ดวงใจภวินท์ - บทที่ 317 จะเสแสร้งทำไมว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน
เมื่อญาธิดาได้ยิน จึงดึงสติกลับมาได้ แต่ในใจกลับหยุดคิดถึงท่าทางการแสดงออกของภวินท์เมื่อครู่นี้ไม่ได้
ตกลงว่าเธอไปยั่วโมโหให้เขาโกรธตอนไหนเหรอ?
ตอนนั้นเธอคิดไม่ออก จึงเดินออกจากห้องประชุมพร้อมกับคณิน เพื่อไปส่งเขากลับ
พวกเขาสองคนเดินนำหน้า ทางด้านหลังก็มีผู้ช่วยคอยเดินตาม ตอนที่เดินตัดผ่านทางเดินนั้น ญาธิดาอดใจพูดออกมาไม่ได้ “เรื่องเมื่อกี้ ขอบคุณนะคะ”
ถ้าไม่ใช่คณิน เกรงว่าเธอก็คงถูกขับไล่ออกมาจากSTN Groupเรียบร้อยแล้ว
“ระหว่างเราสองคนจะต้องขอบคุณทำไม?” คณินเลิกคิ้ว จู่ๆก็ยกมือขึ้นโอบหัวไหล่ของเธอ แถมพูดแกมหยอกล้อ “อยากจะขอบคุณผม ก็ยอมตกลงปลงใจกับผมสิ?”
พอญาธิดาได้ยินก็ฟังออกมาว่าเขากำลังพูดล้อเล่นอยู่ จึงช้อนตามองเธอ พร้อมทั้งตอบโต้กลับด้วยน้ำเสียงแบบเขา “เอาจริงเหรอคะ?”
แววตาคณินฉายความหวั่นไหวออกมาเล็กน้อย ยังไม่ทันได้ตอบคำถามเลย ทางด้านข้างก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ญาธิดาก็ได้ยินเสียง เธอค่อยๆเอียงศีรษะไปมอง จึงมองเห็นภวินท์ที่อยู่ด้านหน้าในตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก
หัวใจเธอบีบรัดแน่น เธอรักษาระยะห่างจากคณินตามสัญชาตญาณทันที จนฉายความตื่นตระหนกออกมาทางสีหน้า
แววตาภวินท์ราวกับน้ำแข็ง ที่คอยจับจ้องพวกเขาอยู่ ความรู้สึกที่อยู่ก้นบึ้งแววตานั้นมืดหม่นจนไม่แสดงความหมาย รอจนจังหวะที่ญาธิดาแหงนหน้ามองเขาอีกครั้ง เขาก็เบนสายตาหนีไปทางอื่น และเดินลิ่วไปแล้ว
หัวใจของญาธิดาเต้นโครมครามหนักว่าเดิมจนไร้การควบคุม ซึ่งทางแผ่นหลังกลับผุดเม็ดเหงื่อเย็นออกมาเป็นชั้นโดยที่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หลังจากโดยสารลิฟต์เรียบร้อยแล้ว เธอถึงค่อยได้สติกลับมา
Smart address bar. th.readeraz.com ดวงใจภวินท์ บทที่ 317 จะเสแสร้งทำไมว่าเป็นเพื่อนสนิทกัน? – th.readeraz
คณินย่อมเห็นกับตาจนเก็บอาการของเธอทุกเม็ด จากนั้นก็หุบรอยยิ้มที่อยู่ใบหน้า แสร้งพูดอย่างสบายๆ “ถ้าจะขอบคุณผมจริงๆ เอาไว้วันหน้าค่อยมาเลี้ยงข้าวผมนะ!”
ญาธิดาตอบรับอย่างสติเลื่อนลอย “ได้สิ”
ซึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เมื่อครู่ภวินท์เหล่ตามองอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับสร้างความกดดันให้เธออย่างไร้ร่องรอย หลังจากที่เธอมาส่งคณินตรงประตูบริษัทแล้ว ถึงค่อยกลับไปยังห้องธุรการ
ชมพู่คอยชะเง้อมองประตูอยู่ตลอด เมื่อเห็นเธอ ดวงตาเปล่งประกาย พร้อมทั้งเดินมาดักหน้าเพื่อถามเธอทันที “ธิดา เป็นไงบ้าง?”
