ดวงใจภวินท์ - บทที่ 31 ต้องการให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณไหม
ธมนหันไปมองจิณณ์ที่อยู่ด้านข้าง พลันหันไปมองเธอและยิ้มพูด “ที่เรามาหาคุณในครั้งนี้ คือตั้งใจมาขอโทษคุณโดยเฉพาะค่ะ”
ญาธิดาที่มึนงงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และวันนี้ยังมาได้ยินว่าธมนต้องการมาขอโทษ ยิ่งไม่เข้าใจหนักขึ้นกว่าเก่า
อาศัยความเข้าใจของเธอที่มีต่อธมนกับจิณณ์แล้ว อย่าพูดว่ามาขอโทษเลย พวกเขาเกลียดเธอเข้าไส้จนอยากจะเตะให้เข้าไปอยู่ในกองขยะโสมม แล้วทำไมถึงได้มาก้มหน้าก้มตาแสดงท่าทางขอโทษขอโพยต่อเธอด้วยล่ะ
ไม่รอให้เธอถามกลับธมนที่อยู่ด้านข้างก็ใช้แขนกระทุ้งจิณณ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ และส่งสายตาเป็นสัญญาณ
จิณณ์ย่นคิ้วหากัน “ธิดาจ๋า เรื่องเมื่อครั้งที่แล้วพวกเราทำผิดไปแล้ว คนใจกว้างอย่างคุณคงไม่คิดบัญชีกับเรานะ ครั้งนี้ยกโทษให้พวกเราเถอะ ฉันกับนินเสียใจกับเรื่องที่ทำลงไปแล้วจริงๆ”
ญาธิดากำหมัดแน่น “ยกโทษให้พวกคุณเหรอ? คนที่ทำร้ายฉันก็คือพวกคุณ ซึ่งพวกคุณก็คือคนที่ให้น้ำเพชรมาจัดการฉันด้วย คำพูดนี้ไม่ควรจะเป็นฉันพูดกับพวกคุณถึงจะถูกใช่ไหม?”
จิณณ์ได้ยินคำพูดนั้นแล้ว สีหน้าดำหน้าแดง “ธิดา พวกเรายอมรับนะเรื่องครั้งที่แล้วพวกเราทำเกินไปแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้แหละ ภวินท์ถึงบีบบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดาจนหมดหนทาง จนห่วงโซ่ทุนแตก หรือว่ามันดูไม่เกินไปหน่อยเหรอ?”
ญาธิดาถึงกับตกตะลึงทันที “อะไรนะ?”
ภวินท์บีบบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดาจนหมดหนทางงั้นเหรอ?
ธมนที่อยู่ด้านข้างพูดตอบรับทันที “ใช่ๆ ธิดา! ตราบใดที่คุณให้อภัยกับพวกเรา คุณอยากได้อะไรเป็นของชดเชย พวกเราจะพยายามทำให้คุณพอใจถึงที่สุด!”
ญาธิดาสมองอื้ออึง แม้ผ่านไปชั่วครู่ก็ยังคิดไม่ออก
เธอรู้แค่ว่าหลังจากเกิดเรื่องนั้นแล้ว ภวินท์ไม่เคยถามไถ่เรื่องของธมนกับจิณณ์เลย ซึ่งสำหรับเรื่องของการหมุนเวียนของเงินทุนของบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดาเธอก็ไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเธอไม่มีอากัปกิริยาตอบสนองอยู่นาน ธมนจึงเริ่มหมดความอดทน เธอผลักจิณณ์เล็กน้อย พลันจ้องมองเขาตาเขม็ง
จิณณ์เข้าใจ แม้ว่าจะไม่ยินยอมพร้อมใจก็ตาม แต่ก็ยังแสดงท่าทางพูดเกลี้ยกล่อมญาธิดาอย่างสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน “ธิดาจ๋า คุณเป็นคนจิตใจดีเช่นนั้น ต้องไม่อยากเห็นผมกับนินกลายเป็นคนจรจัดไม่มีที่ซุกหัวนอนใช่มั้ย? อีกทั้งตระกูลโชติอภิจินดาก็ไม่ใช่มีแค่พวกเราสองคน คนในครอบครัวของพวกเราต่างเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งนั้น!”
