ดวงใจภวินท์ - บทที่ 322 พิธีหมั้น
บทที่ 322 พิธีหมั้น
น้ำเสียงเย้าแหย่ของชายหนุ่มทำให้แก้มของญาธิดาร้อนจนแทบไหม้ เธอขมวดคิ้วและพยายามผละออกจากเขา “ฉันวางของไว้บนโต๊ะแล้ว คุณภวินท์…”
ภวินท์ไม่ยอมปล่อย แขนที่โอบกอดอยู่ประหนึ่งเหล็กที่ถูกเชื่อมติดกับรอบเอวเธอ แขนที่โอบรอบเอวควบคุมระยะห่างระหว่างเธอไว้อย่างแน่นหนา
“อย่าขยับ”
จู่ๆ สีหน้าของภวินท์ก็มืดมน เมื่อพูดคำที่จริงจัง ญาธิดาจึงหยุดดิ้นทันที และจ้องเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เวลาดูเหมือนจะหยุดลงชั่วขณะ ทั้งสองมองหน้ากัน ความรู้สึกทั้งหมดที่มีถูกส่งผ่านสายตาของทั้งสอง หยาดเยิ้มแนบแน่นจนยากจะคลาย
ไม่รู้ทำไม จู่ๆ ร่างกายของญาธิดาเริ่มร้อนขึ้น ลมหายใจก็ถี่กระชั้น
เมื่อรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ในตัวหญิงสาว ภวินท์พลันใจกระตุก แววตาเข้มขึ้น สายตาเลื่อนลงกวาดมองลำคอขาวเนียนของเธอ
เขายกมือขึ้น มือใหญ่คลำรอบเอวของเธอแล้วปลดสายรอบเอวคาดเสื้อกันลมออก
ญาธิดาสะดุ้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความเย็นปะทะเข้าสู่ร่างกาย เธอยังไม่ทันได้สติ เขาก็ถอดเสื้อของเธอลงไปถึงข้อศอกแล้ว
ชุดที่เธอใส่มีดีไซน์ที่สวยมาก มันไม่เปิดเผยจนเกินไป แต่เน้นส่วนเว้าส่วนโค้งและเผยความเซ็กซี่ของผู้หญิงอย่างเหมาะสม
รู้สึกได้ว่าสายตาของชายหนุ่มกำลังมองที่ตัวเธออยู่ ญาธิดาพลันแก้มแดง พยายามรีบดึงเสื้อขึ้น
ภวินท์ยกมือขึ้นจับมือเธอ และพูดอย่างเคร่งขรึม “ผมจะดู”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเธอสวมชุดแบบนี้ ท่าทางหลงใหลเหมือนคนโรคจิตที่อยากเห็นเธอสวมใส่ชุดนี้โดยไร้เสื้อคลุม
ญาธิดาอึ้งไป เสื้อคลุมบนตัวถูกเขาถอดลงมา
เมื่อเห็นชัดเจน ภวินท์พลันแววตาเข้มขึ้น กลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกขยับขึ้นลงโดยไม่รู้ตัว
ญาธิดาในแบบนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
ญาธิดาเห็นสายตาของชายผู้นี้ และไม่นานก็เห็นความหมายในสายตาของเขา เธอจึงรีบพูดขึ้นว่า “คุณภวินท์ มันสายแล้ว ฉันจะกลับแล้ว”
พูดอย่างนั้นแล้วเธอก็สวมเสื้อคลุมขึ้น กำลังจะก้าวเดินไปที่ประตู แต่จู่ ๆ ข้อมือก็ถูกภวินท์ดึงรั้งไว้กะทันหัน เขาพูดเสียงนิ่งขรึม “เดี๋ยวก่อน”
ญาธิดาขมวดคิ้วและกำลังจะพูด แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยหัวเราะดังขึ้นข้างนอก จากนั้นเสียงก็ใกล้เข้ามาและมีคนผลักประตู
ญาธิดาตัวแข็งทื่อ ประสาทตึงเครียดสูง มองไปที่ประตูอย่างประหม่า
ที่คาดไม่ถึงคือ ประตูไม่ได้ถูกเปิดออก แต่ข้างนอกมีเสียงนิวราดังมา “พี่วินคะ พี่อยู่ข้างในหรือเปล่า”
ญาธิดาชะงักไป หัวสมองว่างเปล่าในฉับพลัน เครียดจนเหงื่อแตกสองวินาทีต่อมาเธอก็ได้สติ รีบดึงมือของภวินท์ออกและพูดอย่างลนลาน “ฉันต้องซ่อน!”