“ไม่มีอะไรหรอก” ญาธิดายกมุมปากอย่างไร้เรี่ยวแรง และมุ่งหน้าเดินเข้าห้องทำงานทันที
ตอนเดินผ่านออฟฟิศนั้น ก็เจอกับพิชญ์สินีที่กำลังตรวจสอบตารางอยู่พอดี เมื่อเห็นเธอเดินมา สีหน้าก็เย็นชาลง พร้อมทั้งพูดกระแนะกระแหนอย่างเย็นชา “ใครทำอะไรไว้ ยังไงก็ต้องถูกเปิดเผยอยู่ดี”
“ใช่สิ กระดาษมันหุ้มกองไฟไว้ไม่ได้หรอก”
“……”
พอญาธิดาได้ยินคำกระแทกแดกดันเหล่านี้ ก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ ซึ่งในเวลานี้เป็นเพราะภวินท์แท้ๆที่เป็นตัวการทำให้หัวสมองยุ่งเหยิงไปหมด จึงไม่ได้มีเรี่ยวแรงจะไปสนใจพวกเขา
แต่ชมพู่ที่เดินอยู่ด้านข้างกลับทนต่อไปไม่ไหว เธอย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งพูดแทนญาธิดา “จะพูดซี้ซั้วไม่ได้! พวกแกไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็อย่าทำปากยื่นปากยาวอยู่ตรงนี้!”
พอเพื่อนร่วมงานผู้หญิงที่โดนต่อว่าได้ยิน จึงเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ “ใครพูดซี้ซั้ว? ไม่ได้เอ่ยชื่อว่าใครนี่ แกโมโหห่าอะไร? ก็เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งไม่ใช่เหรอ? ทั้งๆที่แกแย่งตำแหน่งของคนอื่นไป ยังจะมาเสแสร้งว่าเป็นเพื่อนสนิทกันอีก ตอแหลไปป่ะ?”
เพื่อนร่วมงานผู้หญิงพูดจีบปากจีบคออยู่หลายประโยค พูดจนชมพู่หน้าแดง จนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไป
พอญาธิดาได้ยิน ก็ย่นคิ้วหากัน พร้อมทั้งเหลือบมองมาทางชมพู่“ชมพู่ เรากลับห้องทำงานกันเถอะนะ”
ชมพู่พยักหน้าอย่างไม่พอใจ จังหวะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานนั้น จู่ๆก็มีเสียงเพื่อนร่วมงานผู้หญิงคนนั้นเริ่มพูดขึ้นมาอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคาดเดา “ทำไมเหรอ? พูดจี้ใจดำแล้วสิ เมื่อกี้ยังเก่งกล้าสามารถอยู่เลยนี่?”
ชมพู่โกรธจนหันศีรษะกลับไป “แกพูดมั่วอะไรของแก!”
บรรยากาศเย็นเฉียบจนถึงจุดเยือกแข็ง เพื่อนร่วมงานคนนั้นลุกยืนขึ้นอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้ แสร้งทำท่าทางต้องการทะเลาะกับชมพู่
เวลานั้นเอง จู่ๆประตูห้องทำงานหัวหน้าแผนกก็เปิดออก พี่แนนปรากฏตัวขึ้นตรงประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พร้อมทั้งกวาดตามองและพูดกับทุกคนอย่างเย็นชา “ทำไมเหรอ? งานที่ฉันให้พวกคุณทำมันน้อยเกินไปใช่มั้ย?”