เขาทั้งพูดไป และยื่นมือออกมา จับมือของญาธิดาเอาไว้ “ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราสองคนก่อนหน้านี้ คุณช่วยไปขอร้องให้คุณภวินท์เห็นอกเห็นใจหน่อยเถอะ! จะได้ไหมธิดา?
ญาธิดาถูกเขาจับมืออย่างกะทันหัน จนรู้สึกตัวสั่นเทาทันที ขนพองสยองเกล้าทันที เธอรีบดึงมือตัวเองออก และก้าวถอยหลังเล็กน้อย “ฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้สักนิด”
จิณณ์ยังพูดต่อ “ธิดาคุณต้องการให้ผมคุกเข่าขอร้องคุณใช่ไหม?”
ชั่วขณะนั้น ญาธิดาเองก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไรดี จิณณ์เห็นว่าเธอทำสีหน้าลังเล จึงก้าวเท้าหลังไปหนึ่งก้าวและคุกเข่าลงทันที
“อย่า!” ญาธิดารีบก้าวถอยหลัง “ฉัน…จะช่วยคุณ! ฉันจะช่วยคุณพูดกับเขาให้…”
แววตาจิณณ์ปรากฏความยินดีออกมา และรีบลุกขึ้นทันที “ธิดาผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่มีความเมตตาที่สุดแล้ว!”
ธมนเองก็พูดด้วยสีหน้าทั้งเซอร์ไพรส์ “ธิดาเรื่องนี้พวกเราก็ต้องฝากคุณแล้วนะ!”
ญาธิดาเห็นพวกเขาพูดขอบคุณไม่หยุดปาก จนเกิดความรู้สึกสับสน ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่มองพวกเขาเดินหันหลังกลับไป ถึงค่อยๆ เรียกสติกลับคืนมาได้
เรื่องนี้ถ้าเป็นจริงตามนั้น ซึ่งตัวเธอเองยังรู้สึกว่าไม่ควรอยู่บ้าง แม้ว่าธมนจะเป็นคนจิตใจชั่วร้าย คอยยุยงให้เธอตกหลุมพราง ทว่าไม่มีความจำเป็นต้องจัดการโดยการดึงคนทั้งบริษัทมาเกี่ยวข้องด้วย
ญาธิดาเม้มริมฝีปาก พลางหันตัว และขึ้นลิฟต์ด้วยความสับสน
หลังจากกลับมาถึงห้องทำงานแล้ว จิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในหัวสมองก็คอยครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ไม่จบไม่สิ้น
หลังจากครุ่นคิดไปมา ญาธิดานิ่งนอนใจไม่ได้อีกแล้ว ประจวบเหมาะกับทางแผนกธุรการมีเอกสารต้องส่งไปยังห้องทำงานของท่านประธาน จึงอาศัยโอกาสนี้ไปถามเรื่องนี้กับภวินท์ให้รู้เรื่อง
เมื่อมาถึงห้องทำงานของท่านประธานแล้ว ญาธิดาเคาะประตูและเดินเข้าไป หลังจากวางเอกสารเรียบร้อยแล้ว ทว่าไม่มีทีท่าจะเดินออกไป
ภวินท์จับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จึงเงยหน้าพลางจึงเห็นญาธิดาที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงานที่กำลังจ้องเขาตาเขม็ง
วินาทีนั้น ทั้งสองคนประสานสายตากัน หัวใจญาธิดาทรุดฮวบ เพียงรู้สึกว่าความสดใสทั่วห้องมากระจุกอยู่ที่ตัวของผู้ชายคนนี้แล้ว ส่วนนัยน์ตาอันลึกซึ้งของเขาคู่นั้น ยิ่งเรียกความดึงดูดของตัวเธอไปหมดตัว
“มีเรื่องอะไรอีก?”
