ดวงใจภวินท์ - บทที่ 284 ควรลงโทษไหม
บทที่ 284 ควรลงโทษไหม
เมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย ภวินท์ก็หน้ามืดมนขึ้นมาทันที
เขาขมวดคิ้วถามอย่างเย็นชาว่า “ฉันจองโรงแรมต้องรับพ่อไว้แล้ว ทำไมจู่ๆ กลับบ้านล่ะ”
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจความไม่พอใจจากน้ำเสียงของภวินท์ ภูผาก็อธิบายด้วยรอยยิ้มช้าๆ “พ่อบอกว่าอยากกลับไปหาย่าก่อน ก็เลยกลับไปคฤหาสน์หลังเก่าก่อน”
ภวินท์ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร วางสายแล้วเดินหันกลับไป
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ญาธิดาจึงรีบตามไปถามว่า “คุณภวินท์ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ภูผามารับพวกเขากลับบ้านแล้ว”
พูดพลางขึ้นรถ สั่งคนขับเสร็จ ภวินท์ก็เอียงหน้ามองเธอด้วยดวงตาสีเข้ม เผยริมฝีปากขึ้นกล่าวว่า “ถ้าคุณไม่อยากไปกับผม เดี๋ยวผมจะให้คนขับรถส่งคุณกลับไป”
ทั้งที่ภวินท์ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ญาธิดาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ออกมาจากตัวเขา เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างเป็นการเป็นงานว่า “ไม่เป็นไร ฉันจะไปกับคุณค่ะ”
ภวินท์ได้ยินแบบนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
รถสีดำแล่นไปตลอดทาง ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็มาถึงคฤหาสน์หลังเก่า
รถจอดที่สวน เมื่อลงจากรถ ญาธิดาก็รีบตามภวินท์ไปที่ประตู
เมื่อพวกเขาไปถึงประตู ยังไม่ทันจะเข้าไป ก็ได้ยินเสียงสนทนาจากข้างในแล้ว
ตอนที่เดินเข้าไปข้างใน ญาธิดาก็เห็นภวินท์ยืนแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเรียกสติกลับมาได้ เขาก็เดินไปข้างในแล้ว
เธอรีบตามไป เมื่อเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นคนที่นั่งอยู่บนโซฟา นอกจากคุณย่ากับภูผาและครามที่กำลังนั่งรถเข็นอยู่ข้างๆ คนที่นั่งบนโซฟานั้นก็เป็นชายวัยกลางคนที่ยิ้มแย้ม และข้างๆก็เป็นหญิงสาวที่ดูแลตัวเองดี แต่งตัวสุภาพ ดูแล้วน่าจะเด็กกว่าชายคนนี้กว่าสิบปี
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า สองคนนี้คือปกรณ์พ่อของภวินท์และมรกต แม่ผู้ให้กำเนิดของภูผา
ปกรณ์และมรกตเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียง ทันทีที่พวกเขาเห็นภวินท์ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาก็หายไปโดยเฉพาะปกรณ์มองภวินท์แบบไม่สบตาด้วยสายตาเย็นชา
ภวินท์ก้าวไปข้างหน้า โค้งคำนับทักทาย “คุณพ่อ น้าผิง”
มรกตยิ้มด้วยท่าทางใจดี “วินนั่งลงสิ พวกเรารอนายมานานแล้ว”
“ฮึ่ม!” ปกรณ์หน้าดุขึ้นทันที “ใครอนุญาตให้นั่ง! คุกเข่าลง!”
ทุกคนตกตะลึง แม้แต่ภูผาที่อยู่ข้างๆ ก็ยังแปลกใจ
คุณย่าก็แปลกใจเช่นกัน ถามขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “กรณ์ แกทำอะไรอยู่! วินเพิ่งกลับมา เขาไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย…”
“ผิดหรือไม่ผิดตัวเขาเองไม่รู้เหรอ!” ปกรณ์กำหมัดแน่น เส้นเลือดขึ้นหน้าผาก ดวงตาคมกริบจ้องไปที่ภวินท์ “คุกเข่าลง!”