คำพูดประโยคเดียวของเธอ ทำให้กองเพลิงของพวกเขาที่เพิ่งลุกโชนมอดไหม้ลงทันที บรรดาเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่มาดูความครึกครื้นต่างถอนสายตากลับ พร้อมทั้งยุ่งกับงานของตนเอง
พอเห็นว่าไม่มีคนพูดอะไรต่อ พี่แนนถึงได้หันมาพูดกับญาธิดา “ธิดา เธอเข้ามานี่หน่อย”
ญาธิดากัดฟัน พร้อมทั้งพยักหน้าให้ และเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น
เธอที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์ในห้องประชุมมา ตอนนี้ก็อยากจะอยู่เงียบๆคนเดียว ไม่คิดเลยว่าจะถูกดึงเข้ามาอยู่ในวังวนการถกเถียงแบบนี้อีกครั้ง
เธอแอบถอนหายใจ และเดินไปยังห้องทำงานของพี่แนน ยังไม่ได้อ้าปากพูดอธิบาย ก็ได้ยินพี่แนนพูดขึ้นมาทันที “เธอกลับบ้านเถอะ”
ญาธิดาตะลึงเล็กน้อย พร้อมทั้งช้อนสายตาแปลกประหลาดมองพี่แนนพลางเอ่ยขึ้น “พี่แนนคะ ฉันทำอะไรผิดอีกหรือคะ?”
เมื่อครู่คณินก็ได้อธิบายชัดเจนในห้องประชุมแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมบริษัทถึงต้องไล่เธอออกด้วย?
พอพี่แนนได้ยิน จึงยกมุมปากยิ้มพลางกล่าวออกมา “พี่หมายความว่าให้เธอกลับไปพักผ่อนที่บ้าน เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องประชุมพี่ได้ข่าวมาแล้ว พี่อนุญาตให้เธอลาครึ่งวัน กลับไปพักสักพักนะ”
ญาธิดาได้ยิน ถึงได้ถอนหายใจโล่งอก จนต้องตบหน้าอกพร้อมทั้งพูดออกมาทันควัน “ตกใจแทบแย่ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่แนน”
“จ๊ะ” พี่แนนหัวเราะให้ “รอพรุ่งนี้กลับมา คุณค่อยไปจัดการเรื่องพรีเซนเตอร์คุณคิรินที่จัดการเอาไว้ก่อนหน้านี้ เบื้องบนกำชับลงมาแล้ว งานที่เธอกำลังทำอยู่พี่จะยกให้คนอื่นทำแทน”
ญาธิดาตกตะลึง แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับทราบ
หลังจากออกจากบริษัทแล้ว เธอก็มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลทันที เมื่อเห็นอาการของยติภัทรดูดี เธอถึงแอบถอนหายใจอย่างโล่งอก
หลังจากทานอาหารเย็นกับยติภัทรและปภาวีเรียบร้อยแล้ว เธอถึงออกจากโรงพยาบาลเพื่อมุ่งหน้ากลับคอนโด
ในวันนี้ช่างล้มลุกคลุกคลานตลอดทั้งวัน ซึ่งมันยากยิ่งที่ญาธิดาจะถอนหายใจอย่างทั่วท้อง จึงอาบน้ำขัดสีฉวีวรรณ และนอนพักสายตาอยู่ในอ่างอาบน้ำ และผล็อยหลับไปอย่างไม่รู้ตัว พอตื่นมา น้ำร้อนในอ่างก็กลายเป็นน้ำอุ่นเสียแล้ว เธอจึงรีบลุกทันควัน พร้อมทั้งเอาเสื้ออาบน้ำมาคลุมตัว
หลังจากเป่าผมจนแห้งเสร็จเรียบร้อย เวลาดึกมากแล้ว ญาธิดาค่อยๆเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอน เพื่อเตรียมพักผ่อน
โทรศัพท์ที่ชาร์จแบตเตอรี่ไว้ตรงหัวเตียงก็ส่องแสงออกมา เธอจึงหยิบขึ้นมาดู พอเห็นว่าด้านบนเป็นชื่อของภวินท์ที่ไม่ได้รับสาย จู่ๆร่างกายที่ผ่อนคลายไปชั่วขณะก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
เวลานี้แล้วภวินท์จะโทรศัพท์มาหาเธอทำไม?