เสียงเย็นเฉียบของชายหนุ่ม พลันดึงสติเธอให้กลับมาอยู่กับความจริงในเวลานั้นทันที
“ฉัน…มีเรื่องอยากจะถามคุณค่ะ” ญาธิดาตั้งสติให้มั่น “เรื่องของบริษัทบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดา คุณเป็นคนลงมือทำใช่ไหมคะ?”
“ปึก” ภวินท์เอาปากกาที่อยู่ในมือวางลงบนโต๊ะอย่างปกติไม่ได้แสดงความรุนแรงหรือเบาเกินไป พลันยืดตรงตัวและเอนหลังพิงเก้าอี้ทันที “อืม ผมทำเอง”
“เมื่อครู่ธมนกับจิณณ์มาหาฉันแล้วค่ะ มาขอโทษฉันด้วย ฉันเองก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และเริ่มพูดต่อ “คือ ฉันรู้สึกว่า เรื่องมันก็ไม่ได้หนักหนาถึงจุดนี้ด้วยซ้ำ ซึ่งทางธมนมีความผิดจริง แต่ใช่ว่าไม่สามารถให้อภัยได้นี่คะ…
“ญาธิดา” จู่ ๆ ภวินท์ ทำสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา พลันจ้องมองเธอตาเขม็งและย้อนถามกลับ “คุณลืมไปแล้วหรือยังไงว่าตอนนั้นพวกเขาทำอะไรคุณไว้บ้าง?
ญาธิดาขบเม้มริมฝีปาก “ฉันรู้ค่ะ แต่การที่คุณทำแบบนี้ มันส่งผลต่อคนบริสุทธิ์หมู่มาก คนในบริษัทต้องตกงาน คนในครอบครัวของพวกเขาก็ต้องพลอยตกระกำลำบากตามไปด้วย”
ภวินท์ย่นคิ้ว หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เขาก็เบนสายตาหนี “เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจ ผมมีขอบเขตของผม ธมนกับจิณณ์หล่นมาอยู่จุดนี้ ก็ถือว่าเป็นผลกรรมของเขาที่ควรจะได้รับ”
เมื่อเห็นท่าทางอารมณ์ของชายหนุ่มจู่ ๆ ก็เย็นยะเยือกลงมา ญาธิดาที่กำลังจะอ้าปากพูด แต่ใครจะรู้ว่ามีเสียงฝีเท้าของคนวิ่งมาทางด้านหลัง จากนั้นก็มีเสียงของพายุดังขึ้นตามมาติดๆ “คุณภวินท์ครับ คุณนิวราเธอ…”
พายุเพิ่งจะพูดออกมาได้ครึ่งประโยค พอเงยหน้าขึ้นถึงได้รู้ตัวว่าในห้องยังมีคนยืนอยู่อีกหนึ่งคน จึงสงบปากสงบคำทันที
ตอนที่ญาธิดาได้ยินคำว่า “นิวรา” นี้นั้น ร่างกายเกร็งไปทั้งหมดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ชื่อนี้ เธอได้ยินมาหลายครั้งแล้ว
ตามที่คาดการณ์ไว้ไม่มีผิด นัยน์ตาภวินท์เย็นยะเยือกทันที พายุรีบเดินนำหน้าขึ้นมาทันควัน พลางพูดกระซิบกระซาบเพื่อเป็นการรายงานข้างหูเขา
หลังจากนั้นไม่นาน น้ำเสียงของเขาก็กลับมาเป็นปกติตามเดิมขึ้นหน่อย “ตามใจเธอสิ บอกเธอนะเอาไว้คราวหน้าผมจะหาเวลาไปหาเธอ”
พายุพยักหน้า พลางสาวเท้าเดินออกจากห้องทำงานไป
ช่วงเวลานั้น บรรยากาศในห้องกลับมาเงียบสงบตามเดิม
ญาธิดากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เมื่อคิดถึงฉากเมื่อครู่นี้แล้ว หัวใจกลับเกิดความรู้สึกจุกอกจนไม่สามารถพูดพรรณนาออกมาได้
นิวราคนนี้ เป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำให้การแสดงออกของภวินท์เปลี่ยนไปมากได้ถึงขนาดนี้ หรือว่าเป็นคนรักของเขา? งั้นทำไมเขาถึงได้มาจดทะเบียนกับเธอล่ะ?