ถ้านิวราเห็นเธอกับภวินท์อยู่ในห้องแต่งตัวตามลำพังต้องถูกเข้าใจผิดแน่ๆ!
พูดจบเธอก็รีบหาที่ซ่อน เห็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ตรงนั้นจึงเดินไปทันที
ภวินท์ก้าวตามเธอไปแล้วกระซิบถามว่า “จะซ่อนทำไม”
ญาธิดาสูดหายใจไม่ตอบคำถามของเขา รีบเปิดประตูตู้ออกแล้วก้มตัวเข้าไปข้างใน
ภวินท์ขมวดคิ้วพร้อมกับยกมือขึ้นกันประตูตู้ มองหญิงสาวที่หดตัวเป็นก้อนกลมซ่อนตัวอยู่หลังเสื้อผ้า ดูโง่ๆ แต่กลับน่ารักหน่อยๆอดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปาก
“ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมต้องกลัวคนจับได้ ญาธิดา คุณกลัวอะไร”
ญาธิดาที่ร้อนใจไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร พยายามดึงประตูตู้ปิดแต่มันไม่ขยับเลย ได้แต่เงยหน้ามองเขา “คุณปล่อยมือ……”
“ก๊อกก๊อก!”
“พี่วิน เปิดประตู!”
นิวราที่อยู่ข้างนอกเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง น้ำเสียงเครียดและวิตกกังวล แม้แต่การเคาะประตูก็แรงขึ้นมาก
ห้องแต่งตัวนี้สำหรับทั้งสองคนใช้เท่านั้น และตอนนี้ประตูถูกล็อคจากด้านใน ก็แสดงว่าในห้องมีคนอยู่แน่นอน แต่ภวินท์ทำอะไรต้องล็อกประตู นี่ทำให้อีกฝ่ายไม่คิดมากไม่ได้
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อยๆ เหมือนทุกการเคาะจะกระทบเข้าหัวใจของญาธิดา น้ำเสียงที่ประหม่าของเธอสั่นเล็กน้อย เงยหน้ามองภวินท์แล้วพูดอย่างกังวลว่า “เธอเป็นคู่หมั้นของคุณ คุณไม่กลัวถูกเข้าใจผิดหรือไง”
ภวินท์ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม ใบหน้ายังคงสงบไม่มีความกังวลร้อนใจแม้แต่น้อย เขาค่อยๆ โน้มตัวลง ลดระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง ดวงตาลึกล้ำจ้องที่เธอพลางถามว่า “ผมไม่กลัวถูกเข้าใจผิด แล้วคุณกังวลอะไร หรือว่าใจคุณมีความลับอะไรซ่อนอยู่”
เขาลากเสียงยาวสบายๆ สายตายิ้มในแบบที่ยากจะเข้าใจความหมาย ก่อนจะถามเพิ่มอีกว่า “หรือว่า คุณชอบผม ก็เลยกลัวว่าจะถูกนิวรู้เข้าเหรอ”
ญาธิดาชะงักไป สีหน้าผิดปกติแวบขึ้นมาในทันใด เธอหายใจเข้าลึก ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบพูดว่า “เปล่า ฉันมีคนที่ชอบแล้ว ไม่ใช่คุณ คุณอย่าคิดมากคุณภวินท์ ฉันแค่กังวลว่าคุณนิวราจะเข้าใจผิด”
ภวินท์ได้ยินคำพูดนั้น มือที่วางบนตู้เสื้อผ้าก็กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อยหลังจากนั้นสองวินาทีสีหน้าของเขาก็มืดมนและเย็นชา จ้องมองญาธิดานิ่ง ก่อนจะปล่อยมือแล้วหันหลังเดินไปที่ประตู
