ดวงใจภวินท์ - บทที่ 296 จุดอ่อนของเขา
บทที่ 296 จุดอ่อนของเขา
ภวินท์ขมวดคิ้ว พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “พ่อครับ เรื่องการหมั้นผมจะจัดการเอง”
ปกรณ์พูดอย่างมั่นใจ “ก่อนหน้าฉันจะกลับมา แกจัดการยังไงก็เรื่องของแก แต่ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมือง J เรื่องทั้งหมดต้องฟังฉันกับน้าของแก”
ใบหน้าของภวินท์หงอยลง ริมฝีปากเม้มแน่นช้าๆ เงียบไม่พูดอะไร
เขายังคงเข้าใจอารมณ์ของพ่อ แต่ไหนแต่ไรมา เรื่องที่เขาตัดสินใจไปแล้วไม่มีทางจะเปลี่ยนได้ ก็เพราะเขาเป็นแบบนี้ ทำให้เขากับแม่ไม่ได้เจอกันก่อนที่เธอจะจากไป
หวนนึกถึงอดีต ภวินท์ก็ปวดหัว สักพักก็ เปิดปากพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมไม่ตกลง”
เขาตกลงหมั้นหมายกับนิวราแล้ว จะเวลาไหนให้เขาตัดสินใจเองไม่ได้เหรอ
ภวินท์ท่าทีแน่วแน่ ปกรณ์ก็แน่วแน่ไม่แพ้กัน จ้องไปที่ภวินท์ด้วยสายตาเฉียบคม แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “แกคิดว่าฉันไม่รู้เรื่องของแกเลยจริงๆหรอ แกกับญาธิดาพัวพันกันขนาดไหน ฉันตรวจสอบหมดแล้ว รวมถึงเรื่องเงินค่าผ่าตัดที่แกจ่ายให้โรงพยาบาลแทนพ่อของเธอด้วย!”
ภวินท์ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมอง ริมฝีปากขยับแต่ไม่พูดอะไร
ดูเหมือนว่าเขาจะตรวจสอบมาหมดแล้ว รู้ถึงขนาดเรื่องค่าผ่าตัดของตระกูลภูสิทธ์อุดม
“ถ้าแกไม่ฟังฉัน ค่าผ่าตัดของตระกูลภูสิทธ์อุดมต้องโดนตัด!”
ใจของภวินท์ก็กระวนกระวาย มองไปที่ ปกรณ์ใจเขาก็ยิ่งวุ่นวาย
เขารู้ดีว่าถ้าตัดค่าผ่าตัดของตระกูลภูสิทธ์อุดมจะหมายความว่ายังไง ตอนนี้ดร.ยติภัทรกำลังเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัด ครั้งก่อนเป็นเพราะเวลายืดเยื้อ ร่างกายของเขาก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าครั้งนี้มีเรื่องอะไรอีก เกรงว่าสถานการณ์จะแย่ลงไปอีก
เมื่อเห็นว่าภวินท์นิ่งไป ปกรณ์ก็พูดต่อว่า “วิน แกก็รู้นิสัยของพ่อ พ่อไม่มีทางให้ใครมามีอิทธิต่ออนาคตของลูกพ่อได้”
ในประโยคนี้ มีความหมายอย่างอื่นซ่อนอยู่ ภวินท์เข้าใจดี
หากเขายืนกรานที่จะไม่ยอมรับ ฉันเกรงว่าปกรณ์จะทำอย่างอื่นที่เป็นผลร้ายต่อตระกูลภูสิทธ์อุดม
คนที่สามารถสร้างSTN Group ได้ด้วยตัวคนเดียว เขาจะทำอะไรไม่ได้เลยได้อย่างไร
หลังจากคิดอยู่ในใจ ดวงตาของภวินท์ก็มืดลงเรื่อยๆ ในที่สุด เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมจะทำตามที่พ่อบอก”
ปกรณ์บังคับเขา และเขาก็จนมุม
เมื่อได้ยินแบบนี้ ปกรณ์ที่ขมวดคิ้วอยู่ก็โล่งใจลงเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงเป็นมิตรขึ้น “ยังไงลูกกับนิวก็จะหมั้นกันอยู่ดี ก็ทำเรื่องให้มันเสร็จเร็วๆไปเลยละกัน ดีกับพวกแก แล้วก็ยังเป็นโอกาสให้STN group ด้วย”
