาร์ตินคงเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง เป็นเป้าหลอกล่อให้พวกเราย้ายความสนใจทั้งหมดไปที่ตัวเขา
ความจริงเป็นเช่นนี้
เพื่อของชุดนั้นแล้ว ยอมสะบัดมาร์ตินออกมาโดยตรง นี่โหดร้ายมากจริงๆ สองฝ่ายแลกเปลี่ยนในเวลาเดียวกัน ฝ่ายหนึ่งเปิดเผยฝ่ายหนึ่งหลบซ่อน ใช้มาร์ตินมาขัดขวางพวกเขาไว้ ช่างมีแผนการเสียจริงๆ เลย
ดวงตาดำของภวินท์แวววาว เข้มข้นราวกับวาดด้วยน้ำหมึก นิ่งไปครู่หนึ่ง เขาจึงหมุนตัวขึ้นรถไปก่อน พูดอย่างเย็นชาว่า “กลับ”
เรื่องราวมาถึงปัจจุบันนี้ ไม่มีช่องว่างให้ย้อนกลับแล้ว
สิ่งที่ทำให้เขากลัวที่จะคิดถึงที่สุดคือ คนคนนั้นเข้าใจความคิดของพวกเขาขนาดนี้เลย คาดไม่ถึงยังสามารถเดาได้ว่าพวกเขาจะรวบรวมความสนใจไปไว้บนตัวของมาร์ติน เพราะเร่งจับจิตวิทยาของเขาไว้ และมองข้ามความเป็นไปได้กับรายละเอียดส่วนอื่นแล้ว
นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ภวินท์กุมหมัดแน่น ทั่วทั้งตัวมีความเย็นยะเยือกอยู่
เขาแอบตัดสินใจว่า ถึงแม้คนคนนั้นจะเป็นปีศาจจากนรก เขาก็จะไม่ปล่อยเขาไปโดยเด็ดขาด!
ในขณะเดียวกัน ในคฤหาสน์ชานเมือง เปิดไฟสว่างไสว ภูผานั่งอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง มองความมืดมิดที่ไกลออกไป เมฆกดลงต่ำมาก ดูครึ้ม เหมือนฝนจะตก
เวลานี้ มีคนเคาะประตูห้องดังขึ้น จากนั้นครามก็ผลักประตูเข้ามา รีบเดินมาข้างหน้า โค้งตัวขยับเข้าไปใกล้ข้างหูภูผาแล้วรายงานสถานการณ์
พอภูผาได้ยิน ก็อารมณ์ดีมาก ฉีกริมฝีปากแล้ว พูดเสียงเบา “ตามคาด เขาแพ้แล้ว แพ้ให้ฉันแล้ว”
ครามเห็นภูผายากจะเบิกบานขนาดนี้ ก็ฉีกยิ้มตาม “ยินดีด้วยครับคุณชาย”
พอได้ยิน รอยยิ้มภูผาลึกขึ้น เหมือนพูดจากับตนเอง “ต่อไปช่วงที่เขาพ่ายแพ้ยังอีกมากเลยล่ะ”
หลังจากนั้น เขาหันหน้าเล็กน้อย บอกว่า “เรื่องที่นัดเจอปริญจัดการเสร็จแล้วเหรอ?”
เขาเพิ่งพูดจบ ขอบฟ้ามีเสียงทุ้มแบบดังก้องลอยมา
“อืม จัดการเรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี”
ภูผาหันหน้า มองฝนที่เริ่มตกอยู่นอกหน้าต่าง อารมณ์ดีขึ้นระดับหนึ่ง
ฤดูร้อนที่อบอ้าว ต้องการฝนห่าใหญ่ราดผ่านความร้อนไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็ชำระล้างร่องรอยบางอย่างให้สะอาดด้วย ไม่เผยพิรุธ