ดวงใจภวินท์ - บทที่ 300 เนกไทเบี้ยวแล้ว
บทที่ 300 เนกไทเบี้ยวแล้ว
คำพูดคำเดียว กลับเยือกเย็นมาก
ญาธิดาตกใจ มองตาภวินท์ พูดไม่ออกเลย
เมื่อเห็นท่าทีที่ตกใจเล็กน้อยของหญิงสาว ภวินท์ก็ยกริมฝีปาก “คนที่ซ่อนมีดไว้ด้วยรอยยิ้มนั่นแหละน่ากลัวที่สุด จำไว้ซะด้วย”
จากนั้นเขาก็เดินอ้อมเธอไปที่ประตู
ญาธิดาอึ้งไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ทำไมเธอถึงรู้สึกชาๆ
เธฮรู้สึกว่าภวินท์ในตอนนี้ต่างไปจากปกติ ทำให้คนรู้สึกสงสาร…
ญาธิดาเงยหน้าขึ้นมองเห็นว่าชายหนุ่มที่กำลังจะผลักประตูออก จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นได้ “เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
เธอรีบตามไป เอื้อมมือไปคว้าแขนภวินท์โดยไม่รู้ตัว
ภวินท์หันกลับมามอง เลิกคิ้ว “เป็นอะไรไป”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ แหงนหน้ามองหน้าอกของเขา “เนกไทของคุณ…”
เธอเพิ่งรู้ว่าเนกไทที่หน้าอกของเขาเบี้ยว
หลังจากที่เธอเตือน ภวินท์ก็นึกได้ว่าตอนที่เขาหงุดหงิดจนดึงเนกไท แล้วลืมจัดกลับมา
เขาหยุด ไม่พูดอะไร มองไปที่ญาธิดาด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ในแววตา
ญาธิดาจ้องมาที่เขา ร้อนผ่าวไปทั้งตัว เมื่อเห็นว่าเวลาล่าช้าไปแล้ว จึงต้องกัดฟันก้าวไปข้างหน้า และค่อยๆ เอื้อมมือไปผูกเนกไทที่คอเขาให้ตรง
ภวินท์นิ่งไม่ได้ขยับตัว มองลงมาที่เธอ
น่าจะเป็นเพราะการเข้าใกล้ของเธอ กลิ่นหอมจาง ๆที่โชยมาทำให้ขมวดคิ้ว ดวงตาของเขามองไปเหนือคิ้วและริมฝีปากสีแดงของหญิงสาว ใจเขาก็สั่น
จากนั้น เขาก็มองลงมา สายตาไปตกที่ปกคอของเธอ ดวงตาของเขาก็เข้มขึ้น
ดูเหมือนคอเสื้อจะทำได้ไม่ดีนัก จากมุมนี้ทำให้เขามองลงไปเห็นพอดี สีขาวนวลที่ทำให้ตาอยู่ไม่สุข ทำให้เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ แล้วรีบละสายตาออกไป
ไม่เจอกันหลายวัน เธอกล้าแต่งตัวแบบนี้มาทำงานเลยเหรอ
ภวินท์ขมวดคิ้วไม่พอใจ พอดีกับที่ญาธิดาช่วยผูกเนกไทแล้วดึงเนกไทไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ ทันใดนั้นไฟใจตัวเขาก็พลุกพล่านขึ้นมาทันที
ทันใดนั้น เขาก็เหยียดมือออกแล้วผลักเธอไปที่ประตูทันที
ญาธิดามือสั่น เธอเกือบจะล้มลงด้วยความตื่นตระหนก ดีที่มีเนกไทที่อยู่ในมือช่วยพยุงเธอไว้ เมื่อเธอดึง ร่างของชายหนุ่มก็ทับลงมาเกือบทั้งตัว
“ปัง!” ศีรษะของทั้งสองคนชนกัน ญาธิดาร้องโอยด้วยความเจ็บปวด ภวินท์ก็ขมวดคิ้ว
ญาธิดาลืมตาขึ้นมองด้วยความตื่นตระหนก “คุณภวินท์…”