ภวินท์ได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่นาน เขาก็ก้าวไปข้างหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ ก้มแล้วคุกเข่าลง
มือและเท้าของชายหนุ่มเรียวยาว คุกเข่าลงแบบนี้ หลังของเขาก็ยังตรง ใบหน้ามั่นคง นอกจากรอยย่นที่ส่วนโค้งของกางเกงแล้ว ก็ไม่มีทีท่าน่าละอายเลย
ญาธิดารู้สึกไม่สบายใจ ไม่คิดว่าภวินท์จะถูกปกรณ์สั่งให้คุกเข่าทันทีที่เขากลับมาบ้าน เป็นเพราะเรื่องแผนงานหรอเขาถึงถูกลงโทษ
ปกรณ์ ลุกขึ้นและถามเสียงเข้มว่า “รู้ไหมว่าทำไมฉันถึงให้คุกเข่า!”
ภวินท์ก้มหน้าลง หน้าของเขาคมราวกับมีดยังคงเย็นชาเหมือนเคย “เป็นความประมาทของผมเองที่ทำให้แผนงานรั่วไหลออกมา”
“แค่เรื่องแผนงานงั้นหรอ” ปกรณ์ฮึมเสียงเย็นชา “ไม่พูดถึงเรื่องที่ทำเงินหายไป70ล้านนะแต่ตอนนี้แกมีแต่เรื่องฉาวโฉ่ข้างนอก มีแต่ความอับอายให้ตระกูล ในตลาดหุ้นก็ตกจนจะไม่เหลือแล้ว นี่แกจะให้คนทั้งตระกูลต้องมาชดใช้เลยใช่ไหม!”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างเย็นชาว่า “พ่อครับ เป็นความผิดของผมเอง”
ญาธิดายืนอยู่ข้างๆ ราวกับอากาศไม่มีตัวตนยังไงอย่างนั้น ได้ยินความผิดที่เขาร่ายมาก็จิตตกอยู่เหมือนกัน
ปกรณ์กลับมาจากต่างประเทศครั้งนี้ เพราะจะมาจัดการเรื่องนี้โดยเฉพาะ ดูท่าทีแล้วเขาไม่น่าจะจบง่ายๆอย่างแน่นอน
แล้วก็เป็นไปตามนั้น น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาดังขึ้น “ในเมื่อแกก็ยอมรับแล้ว แกพูดเองแล้วกัน ว่าควรจะถูกทำโทษไหม!”
ภวินท์หน้าสลด เปิดปากพูด “ควรถูกลงโทษครับ”
ปกรณ์โกรธจัด สั่งลูกน้องลุงทอง “ไปเอาแส้มา!”
ลุงทองไม่รีรอ รีบไปหยิบอุปกรณ์ลงโทษมาทันที
แส้หนังเอ็นเนื้อยาวมากกว่าหนึ่งเมตร มีหนามเล็กๆ ติดอยู่ เวลาที่ฟาดลงไป ต้องมีหนังติดเนื้อติดขึ้นมาด้วยแน่ ต้องเลือดออกแน่นอน
ย่าที่อยู่ด้านข้างเห็นแส้ในมือของลุงทอง ใบหน้าของเธอก็ซีดเซียวด้วยความตกใจ เธอรีบมองปกรณ์เริ่มเกลี้ยกล่อม “กรณ์จะลงโทษแบบนี้ไม่ได้…”
บรรพบุรุษของตระกูลสถิรานนท์เป็นครอบครัวใหญ่มาหลายชั่วอายุคน ย่อมมีวิธีลงโทษประจำตระกูล วิธีนี้ก็สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แส้นี้ถูกใช้มาหลายชั่วอายุแล้วเช่นกัน
ปกรณ์จะใช้วิธีนี้ลงโทษภวินท์ถือว่าเขาโกรธจัดจริงๆ
ญาธิดาเห็นก็กลัวด้วยเหมือนกัน เธอยืนอยู่ที่เดิม ไม่กล้าทำอะไร เธออยู่ในสถานการณ์สุดอึดอัด เธอเป็นห่วงภวินท์มาก
แต่ยังไงเธอก็เป็นแค่คนนอก เข้าไปยุ่งก็ไม่ดี แล้วก็ไม่มีสิทธิ์จะทำอะไรแบบนั้นด้วย