ความสงสัยทุกอย่างมันพุ่งอยู่ในหัวใจ จู่ ๆ ญาธิดาก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เวลานั้นเอง เสียงชายหนุ่มที่ไม่แสดงความรู้สึกแต่อย่างใดดังขึ้นมา “คุณยังมีธุระอะไรอีกไหม?”
ญาธิดากัดริมฝีปาก “เรื่องของธมนกับจิณณ์ ฉันไม่อยากถามไถ่ต่อ ซึ่งก็หวังว่าคุณจะให้โอกาสกับพวกเขาสักครั้งค่ะ”
ตอนที่ญาธิดาได้ยินคำว่า “นิวรา” นี้นั้น ร่างกายเกร็งไปทั้งหมดอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ภวินท์ตอบกลับอย่างเย็นชา “มาขอร้องให้กับคนที่ทำร้ายตัวเองเนี่ยนะ เรื่องนี้ถือเป็นฉากละครครั้งแรกที่ผมเห็นกับตาในชีวิตจริง”
เขาพูดไป พลางจ้องมองเธออย่างลึกซึ้ง จากนั้นก็เบนสายตาไป “เรื่องที่ผมตัดสินใจแล้วมันจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อีกทั้งการที่ผมปฏิบัติต่อบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดาเช่นนี้ ซึ่งต้นเหตุมันไม่ใช่เพราะว่าคุณเลย”
ญาธิดาตัวแข็งทื่อ และไม่สามารถสวนกลับได้ทันควัน
ดูจากสภาพแล้ว คือเธอเข้าข้างตัวเองไปทุกอย่างเอง เธอยังคิดว่าภวินท์ออกตัวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมแทนเธอจึงปฏิบัติกับบริษัทของตระกูลโชติอภิจินดาเช่นนี้ แต่ไม่คิดเลยว่า…
แก้มเธอทั้งร้อนผ่าว ญาธิดารู้สึกลำบากใจจนพูดไม่ออก เธอกัดริมฝีปาก ท้ายที่สุดก็หันหลังกลับ และรีบเดินออกจากห้องทำงานอย่างรวดเร็วทันที
นิวราคนนั้น ตกลงว่าเป็นใครกันแน่?
ญาธิดายิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด และรู้สึกแสบจมูกจนอยากจะร้องไห้ออกมาบ้าง
เมื่อกลับมาถึงธุรการแล้ว เพิ่งเดินมาหน้าประตูของห้องทำงาน ชมพู่ก็ออกมารับหน้า “คุณญาธิดาคุณไปไหนมาหรือคะ? เมื่อครู่ฉันเอาเอกสารไปส่งให้คุณมา โทรศัพท์ในห้องทำงานของคุณดังขึ้น ฉันเลยรับสายให้ เป็นโทรศัพท์จากผู้ผลิตของชุดของขวัญในงานเทศกาลรายหนึ่ง แจ้งว่าต้องการขอพบคุณค่ะ”
ญาธิดาได้ยินปุ๊บ ตั้งสติได้ทันควัน จึงรีบเดินเข้าห้องทำงานทันที
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้สำหรับเธอแล้วปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือจัดการปัญหายุ่งยากในเรื่องงานไปก่อน รอจัดการเรื่องนี้ให้แล้วเสร็จ แล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่นต่อ!