ภวินท์หน้าเข้ม ดูโกรธเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร ทำเพียงเอื้อมมือไปที่เสื้อช่วงหน้าอกของเธอด้วยนิ้วที่เรียวยาว ดึงรอยยับตรงนั้นให้เข้าที่ ทั้งยังตั้งใจดึงมันขึ้นมา ปิดหน้าอกอย่างมิดชิด
แล้วพูดด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “วันหลังเปลี่ยนเสื้อผ้าตัวอื่นซะ”
ญาธิดาแก้มร้อนผ่าว พยักหน้าเล็กน้อย ตอบรับ แล้วรีบทำต่อทันที “ฉันช่วยผูกเนกไทให้ค่ะ”
พูดจบเธอก็รีบเร่งมือ
ผูกเนกไทให้ตรงอีกครั้ง ญาธิดาจัดรอยยับที่คอเสื้อของเขา แล้วก็รีบวางมือ ถอยออกมา “เสร็จแล้วค่ะ คุณภวินท์ ไปประชุมได้แล้วค่ะ”
ภวินท์สีหน้าซับซ้อน เขาจ้องมองมาที่เธอ ไม่พูดอะไร เอื้อมมือออกไปเปิดประตูแล้วเดินออกไป
ทันทีที่เขาเปิดประตู เขามองออกไปแล้วก็เห็น ภูผาที่ถูกครามเข็นเข้ามา ดวงตาของเขาขรึมขึ้นทันใด ภูผาที่นั่งอยู่บนรถเข็นก็เอ่ยปากขึ้นก่อน “พี่ ทำไมพี่ไม่ไปประชุมล่ะ เราทุกคนรอพี่มาเกือบสิบห้านาทีแล้วนะ”
ภวินท์ยิ้มแห้ง “ไปไหนมาไหนไม่สะดวกขนาดนี้ แต่รองประธานยังมาหาด้วยตัวเองเลยนะ ฉันเพิ่งทำงานเสร็จ กำลังจะไป”
พูดจบ เขาก็เหลือบมองภูผาอย่างเย็นชา แล้วเดินผ่านภูผาไปยังห้องประชุม
ญาธิดาเดินมาถึงประตู ทันเห็นใบหน้าของภูผาที่มืดดำลง มีแววตาเยือกเย็นออกมาจากตาของเขา
แต่ไม่นาน เขาก็หันไปเห็นเธอที่อยู่ที่ประตูพอดี เขายิ้มให้เธอแล้วพยักหน้าเล็กน้อย “คุณธิดา”
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มให้เขา มองดูเขาจากไป
หลังจากที่ครามและภูผาจากไป ญาธิดาก็แอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ถ้าเธอไม่ได้เห็นด้วยตาของเธอเอง เกรงว่าเธอเองจะไม่เชื่อว่าภูผาจะมีท่าทางเช่นนั้น เย็นชาจนทำให้คนรู้สึกหนาวไปตามกัน
เธอไม่รู้ว่าความคับแค้นใจที่แก้ไม่ได้ระหว่างภูผาและภวินท์คืออะไร แต่เมื่อมองเห็นแววตาของภูผาแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่าเขาไม่ธรรมดา
มันสอดคล้องกับสิ่งที่เธอได้ยินในห้องประชุมจริงๆ เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ได้แต่กลัวว่าความบาดหมางของพวกเขาจะมีมากขึ้นอีกในอนาคต
ในการประชุมครั้งนี้ ภวินท์ไม่ได้สั่งให้เลขาหรือผู้ช่วยมาด้วย เธออยู่นอกที่ประชุมตลอดทั้งการประชุม รออยู่นานกว่าหนึ่งชั่วโมงกว่าจะสิ้นสุดการประชุม เมื่อเห็นคนข้างออกมาแบบไม่สู้ดีนัก ใบหน้าแต่ละคนดูไม่ได้เลย เธอก็เดาได้แล้วว่าการประชุมครั้งนี้ไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่
ไม่นาน ภูผาและครามก็ออกมา ทั้งคู่ดูเย็นชาและรีบจากไป ไม่นานภวินท์ก็ออกมาพร้อมกับพายุ