ญาธิดามองเบอร์โทรศัพท์ที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ตอนที่กำลังสงสัยว่าจะกดโทรกลับไปไหม จู่ๆโทรศัพท์ที่อยู่ในมือก็สั่นเทา มือเธอสั่นทันที จากนั้นก็กดลำโพงรับสาย
เป็นเสียงสุขุมแกมเกียจคร้านเล็กน้อยดังออกมาจากปลายสาย “ฮัลโหล?ญาธิดา”
พอได้ยินภวินท์เรียกชื่อ ญาธิดาตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็เอาโทรศัพท์แนบหูทันที และเริ่มถามกลับ “มีอะไรหรือเปล่าคะ?”
ภวินท์พูดอย่างตรงไปตรงมา “ผมอยากเจอคุณ”
โดยไม่รู้ว่าสาเหตุใด น้ำเสียงของชายหนุ่มที่ผ่านกระบอกเสียงมันดังเข้าหูเธอ ราวกับเป็นพลังของปีศาจ จนทำให้เธอตื่นเต้นอย่างไม่รู้ตัว
เธอตะลึงอยู่ชั่วครู่ แต่ก็ยังพูดอย่างรักษาอาการเอาไว้ “ดึกมากแล้วค่ะ มีเรื่องอะไรไว้คุยกันวันอื่นนะคะ”
ภวินท์เหมือนไม่ได้ยินคำพูดของเธอ พร้อมทั้งตอบกลับเสียงเข้ม “ผมอยู่ใต้คอนโดของคุณ”
ญาธิดาตกตะลึง พร้อมทั้งสอบถามกลับทันควัน “ตก…ตกลงว่าคุณมีธุระอะไร?”
มีเรื่องอะไรที่ไม่สามารถพูดทางโทรศัพท์ แถมยังต้องเจอหน้ากันให้ได้?
เธอกัดฟันไว้แน่น และแอบตัดสินใจอยู่เงียบๆ ถึงแม้ผ่านไปอีกสักพักจนภวินท์มาเคาะประตูห้อง เธอก็ไม่มีวันเปิดให้เขา
ภวินท์ที่อยู่ปลายสายพูดต่อ “คุณลงมาเถอะ ผมมีเรื่องต้องพูดกับคุณ…”
น้ำเสียงของชายหนุ่มดูล่องลอยเล็กน้อย ซึ่งเป็นเสียงที่ดูไม่เหมือนปกติ ญาธิดาชะงักเล็กน้อย พร้อมทั้งอ้าปากถามด้วยความสงสัย “คุณ…ดื่มเหล้ามาเหรอ?”
จู่ๆเธอก็ถามพรวดพราดออกมา ก่อนหน้านี้ก็เคยมีตอนที่ภวินท์ดื่มเหล้ามาคำพูดคำจาก็จะเป็นประมาณนี้แหละ
ภวินท์ที่อยู่อีกทางชะงักเล็กน้อย พร้อมทั้งตอบกลับอย่างบริสุทธิ์ใจ “อืม”
ญาธิดาสูดลมเย็นๆเข้าปอด ตอนแรกก็ได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เอนเอียงแต่แล้วจู่ๆก็หวั่นไหวเสียนี่ “งั้นคุณก็รีบกลับบ้านเถอะ”
“คุณรีบลงมา…ผมมีเรื่องต้องคุยกับคุณ” ภวินท์พูดเสริมอีกครั้ง “ถ้าคุณไม่ลงมา งั้นผมจะขึ้นไป…”
“อย่าค่ะ!”
หัวใจญาธิดาบีบรัดแน่น เธอกัดฟันพูด “ฉันยอมลงไปแล้วค่ะ”
ภวินท์ดื่มหนักจนเมาแอ๋ เธอเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าง จึงยอมลงไปพบเขาสักครั้ง
ญาธิดาตัดสายทิ้ง พร้อมทั้งเอาเสื้อโค้ตตัวยาวๆมาทับอีกชั้น และหยิบน้ำแร่เย็นจัดในตู้เย็นออก และเดินออกจากห้องทันที