ภวินท์เงยหน้าขึ้น ทันใดที่ได้เห็นดวงตาของ ปกรณ์เป็นประกาย เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทำไมเขาถึงยืนกรานที่จะเลือกเวลาจัดงานหมั้น มันมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น
เขาต้องการใช้เรื่องนี้สร้างโอกาสให้ STN ดึงความสนใจของความเห็นไปไว้เรื่องอื่น ใช้โอกาสนี้แสดงศักยภาพในโลกธุรกิจ สร้างพันธมิตรรายใหม่
นี่เป็นหนทางที่จะช่วยชีวิตSTN ที่ง่ายและไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อย
ทุกอย่างถูกคำนวณมาแล้ว ฉลาดเป็นกรดจริงๆ
จากเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน ปกรณ์ไม่เคยเปลี่ยน เขาเป็นคนที่สามารถเสียสละภรรยาและลูกเพื่อประโยชน์ของตัวเองได้เสมอ
จิตใจเยือกเย็นอย่างสมบูรณ์แบบ ภวินท์หลบตาลงแล้วเงียไป
ปกรณ์ที่อยู่ข้างๆโล่งใจขึ้นมาก คิ้วที่ผูกโบว์อยู่ก็คลายลง จากนั้น เขาก็กระแอมในลำคอและเปลี่ยนเรื่อง “ในเมื่อลูกไม่อยากอยู่บ้าน จะมาอยู่โรงพยาบาลก็ได้ ส่วนเรื่องที่บริษัท พ่อจะให้ภูผาไปรับหน้าแทนก่อน ให้เขาเข้าไปตำแหน่งรองประธาน ลูกคิดว่าไง”
แม้ว่ามันจะเป็นน้ำเสียงเชิงปรึกษา แต่ภวินท์จะไม่รู้ได้ไงว่านี่เป็นการตัดสินใจของ ปกรณ์แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ขยับริมฝีปากและพูดว่า “ถ้าพ่อคิดว่าดี ผมก็โอเคครับ ผมไม่มีอะไรอยู่แล้ว”
ปกรณ์พยักหน้าเล็กน้อย “ก็ดี ลูกออกจากโรงพยาบาลแล้วค่อยกลับเข้าไปแล้วกันนะ ตอนนี้ก็รักษาตัวดีๆแล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็พูดอีกสักพัก แล้วก็จากไป
ปกรณ์นำคนออกไป แล้วหลุยส์ก็เข้ามา มองดูใบหน้าที่เย็นชาของภวินท์ก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
ภวินท์เงยหน้า ในแววตาเหมือนจะไม่พอใจ แต่เหมือนว่าอารมณ์ทั้งหมดจะจางหายไปในทันที เขากลับมาสงบอีกครั้ง “พ่อให้ภูผาไปเป็นรองประธานที่บริษัท”
“อะไรนะ” หลุยส์พูดอย่างแปลกใจ “นี่มันขี้รดหัวกันชัดๆ อาศัยช่วงเวลาที่นายบาดเจ็บหาโอกาสนั่งตำแหน่ง”
ภวินท์พูดเบาๆ “ยังให้ฉันกับนิวหมั้นกันเร็วๆด้วย ใช้เรื่องนี้พลิกเรื่องหาโอกาสให้ STN”
“พ่อนายนี่ร้ายจริงๆ!” หลุยส์ยักไหล่และถามด้วยความสนใจ “นายตกลงไปแล้วเหรอ”
ภวินท์ขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า “เขาเอาเรื่องตระกูลภูสิทธ์อุดมมาบีบฉัน ฉันทำอะไรไม่ได้”
ทันทีที่คำนี้หลุดออกมา ใบหน้าของหลุยส์ก็ดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย แววตาเขากระตุก
ภวินท์มีจุดอ่อนที่ถูกบีบได้ นี่เป็นสัญญาณอันตราย!