เมื่อโดนคุณย่าพูดห้ามปกรณ์ก็ตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “แม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแม่”
บรรพบุรุษของตระกูลสถิรานนท์เป็นครอบครัวใหญ่มาหลายชั่วอายุคน ย่อมมีวิธีลงโทษประจำตระกูล วิธีนี้ก็สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน แส้นี้ถูกใช้มาหลายชั่วอายุแล้วเช่นกัน
พูดจบก็หยิบแส้จากมือลุงทองแล้วมองไปที่ภวินท์อย่างเย็นชา
มรกตซึ่งอยู่ด้านข้างเมื่อเห็นแบบนั้น ก็รีบพยายามเกลี้ยกล่อมเขา “กรณ์ แม้ว่าครั้งนี้วินจะทำผิด แต่เดี๋ยวก็แก้ปัญหาได้ ครั้งนี้ปล่อยไปเถอะนะ จะใช้วิธีนี้ไม่ได้นะ…”
คำพูดเหล่านี้ฟังดูเหมือนช่วยพูดแทนภวินท์ แต่จริงๆกลับยิ่งตอกย้ำความผิดพลาดของเขาต่อหน้าปกรณ์ไม่เพียงไม่ได้ทำให้เขาหายโกรธ แต่ยังทำให้เขาโกรธมากยิ่งขึ้น
“เรื่องครั้งนี้ ใครก็อย่ามายุ่ง!”
ปกรณ์สีหน้าจริงจัง สายตากวาดมองไปที่ภวินท์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ถามอย่างเย็นชาว่า “วงศ์ตระกูลสถิรานนท์กว่าร้อยปี ไม่ได้มีไว้ให้แกทำพัง แกลองนึกถึงตอนที่แกรับปากกับฉัน แกพูดสิว่าแกควรโดนลงโทษไหม!”
ตาของภวินท์กระตุกไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างเฉียบขาด “ควรถูกลงโทษ ผมไม่มีข้อโต้แย้ง”
เมื่อพูดไปแบบนี้ ก็ไม่มีอะไรมาหยุดได้แล้ว
ปกรณ์กำด้ามแส้แน่น ดวงตาที่เย็นชาของเขาเป็นประกาย แล้วก็เดินเข้าไป
ดูเหมือนเขาจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นาน เขาก็ง้างมือขึ้น แส้ที่นุ่มราวกับงูน้ำก็ถูกเหวี่ยงขึ้นในอากาศแล้วเหวี่ยงไปที่หลังของภวินท์ “ฟิ้ว!”
“เพี้ยะ!” ร่างของภวินท์สั่น แต่เอวยังคงตั้งตรง หนามบนแส้ก็ฉีกเสื้อนอกของเขา
“ฟิ้ว!” ครั้งที่สองก็ถูกฟาดลงอีก เสื้อผ้าที่ด้านหลังก็ขาดมากขึ้น เลือดก็ไหลออกมาแล้ว
ใบหน้าของคุณย่าซีดเผือด เธอทนไม่ไหวจนยกมือขึ้นเพื่อปิดตา มรกตที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งก็ยกมุมริมฝีปากขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ประกายแห่งความสุขใจและความตื่นเต้นวาบอยู่ในดวงตาของเธอ
กลับมาเมืองJ ก็ได้เห็นเรื่องสนุกแบบนี้ เธอก็สบายใจเป็นธรรมดา
อีกด้านหนึ่ง ภูผายังคงมีสีหน้าเหมือนเดิม แต่ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เอวของภวินท์
การลงโทษประจำตระกูลจะฟาด 10 ที ฟาดไปแต่ละทีเจ็บไม่ใช่เล่นเลย เมื่อฟาดไปถึงครั้งที่สาม ร่างของภวินท์ก็เริ่มสั่นแล้ว
ญาธิดายืนอยู่ข้าง ๆ เห็นว่าเสื้อด้านหลังเยอะมาก เผยให้เห็นผิว เนื้อก็เหวอะออกมา รอบแผลแดงๆ ดูแล้วน่ากลัวมาก!