ญาธิดาแอบถอนหายใจโล่งอกและรีบปิดประตูตู้
ไม่นานเสียงเปิดประตูก็ดังมาจากทิศทางของประตู ตามมาด้วยเสียงของนิวรา “พี่วิน พี่เข้าไปทำอะไรอยู่ข้างใน ตั้งนานทำไมไม่เปิดประตู”
เธอพูดอย่างนั้นพร้อมกับที่สายตามองเลยไปข้างหลังภวินท์โดยอัตโนมัติ
ภวินท์สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก ตอบกลับเสียงนิ่ง “เมื่อครู่งีบหลับ เลยไม่ได้ยิน”
นิวราฟังแล้วพยักหน้า แต่ใจยังคงกังวลอยู่ เดินเลี่ยงภวินท์เข้าไปในห้อง และสำรวจดูรอบหนึ่ง
ในห้องแต่งตัวนอกจากราวไม้แขวนเสื้อและโต๊ะตู้ก็ไม่มีร่างของบุคคลที่สองอีก เธอมองซ้ำไปซ้ำมาอย่างสงสัย ยังไม่สามารถขจัดความคลางแคลงใจไปได้
เธอเดินไปตรงราวไม้แขวนเสื้อ อยากเดินไปข้างหลัง แต่ภวินท์เอ่ยถามเสียก่อน “นิว พร้อมแล้วหรือยัง”
“พร้อมแล้วค่ะ” นิวราพยักหน้า ยังคงเดินไปข้างหลังราวไม้แขวนแล้วมองดูครู่หนึ่งก็ไม่เห็นใคร ถึงได้คลายความระแวดระวังลงไปเล็กน้อย
เธอหันกลับมา ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มหวานที่สดใส เธอเดินไปข้างกายภวินท์ คล้องแขนเขาอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มบาง “ข้างนอกมีแขกมากันเยอะแล้ว คุณพ่อก็มาแล้ว นิวจะพาพี่ไปทักทายเขา”
ภวินท์สีหน้าเรียบเฉย ไม่มีการปฏิเสธ “ได้”
หลังจากทั้งคู่เดินจับมือกันออกจากห้องแต่งตัวไป ญาธิดาซึ่งซ่อนตัวอยู่ในตู้เสื้อผ้าถึงได้ถอนหายใจโล่งอก
ถ้าเมื่อครู่ถูกนิวราพบว่าเธออยู่ตรงนี้ เกรงว่าคงทำให้เกิดความสงสัยและความขัดแย้งที่ไม่ควรจะเป็น ยังดีที่เธอซ่อนตัวได้
ผ่านไปซักพัก เธอเห็นว่าข้างนอกไม่มีเสียงแล้ว จึงเปิดประตูตู้ออกมาข้างนอก เธอออกจากห้องแต่งตัวและเดินผ่านทางเดินกลับมาที่ห้องโถง เห็นคนเดินไปเดินมา ทันใดนั้นก็ไม่รู้ว่าควรไปที่ไหนดี
คนอยู่ในห้องโถงมีมากกว่าก่อนหน้านี้ คึกคักแออัดและเบียดเสียด ทำให้เกิดภาพที่ดูกลมกลืนและมีชีวิตชีวา
ญาธิดามองสำรวจดูรอบหนึ่ง ดวงตามองไปยังใจกลางฝูงชน และสายตาก็หยุดนิ่งทันใด
ท่ามกลางฝูงชนคือภวินท์กับนิวรา พวกเขาจับมือกัน ผู้ชายสวมสูทสีดำที่มีความประณีตสูง ส่วนผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีขาวงดงาม พวกเขาราวกับกิ่งทองใบหยก ไม่ว่าจะเดินไปตรงไหนก็เหมือนมีแสงสว่างเจิดจ้าตามติดไปด้วย
เห็นแบบนี้แล้ว พวกเขาทั้งสองเป็นคู่สร้างคู่สมจริงๆ