สำหรับคนอย่างเขา สิ่งที่ต้องห้ามที่สุดคือการมีจุดอ่อน เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่านิวราคือดวงใจภวินท์ แต่ตอนนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ชีวิตของภวินท์วุ่นวายเพราะญาธิดาเข้ามา
หลุยส์ขมวดคิ้ว ไม่ยอมพูดคำที่ติดอยู่ข้างปาก เขารู้ว่า เรื่องแบบนี้เขาต้องให้เจ้าตัวอีกคนมาพูด
เวลาเที่ยงพอดี หลุยส์ซื้ออาหารให้ภวินท์ เขาหยิบข้าวอีกชุดที่เตรียมไว้ขึ้นมาบอกกับภวินท์ว่า “เดี๋ยวฉันเอาไปให้ญาธิดา”
ภวินท์ได้ยิน ” บอกให้เธอมานี่สิ”
เขาสั่งให้เธอมากินข้าวกับเขาทุกมื้อ แต่รอแล้วรอเล่าเธอก็ไม่มีสักที
“พยาบาลบอกว่าอย่าปล่อยให้เธอไปๆมาๆ เดี๋ยวฉันไปส่งให้เอง” หลุยส์พูดแล้วยิ้มให้เขาอย่างมีเลศนัย “ถ้าคิดถึงเธอ ฉันไปเรียกเธอมาก็ได้นะ”
ภวินท์ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองเขาอย่างเย็นชาและไม่พูดอะไร
หลุยส์ยิ้มไม่พูดอะไรก่อนจะเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
เมื่อเขาเดินไปที่ประตูห้องข้างๆ สีหน้าของหลุยส์ก็ดูจริงจังขึ้น เขายกมือขึ้นเคาะประตูแล้วผลักประตูเข้าไป
ญาธิดากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง นี่เป็นนิยายที่ขอจากคุณพยาบาลวันนี้ เธอเงยหน้าขึ้น แปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา “คุณหลุยส์”
หลุยส์ยิ้ม เดินเข้าไปแล้วเอาถุงในมือส่งให้เธอ “ผมเอาอาหารกลางวันมาให้ครับ”
ญาธิดายิ้มอย่างสุภาพ “ขอบคุณค่ะ”
หลังจากพูดเสร็จ ก็เห็นว่าหลุยส์ไม่มีทีท่าที่จะออกไป สักพักเธอก็ถามว่า “คุณหลุยส์มีอะไรอีกเหรอคะ”
หลุยส์ก้าวออกไปพิงขอบหน้าต่าง “ผมมีอะไรจะพูดกับคุณ”
ญาธิดาได้ยิน ก็ยิ้มถาม “อะไรเหรอคะ พูดได้เลยค่ะ”
“มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับภวินท์” หลุยส์เงียบไปครู่หนึ่ง “คุณรู้ไหมว่า ภวินท์กับนิวรากำลังจะหมั้นกัน”
ญาธิดาใจเต้นตึกตัก ตากระตุกเล็กน้อย ไม่นาน เธอก็มองขึ้นไปที่หลุยส์ “ฉันรู้ค่ะ”
เธอรู้เรื่องนี้จากนิวราตั้งนานแล้ว
หลุยส์ไม่แปลกใจเลย พยักหน้าและพูดอย่างใจเย็นว่า “น่าจะเร็วๆนี้แหละครับ เป็นช่วงนี้แน่”
ญาธิดาแน่นหน้าอกขึ้นเล็กน้อย เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองดูหลุยส์ “แล้วยังไงคะ”
เขาพูดเรื่องนี้กับเธอ มันหมายความว่าไงกัน