ภวินท์เงยหน้าขึ้น มองดูญาธิดา พยักหน้าให้เธอ “คุณมากับผม”
ญาธิดาสะดุ้งเล็กน้อย หายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตามไป
เมื่อเดินเข้าไปในออฟฟิศผู้บริหาร เธอก็ปิดประตูตามที่ภวินท์บอก รวบรวมความกล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณภวินท์ คุณมีอะไรจะสั่งเหรอคะ”
เขาใช้ให้เธอเข้ามาในห้องคนเดียว แม้แต่พายุก็ถูกสั่งให้รอข้างนอก แถมใบหน้าของเขาก็จริงจังมากด้วย การต่อสู้ครั้งนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ
“แผนงานที่รั่วไหลส่งผลกระทบกับบริษัทมาก ผู้บริหารระดับสูงขอให้ฉันจัดการให้เคลียร์ รู้ใช่ไหม ในเรื่องนี้ คุณน่าสงสัยที่สุด ดังนั้น…”
ญาธิดา ถอนหายใจ เธอมองไปที่เขา
เขาจะไล่เธอออกจริงๆหรอ
ภวินท์กะพริบตาเล็กน้อย พูดเบาๆ ว่า “ผมจะให้งานกับคุณ นับว่าเป็นการพิสูจน์ตัวเองของคุณด้วย”
ได้ยินดังนั้น ญาธิดาก็แอบโล่งใจ รีบถามขึ้นว่า “งานอะไรคะ”
ภวินท์บอกตามตรงว่า “แบรนด์แฟชั่น Redeur ของบริษัทเพิ่งเปลี่ยนดีไซเนอร์และเพิ่งเปิดตัวคอลเล็กชั่นใหม่ ต้องการแบรนด์เอ็มบาสเดอร์ ตอนนี้บริษัทกำหนดดาราที่อยากได้ไว้แล้ว คุณไปหาทางให้เขาร่วมงานกับเราให้ได้”
ญาธิดาประหม่าเล็กน้อย “คนที่เลือกไว้แล้ว…คือใครเหรอคะ”
“คิริน”
พูดถึงชื่อนี้ ญาธิดาไม่ถึงกับไม่รู้จัก เธอมักจะเห็นรูปของเขาบนน้ายโฆษณาขนาดใหญ่ที่สถานีรถไฟใต้ดินและรถประจำทาง เธอรู้ด้วยว่าปัจจุบันเขาเป็นชายที่ฮอตที่สุดในแวดวงนี้ ด้วยใบหน้าที่ไร้ที่ติและเสียงที่ไพเราะที่ดังไปทั่วประเทศ
ญาธิดาสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจนัก
ทันใดนั้น เสียงชายหนุ่มก็ดังขึ้น “คุณทำได้ไหม”
เธอกลับมามีสติ สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเห็นดวงตาสีเข้มของภวินท์
สักพักนางก็ตอบรับ กัดฟันพูด “ฉันจะลองดูค่ะ”
ภวินท์ตาเป็นประกาย “ต้องการอะไร ก็บอกพายุได้เลย ผมจะช่วยคุณเต็มที่”
“ไม่ต้องค่ะ ฉันจะลองทำด้วยตัวเอง”
ญาธิดาปฏิเสธโดยไม่คิดเลย ทำให้ภวินท์แปลกใจเล็กน้อย
เขายกริมฝีปากแย้มๆ “ทำไม มั่นใจมากเหรอ”
ญาธิดาส่ายหน้าแล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ฉันไม่อยากทำลายความเชื่อใจของคุณ”
จากที่ภวินท์พูดเมื่อกี้นี้ เธอเดาได้ว่า ต้องมีใครสักคนพูดถึงเธอในที่ประชุม สงสัยว่าเธอคือคนที่ทำแผนงานหลุด แต่ที่ไม่ได้จัดการเธอ แถมยังให้โอกาสเธอในการทำงานใหม่ น่าจะเพราะภวินท์พยายามช่วยเธอแน่ๆ
นั่นก็คือ ไม่ว่าคนอื่นจะคิดยังไง อย่างน้อยเขาก็ยังเชื่อใจเธอ